กสทช.ออกหน้ายืนยันแทนรัฐบาล ไม่ได้เข้าไปแทรกแซงแบนละคร “เหนือเมฆ 2” แต่ต้องช่อง 3 พิจารณาแล้วเห็นว่าเนื้อหาเข้าข่าย ผิด มาตรา 37 พ.ร.บ.การประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ. 2551
พล.ท.พีระพงษ์ มานะกิจ กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. ในฐานะประธานอนุกรรมการกำกับเนื้อหา กล่าวถึงกรณีที่ช่อง 3 ระงับการออกอากาศละครเรื่อง เหนือเมฆ 2 ที่ออกอากาศทุกวันศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ หลังข่าว ทั้งที่ละครเพิ่งออกอากาศและยังไม่ถึงตอนอวสานว่า ในหลักการเมื่อเทียบกับประเทศที่เจริญแล้ว ถ้าปล่อยให้สื่อไปหารายได้เอง ผลคือรายการที่ผลิตออกมาจะขึ้นอยู่กับเรื่องของการตลาดไม่อิงกับหลักการของปรัชญาและศาสนา เพราะไม่ได้เป็นเรื่องของการตลาด และเมื่อเทียบกับรายการที่สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอสนำเสนอซึ่งมีรัฐสนับสนุนเรื่องของงบประมาณก็จะทำเนื้อหารายการที่เหมาะสม ดังนั้นต้องมองหาจุดสมดุล
พล.ท.พีระพงษ์กล่าวว่า วันนี้จะบอกว่าสื่อไม่รักชาติคงไม่ใช่ เพราะประเทศไทยมีหลักการแบบนี้ ซึ่งต้องมีการลงทุน ต้องหารายได้ และไม่มีอะไรเป็นของฟรี ส่วนกรณีของละครเรื่องเหนือเมฆ 2 กสทช.ทำหน้าที่กำกับรายการและเนื้อหา โดยไม่มีระบบเซ็นเซอร์เนื้อหา ซึ่งการทำหน้าที่นี้ช่อง 3 ต้องแจ้งรายละเอียดผังรายการที่เปลี่ยนมาให้ กสทช.ทราบโดยที่ในเนื้อหารายละเอียดต่างๆ ของรายการช่อง 3 ก็มีระบบตรวจสอบของเขาเอง เช่น กรณีไทยแลนด์ก็อตทาเลนต์ ที่เปลือยอกวาดภาพ ช่อง 3 ก็ยอมรับว่าเกิดการตรวจสอบที่ผิดพลาดและชี้แจงมายัง กสทช. ดังนั้น เมื่อเคยเกิดความผิดพลาดยิ่งทำให้ช่อง 3 ต้องระวังมากขึ้น ดังนั้น กรณีของละครเหนือเมฆ 2 ช่อง 3 คงตรวจสอบแล้วว่าอาจผิดตามมาตรา 37 จึงสั่งให้หยุดการออกอากาศ ซึ่งเป็นการกำกับดูแลตัวเองของช่อง 3
สำหรับมาตรา 37 ตามพระราชบัญญัติการประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ. 2551 ระบุว่า ห้ามไม่ให้ออกอากาศเนื้อหารายการที่มีลักษณะล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือกระทำซึ่งเข้าลักษณะลามกอนาจารหรือมีผลกระทบต่อการให้เกิดความเสื่อมทรามทางจิตใจหรือสุขภาพของประชาชนอย่างร้ายแรง
ส่วนที่กระแสสังคมมองว่าละครเรื่องเหนือเมฆ 2 เป็นละครน้ำดี ที่ไม่มีการใช้คำหยาบ หรือตบตี แต่กลับโดนแบน พล.ท.พีระพงษ์กล่าวว่า ในเมื่อไม่เห็นเนื้อหาจริงๆ ก็พูดไม่ได้ ซึ่งการถ่ายทอดละคร หรือศิลปะก็ต้องดูด้วยว่าไปกระทบต่อใคร อาจเข้าข่ายละเมิด เรื่องที่ว่าดีเป็นเรื่องของอัตวิสัย ถ้าดีแล้วเข้าข่ายหมิ่นประมาท ช่อง 3 อาจมองว่าตัดออกดีกว่า ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องคำนึงว่าผลกระทบจะก่อให้เกิดความขัดแย้งไหม
“ส่วนตัวได้คุยกับผู้บริหารระดับสูงของช่อง 3 แล้ว เขาบอกว่าเนื้อหาของละครขัดมาตรา 37 จึงต้องงดออกอากาศ แต่ไม่ได้บอกว่าเนื้อหาตรงส่วนไหนขัดกับมาตราดังกล่าว ซึ่งในส่วนของละครเหนือเมฆ 2 ถ้ายังไม่ได้ออกอากาศ หรือนำไปเผยแพร่ในสื่อ กสทช. ก็ไม่มีระบบที่จะไปขอตรวจเนื้อหา และการที่ช่อง 3 งดออกอากาศละครเหนือเมฆ 2 คิดว่าช่อง 3 คงพิจารณาดีแล้วว่าตัวเนื้อหาละครไม่เหมาะสม ซึ่งการที่จะให้ละครออกอากาศหรือไม่ก็แล้วแต่ความเห็นของช่อง 3 และช่อง 3 ก็มีคณะกรรมการที่ดูแลเรื่องเนื้อหาอยู่แล้ว”
พล.ท.พีระพงษ์กล่าวอีกว่า กสทช.มีอำนาจหน้าที่ถาม และขอให้ช่อง 3 ชี้แจง สาเหตุของการงดออกอากาศละครเหนือเมฆ 2 มาที่ กสทช. กรณีที่มีประชาชนที่เดือดร้อนจากการไม่ได้รับชมร้องเรียนเข้ามา ซึ่งการเปลี่ยนเรื่องละครที่จะออกอากาศ ช่อง 3 ได้แจ้งมาที่ กสทช.แล้ว เป็นลักษณะของการเปลี่ยนเรื่องละครไม่ได้เป็นการเปลี่ยนแปลงลักษณะรายการ
พล.ท.พีระพงษ์กล่าวว่า ส่วนตัวมีความคิดเห็นว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นการปรับตัวของสื่อ ซึ่งเกิดจากระบบตรวจสอบที่เคยผิดพลาดกรณีไทยแลนด์ก็อตทาเลนต์ จึงทำให้ช่อง 3 มีการตรวจสอบที่เข้มงวด และตรวจสอบก่อนที่จะผิดพลาดอีก ซึ่งสิ่งที่ต้องทำของช่อง 3 ขณะนี้คือ ต้องชี้แจงกับประชาชนว่าทำไมต้องจบละครเรื่องเหนือเมฆ 2 เร็ว
“มีคำถามว่าความขัดแย้งทางการเมืองเป็นปัญหาที่ตัวบุคคล หรือเป็นปัญหาที่โครงสร้าง ถ้าปัญหาเกิดจากส่วนไหนก็ต้องไปแก้ไขที่ส่วนนั้น ซึ่งสังคมต้องมองข้ามเรื่องเหล่านี้ไปให้ได้ โดยส่วนตัวเห็นว่าประเทศไทยควรทำละครที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการเมือง แต่ต้องเน้นให้คนเข้าใจที่ข้อเท็จจริง ไม่ใช่เน้นตัวบุคคล แต่ให้ชี้ไปที่โครงสร้างซึ่งปัญหาในเรื่องของโครงสร้างเป็นสิ่งที่เราต้องไปจับจ้อง และกรณีเหนือเมฆ 2 ที่งดออกอากาศ รัฐบาลไม่มีสิทธิ์มาแทรกแซง และไม่เห็นว่ารัฐบาลเข้าไปยุ่งหรือกำกับสื่อแต่อย่างใด”