ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ -นับเป็นข่าวดีอีกข่าวหนึ่ง เมื่อมีคำยืนยันจากรัฐบาลกัมพูชาของ “สมเด็จฮุนเซน” ว่าจะมีการปล่อยตัว “น.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูลย์” และลดโทษ “นายวีระ สมความคิด” 2 คนไทยผู้รักชาติที่ถูกทหารกัมพูชาจับกุมตัวพร้อมตั้งข้อหาบุกรุกดินแดนและจารกรรมข้อมูลของราชอาณาจักรกัมพูชาเมื่อวันที่ 30 ธ.ค.2553 ขณะลงไปสำรวจพื้นที่บริเวณชายแดนบ้านหนองจาน ต.โนนหมากมุ่น อ.โคกสูง จ.สระแก้ว
น.ส.ราตรีจะได้รับการพระราชอภัยโทษจากกษัตริย์กัมพูชาโดยได้รับการปล่อยตัวได้ในช่วงงานพระราชพิธีศพพระบาทสมเด็จนโรดมสีหนุ ในวันที่ 1 ก.พ.นี้
ขณะที่นายวีระจะได้รับการลดหย่อนโทษให้เป็นเวลา 6 เดือน
อย่างไรก็ตาม ถ้าหากวิเคราะห์ห้วงเวลาที่รัฐบาลสมเด็จฮุนเซ็นตัดสินใจปล่อยตัวนางราตรีและลดโทษนายวีระก็จะเห็นได้ว่า ละครฉากนี้ไม่ธรรมดาและมีเป้าหมายทางการเมืองที่ชัดเจนยิ่ง
ที่สำคัญคือ น่าจะเป็นความตั้งใจหลังจากผ่านการปรึกษาหารือระหว่างเพื่อนรักชั่วนิรันดร์ “ทักษิณ-ฮุนเซน” เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
และเป้าหมายทางการเมืองที่ว่านั้นจะเป็นใครเสียไม่ได้นอกจาก “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” และ “นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ผู้เป็นน้องสาว
เพราะถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นว่า เริ่มต้นศักราชใหม่ปีมะเส็ง 2556 ความตึงเครียดในกรณีข้อพิพาทเรื่องปราสาทพระวิหารก็เกิดขึ้นมาในฉับพลันทันทีด้วยบทสัมภาษณ์ของ “อ้ายปึ้งไส้อั่ว-สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่โจมตีพรรคประชาธิปัตย์ว่า เป็นผู้อยู่เบื้องหลังความพ่ายแพ้ที่อ้ายปึ้งฟันธงเสียตั้งแต่ยังไม่ได้สู้คดี ซึ่งก็เล่นเอาแมลงสาบดิ้นพลาดๆ แก้ตัวเป็นพัลวันราวกับโดนฟ้าผ่าที่กล่องดวงใจกันเลยทีเดียว เพราะข้อเท็จจริงก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมใน จากเตี้ยวอี๋ว์ถึงพระวิหาร ความอ่อนแอของรัฐไทย ใต้เงื้อมมือแมลงสาบ-เผาไทย)
นั่นคือบทละครฉากที่ 1 และฉากที่ 2 ที่ดำเนินอย่างต่อเนื่อง
สำหรับนางสาวยิ่งลักษณ์ ชัดเจนว่า ละครเรื่องนี้เขียนขึ้นมาเพื่อเรียกคะแนนนิยมทางการเมือง ไม่เช่นนั้นในแถลงการณ์ของกระทรวงต่างประเทศกัมพูชาคงไม่ยืนยันข้อมูลตรงกันว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นฝ่ายติดต่อสายตรงไปยังนายกรัฐมนตรีฮุน เซน เพื่อขอให้ดำเนินการอภัยโทษแก่คนไทยทั้งสองด้วยตัวเอง ขณะที่นายอภิสิทธิ์ก็ชัดเจนเช่นกันว่า ละครเรื่องนี้เขียนขี้นมาเพื่อดิสเครดิตทางการเมือง
คำให้สัมภาษณ์ของนางสาวยิ่งลักษณ์ที่บอกว่า “จริงๆ ต้องบอกว่าเป็นหน้าที่ที่เราอยากดูแลคนไทยทุกคนไม่ว่าเป็นผู้ใดก็ตาม เราถือว่าเป็นหน้าที่ที่รัฐอยากดูแล และสิ่งที่ได้คือความสัมพันธ์ที่ดีที่ทางกัมพูชาเล็งเห็นความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างไทย-กัมพูชา ได้ช่วยกันและทำตรงนี้ให้เรา ก็ถือโอกาสนี้ในนามรัฐบาลไทยคงต้องขอขอบคุณรัฐบาลกัมพูชาที่ได้ช่วยในการที่จะดูแล และลดโทษ อภัยโทษให้กับคนไทยด้วย” คือคำให้สัมภาษณ์ที่ทำให้ “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” และ “พรรคประชาธิปัตย์” แทบจะเอาหน้ามุดแทรกแผ่นดินหนีด้วยความอายแทบจะไม่ทัน เพราะในขณะที่นางสาวราตรีและนายวีระถูกจับกุมตัว นอกจากนายอภิสิทธิ์ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจะไม่มีปัญญาช่วยเหลือพลเมืองไทยแล้ว ยังไปยอมรับอีกต่างหากว่า ทั้ง 2 คนถูกจับในดินแดนของเขมร
หากยังจำกันได้ในครั้งนั้น นายวีระและนางสาวราตรีถูกจับกุมพร้อมกับ “นายพนิช วิกิตเศรษฐ” และ “นางนฤมล จิตรวะรัตนา” เลขานุการของนายพนิช คนของพรรคประชาธิปัตย์ที่ แต่ท้ายที่สุดแล้วนายพนิชและนางนฤมลได้รับการประกันตัว ส่วนนายวีระและนางราตรีกลับถูกจับกุม ซึ่งสร้างความกังขาให้กับสังคมเป็นอย่างมาก
ในครั้งนั้นนายอภิสิทธิ์ตัดสินใจแก้ปัญหาด้วยวิธีการที่เสียศักดิ์ศรียิ่ง เพราะทั้งๆ ที่ไม่ได้มีการพิสูจน์ว่า 7 คนไทยรุกแผ่นดินกัมพูชาจริงหรือไม่ แต่นายอภิสิทธิ์กลับยอมรับกระบวนการพิจารณาของศาลกัมพูชา และด้วยการยอมรับว่า 7 คนไทยล้ำเข้าไปในดินแดนของกัมพูชาจริงๆ
ทั้งๆ ที่ถ้าจะว่าไปแล้วนายอภิสิทธิ์ได้ออกมาประกาศด้วยความแข็งกร้าวในวันแรกๆ ว่า ในกรณีนี้ไม่ว่า 7 คนไทยจะถูกจับที่ใด พวกเขาควรได้รับการปล่อยตัวทันที เพราะพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ที่ยังมีปัญหาเขตแดน
แต่หลังจากนั้น นายอภิสิทธิ์ก็ไม่ได้มีมาตรการใดๆ เพื่อกดดันรัฐบาลนายฮุนเซน พร้อมทั้งปล่อยให้นายกษิต ภิรมย์ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แก้ปัญหากันเอง และยุทธศาสตร์อันโง่เขลาเบาปัญญาก็เกิดขึ้นเมื่อรัฐมนตรีเหล่านั้นต่างพากันออกมายอมรับกันอย่างหน้าชื่นตาบานว่า คนไทยทั้ง 7 คนรุกเข้าไปในดินแดนของกัมพูชา ด้วยมั่นใจว่า การเดินเกมในลักษณะดังกล่าวจะสามารถช่วยเหลือ 7 คนไทยให้ได้รับการปล่อยตัวได้
ด้วยเหตุดังกล่าวสังคมจึงตั้งคำถามต่อความไม่สนใจใยดีในการช่วยเหลือนายวีระของนายอภิสิทธิ์ว่า น่าจะมีเหตุผลที่ลึกซึ้งไปกว่านั้น และจริงๆ แล้ว นายอภิสิทธิ์ต้องการช่วยนายวีระและน.ส.ราตรีจริงหรือไม่
คำถามที่พุ่งตรงเข้าใส่นายอภิสิทธิ์ก็คือ หรือนายอภิสิทธิ์เองก็อาจจะไม่ต้องการให้นายวีระได้รับอิสรภาพและกลับมาประเทศไทย เพราะด้วยนิสัยที่แข็งกร้าวตรงไปตรงมาของนายวีระนั้นไม่มีใครการันตีได้ว่า หลังจากกลับมาแล้วนายวีระจะไม่นำ 'ความจริง' ในเหตุการณ์บุกจับคนไทยยัดคุกกัมพูชา โดยการรู้เห็นของเจ้าหน้าที่และนักการเมืองไทย ออกมา 'แฉ' ให้คนไทยและชาวโลกได้รับรู้ ซึ่งย่อมหมายความว่าไม่ใครก็ใครในรัฐบาลชุดนี้ต้องถูกกระชากหน้ากากมาดผู้ดี ให้เห็นถึงตัวตนเนื้อแท้และเล่ห์เหลี่ยมเบื้องหลังที่แสนจะอำมหิต
เพราะต้องไม่ลืมว่า นายวีระและนางสาวราตรีคือหอกข้างแคร่ที่ลอกคราบนายอภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์ในกรณีปราสาทพระวิหารได้อย่างหมดเปลือกจากความดื้อตาใสใน MOU2543 ซึ่งยอมรับแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 ที่ทำให้ไทยสุ่มเสี่ยงที่จะเสียดินแดนให้กัมพูชาจากคำพิพากษาของศาลโลก
นอกจากนี้ เชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า ท้ายที่สุดแล้ว รัฐบาลฮุนเซนและยิ่งลักษณ์ร่วมมือกันเล่นละครเรื่องวีระ-ราตรีเพื่อต้องการสำแดงให้ประชาคมโลกได้เห็นว่า ทั้ง 2 ประเทศมีความสัมพันธ์อันดี แต่เหตุที่มีความขัดแย้งเป็นเพราะรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ จากนั้นอาจจะเชื่อมโยงไปถึงแหล่งพลังงานก้อนมหึมาในอ่าวไทย
เพราะทันทีที่ข่าวการปล่อยตัวนางสาวราตรีและลดโทษนายวีระออกมา ก็ปรากฏข่าวจาก นายทรงภพ พลจันทร์ อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ กระทรวงพลังงานออกมาเปิดเผยว่า ทางกระทรวงการต่างประเทศจะเร่งเจรจาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไทย-กัมพูชา เพื่อหาข้อสรุปในการพัฒนาแหล่งปิโตรเลียม โดยเฉพาะการนำก๊าซธรรมชาติในพื้นที่มาใช้ให้เกิดประโยชน์ของทั้ง 2 ประเทศ เพราะจะช่วยสร้างความมั่นคงด้านพลังงานของไทยและรองรับปริมาณความต้องการใช้ก๊าซฯปรับตัวสูงขึ้นทุกๆ ปี