ละครชุด “เหนือเมฆ” ตอนมือปราบจอมขมังเวทย์ ทางไทยทีวีสีช่อง 3 ฉายตามปกติก็ดังกระหึ่มอยู่แล้ว แต่ต้องดังเปรี้ยงปร้างทั่วประเทศอีกครั้ง หลังจากถูกคำสั่งลึกลับให้หยุดแพร่ภาพออกอากาศ
ดูเหมือนไม่เคยมีละครเรื่องใดที่ฉายไม่จบ และ “เหนือเมฆ” อาจเป็นละครเรื่องแรกที่ต้องอวสานก่อนเวลาอันควร เพราะเนื้อหาของละครยังไม่ได้ฉายถึงตอนอวสาน
แฟนละครเรื่องนี้ ต้องอารมณ์ค้างไปตามๆ กัน เพราะดูยังไม่ทันจบ ถูกช่อง 3 ทำเจ็บ
ประธานสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ออกมาแถลงว่า การหยุดแพร่ภาพละครชุดเหนือเมฆ เนื่องจากเนื้อหาผิด พ.ร.บ.กสทช. มาตรา 37 เกี่ยวกับการล้มล้างการปกครอง ลามก อนาจารและความมั่นคง
แต่แฟนละครชุดนี้คงตั้งคำถามว่า เนื้อหาผิดมาตรา 37 ตรงไหน
สิ่งที่สังคมลงความเห็นกันคือ ละครชุดเหนือเมฆไม่ผิดหูผิดตาคณะกรรมการกสทช. แต่เนื้อหาไปแทงใจดำของรัฐบาล หรือผู้บงการรัฐบาลจนทนไม่ได้ ใช้อำนาจทางการเมืองสั่งหยุดแพร่ภาพทันที ทั้งที่ละครเหลืออีกไม่กี่ตอนก็จะปิดฉาก
และช่อง 3 ซึ่งแสดงจุดยืนชัดในหลายกรณีว่า ยึดผลประโยชน์เป็นที่ตั้ง ก็สนองรับคำบงการโดยไม่บิดพริ้ว เช่นเดียวกับคณะกรรมการ กสทช.หลายคนที่ทำตัวเป็นลูกสมุนรับใช้รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
จุดที่ทำให้ละครชุดนี้กลายเป็นละครประวัติศาสตร์ที่ฉายไม่จบ ไม่ได้อยู่ที่เนื้อหาซึ่งเกี่ยวกับเวทย์มนต์คาถา แต่อยู่ที่การเป็นละครประชดประชันทางการเมือง เสียดสีนักการเมือง โดยเฉพาะการวิ่งเต้นผลักดันสัมปทานดาวเทียมของนักการเมืองตัวร้าย
การวิ่งเต้นสัมปทานดาวเทียมของนักการเมืองตัวร้ายตามบทในละคร นำไปสู่การพาดพิงหรืออ้างอิงสัมปทานดาวเทียมไทยคม ซึ่งทำให้ตระกูลของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มั่งคั่งขึ้นมา แม้จะขายต่อไปให้สิงคโปร์แล้วก็ตาม
มีความเชื่อกันว่า คนที่สั่งให้ “แบน” ละครเหนือเมฆ อาจไม่ใช่ใครที่ไหน นอกจากพ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งทนถูกแทงใจดำไม่ไหว จึงมีใบสั่งตรงเข้ามา และรู้ว่า ผู้บริหารช่อง 3 ตระกูลมาลีนนท์ว่านอนสอนง่าย ตราบใดที่ยังตักตวงผลประโยชน์จากสังคมได้
ตระกูลมาลีนนท์ไม่เคยรู้ร้อนรู้หนาวกับกระแสสังคม ไม่แยแสต่อปัญหาของสังคม เพราะสามารถสร้างภาพกลบเกลื่อนได้
และประเมินแล้วว่า ปฏิกิริยาทางสังคมไม่ทำให้รายได้ค่าโฆษณาถูกกระทบ จึงเมินเฉยต่อข้อเรียกร้องของสังคมมาโดยตลอด รวมทั้งกรณีนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ผู้ประกาศข่าวเรื่องเล่าเช้านี้ที่มีความมัวหมองเกี่ยวกับการทุจริต
เช่นเดียวกับผู้ที่บงการสั่งระงับละครเหนือเมฆ ซึ่งใช้อำนาจอย่างบ้าระห่ำ โดยไม่สนใจความรู้สึกของแฟนละครที่ต้องอารมณ์ค้าง
แฟนละครเหนือเมฆ เชื่อว่า มีจำนวนนับล้านๆ คนซึ่งกำลังติดตามชมอย่างใจจดใจจ่อ เพราะละครใกล้ถึงตอนอวสาน และแฟนละครส่วนหนึ่งก็เป็นคนเสื้อแดง
การใช้อำนาจอย่างบ้าระห่ำสั่งงดละครเรื่องนี้ ไม่ใช่การกระทำที่ฉลาดนัก เพราะจะทำให้แฟนละครนับล้านๆ คน เกิดความรู้สึกเป็นปรปักษ์ทันที ไม่เว้นแฟนละครคนเสื้อแดง
เพราะการแทรกแซงสื่ออย่างโจ่งแจ้ง การสั่งงดแพร่ภาพละครที่มีเนื้อหาเสียดสีนักการเมืองชั่ว นอกจากเป็นความพยายามปกปิดความชั่วของตัวเองแล้ว ยังเป็นการแสดงถึงความเป็นเผด็จการด้วย
รัฐบาลจะปฏิเสธอย่างไรว่า ไม่มีส่วนรู้เห็นกับการ “แบน” ละครชุดนี้ คงมีแต่คนโง่เท่านั้นที่เชื่อ
ก่อนที่ละครจะแพร่ภาพ ช่อง 3 คงพิจารณากลั่นกรองอย่างดีแล้ว จะอนุมัติให้นำมาฉาย ส่วน กสทช.คงไม่หยิบเนื้อหาของละครมาพิจารณา
เพราะละครเหนือเมฆไม่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในด้านลบมาก่อน ไม่ว่าจะด้านลามกอนาจาร การล้มล้างการปกครองหรือความมั่นคง
ละครที่มีเนื้อหารุนแรงเข้าข่ายลามกอนาจาร และถูกวิจารณ์มากมาย กสทช.ไม่เคยเป็นเดือดเป็นร้อน แต่ทำไมจึงทำเป็นขยันเกิดมีสำนึกในผลกระทบทางสังคมจากละครเรื่องนี้
ละครชุด “เหนือเมฆ” ตอนมือปราบจอมขมังเวทย์ถูกปราบเสียแล้ว โดยนักการเมือง “เหนือเมฆ” ซึ่งกำลัง “ยกเมฆ” เบี่ยงเบนประเด็น โดยความยินยอมของตระกูลมาลีนนท์ และความร่วมมือจากคณะกรรมการ กสทช.บางคน
มวลชนคนเสื้อแดงที่ถูกพรรคเพื่อไทยสั่งให้ท่องจำคำว่า “ประชาธิปไตย” จะเข้าใจหรือยังว่า ระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงเป็นอย่างไร
เข้าใจหรือยังว่า รัฐบาลที่มีความเป็นประชาธิปไตยจริง จะไม่ใช้อำนาจมืดมาแทรกแซงสื่อ มีแต่รัฐบาลเผด็จการเท่านั้นที่นิยมใช้อำนาจแทรกแซงข่มขู่คุกคามสื่อ
และเข้าใจหรือยังว่า ตัวตนที่แท้จริงของรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์หรือรัฐบาลพรรคเพื่อไทย เป็นรัฐบาลที่ต่อสู้เพื่อระบอบประชาธิปไตยหรือเป็นรัฐบาลเผด็จการเต็มรูปแบบ
ส่วนช่อง 3 คงทำใจกันไปแล้ว สำหรับการเป็นสื่อ “เหลือขอ” จนไม่อาจกล่อมเกลาจริยธรรมจรรยาบรรณได้ เช่นเดียวกับตระกูลมาลีนนท์ที่มีเป้าหมายยิ่งใหญ่เพียงประการเดียว
สังคมจะฟอนเฟะอย่างไร ตระกูลมาลีนนท์ขอไม่สำนึกในความรับผิดชอบ แต่ขอโกยเงินลูกเดียว
ไม่อาจปฏิเสธว่า จำนวนผู้ชมช่อง 3 ยังสูงอยู่ แต่จำนวนคนที่เลิกดูขยายวงมากขึ้นทุกที จนถึงจุดที่ช่อง 3 ไม่อาจหยิ่งผยองได้แล้ว
ดูเหมือนไม่เคยมีละครเรื่องใดที่ฉายไม่จบ และ “เหนือเมฆ” อาจเป็นละครเรื่องแรกที่ต้องอวสานก่อนเวลาอันควร เพราะเนื้อหาของละครยังไม่ได้ฉายถึงตอนอวสาน
แฟนละครเรื่องนี้ ต้องอารมณ์ค้างไปตามๆ กัน เพราะดูยังไม่ทันจบ ถูกช่อง 3 ทำเจ็บ
ประธานสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ออกมาแถลงว่า การหยุดแพร่ภาพละครชุดเหนือเมฆ เนื่องจากเนื้อหาผิด พ.ร.บ.กสทช. มาตรา 37 เกี่ยวกับการล้มล้างการปกครอง ลามก อนาจารและความมั่นคง
แต่แฟนละครชุดนี้คงตั้งคำถามว่า เนื้อหาผิดมาตรา 37 ตรงไหน
สิ่งที่สังคมลงความเห็นกันคือ ละครชุดเหนือเมฆไม่ผิดหูผิดตาคณะกรรมการกสทช. แต่เนื้อหาไปแทงใจดำของรัฐบาล หรือผู้บงการรัฐบาลจนทนไม่ได้ ใช้อำนาจทางการเมืองสั่งหยุดแพร่ภาพทันที ทั้งที่ละครเหลืออีกไม่กี่ตอนก็จะปิดฉาก
และช่อง 3 ซึ่งแสดงจุดยืนชัดในหลายกรณีว่า ยึดผลประโยชน์เป็นที่ตั้ง ก็สนองรับคำบงการโดยไม่บิดพริ้ว เช่นเดียวกับคณะกรรมการ กสทช.หลายคนที่ทำตัวเป็นลูกสมุนรับใช้รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
จุดที่ทำให้ละครชุดนี้กลายเป็นละครประวัติศาสตร์ที่ฉายไม่จบ ไม่ได้อยู่ที่เนื้อหาซึ่งเกี่ยวกับเวทย์มนต์คาถา แต่อยู่ที่การเป็นละครประชดประชันทางการเมือง เสียดสีนักการเมือง โดยเฉพาะการวิ่งเต้นผลักดันสัมปทานดาวเทียมของนักการเมืองตัวร้าย
การวิ่งเต้นสัมปทานดาวเทียมของนักการเมืองตัวร้ายตามบทในละคร นำไปสู่การพาดพิงหรืออ้างอิงสัมปทานดาวเทียมไทยคม ซึ่งทำให้ตระกูลของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มั่งคั่งขึ้นมา แม้จะขายต่อไปให้สิงคโปร์แล้วก็ตาม
มีความเชื่อกันว่า คนที่สั่งให้ “แบน” ละครเหนือเมฆ อาจไม่ใช่ใครที่ไหน นอกจากพ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งทนถูกแทงใจดำไม่ไหว จึงมีใบสั่งตรงเข้ามา และรู้ว่า ผู้บริหารช่อง 3 ตระกูลมาลีนนท์ว่านอนสอนง่าย ตราบใดที่ยังตักตวงผลประโยชน์จากสังคมได้
ตระกูลมาลีนนท์ไม่เคยรู้ร้อนรู้หนาวกับกระแสสังคม ไม่แยแสต่อปัญหาของสังคม เพราะสามารถสร้างภาพกลบเกลื่อนได้
และประเมินแล้วว่า ปฏิกิริยาทางสังคมไม่ทำให้รายได้ค่าโฆษณาถูกกระทบ จึงเมินเฉยต่อข้อเรียกร้องของสังคมมาโดยตลอด รวมทั้งกรณีนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ผู้ประกาศข่าวเรื่องเล่าเช้านี้ที่มีความมัวหมองเกี่ยวกับการทุจริต
เช่นเดียวกับผู้ที่บงการสั่งระงับละครเหนือเมฆ ซึ่งใช้อำนาจอย่างบ้าระห่ำ โดยไม่สนใจความรู้สึกของแฟนละครที่ต้องอารมณ์ค้าง
แฟนละครเหนือเมฆ เชื่อว่า มีจำนวนนับล้านๆ คนซึ่งกำลังติดตามชมอย่างใจจดใจจ่อ เพราะละครใกล้ถึงตอนอวสาน และแฟนละครส่วนหนึ่งก็เป็นคนเสื้อแดง
การใช้อำนาจอย่างบ้าระห่ำสั่งงดละครเรื่องนี้ ไม่ใช่การกระทำที่ฉลาดนัก เพราะจะทำให้แฟนละครนับล้านๆ คน เกิดความรู้สึกเป็นปรปักษ์ทันที ไม่เว้นแฟนละครคนเสื้อแดง
เพราะการแทรกแซงสื่ออย่างโจ่งแจ้ง การสั่งงดแพร่ภาพละครที่มีเนื้อหาเสียดสีนักการเมืองชั่ว นอกจากเป็นความพยายามปกปิดความชั่วของตัวเองแล้ว ยังเป็นการแสดงถึงความเป็นเผด็จการด้วย
รัฐบาลจะปฏิเสธอย่างไรว่า ไม่มีส่วนรู้เห็นกับการ “แบน” ละครชุดนี้ คงมีแต่คนโง่เท่านั้นที่เชื่อ
ก่อนที่ละครจะแพร่ภาพ ช่อง 3 คงพิจารณากลั่นกรองอย่างดีแล้ว จะอนุมัติให้นำมาฉาย ส่วน กสทช.คงไม่หยิบเนื้อหาของละครมาพิจารณา
เพราะละครเหนือเมฆไม่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในด้านลบมาก่อน ไม่ว่าจะด้านลามกอนาจาร การล้มล้างการปกครองหรือความมั่นคง
ละครที่มีเนื้อหารุนแรงเข้าข่ายลามกอนาจาร และถูกวิจารณ์มากมาย กสทช.ไม่เคยเป็นเดือดเป็นร้อน แต่ทำไมจึงทำเป็นขยันเกิดมีสำนึกในผลกระทบทางสังคมจากละครเรื่องนี้
ละครชุด “เหนือเมฆ” ตอนมือปราบจอมขมังเวทย์ถูกปราบเสียแล้ว โดยนักการเมือง “เหนือเมฆ” ซึ่งกำลัง “ยกเมฆ” เบี่ยงเบนประเด็น โดยความยินยอมของตระกูลมาลีนนท์ และความร่วมมือจากคณะกรรมการ กสทช.บางคน
มวลชนคนเสื้อแดงที่ถูกพรรคเพื่อไทยสั่งให้ท่องจำคำว่า “ประชาธิปไตย” จะเข้าใจหรือยังว่า ระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงเป็นอย่างไร
เข้าใจหรือยังว่า รัฐบาลที่มีความเป็นประชาธิปไตยจริง จะไม่ใช้อำนาจมืดมาแทรกแซงสื่อ มีแต่รัฐบาลเผด็จการเท่านั้นที่นิยมใช้อำนาจแทรกแซงข่มขู่คุกคามสื่อ
และเข้าใจหรือยังว่า ตัวตนที่แท้จริงของรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์หรือรัฐบาลพรรคเพื่อไทย เป็นรัฐบาลที่ต่อสู้เพื่อระบอบประชาธิปไตยหรือเป็นรัฐบาลเผด็จการเต็มรูปแบบ
ส่วนช่อง 3 คงทำใจกันไปแล้ว สำหรับการเป็นสื่อ “เหลือขอ” จนไม่อาจกล่อมเกลาจริยธรรมจรรยาบรรณได้ เช่นเดียวกับตระกูลมาลีนนท์ที่มีเป้าหมายยิ่งใหญ่เพียงประการเดียว
สังคมจะฟอนเฟะอย่างไร ตระกูลมาลีนนท์ขอไม่สำนึกในความรับผิดชอบ แต่ขอโกยเงินลูกเดียว
ไม่อาจปฏิเสธว่า จำนวนผู้ชมช่อง 3 ยังสูงอยู่ แต่จำนวนคนที่เลิกดูขยายวงมากขึ้นทุกที จนถึงจุดที่ช่อง 3 ไม่อาจหยิ่งผยองได้แล้ว