ASTVผู้จัดการรายวัน - "แสนสิริ" กางแผนปี 56 ตั้งงบลงทุน 24,000 ล้านบาท ซื้อที่ดิน-ก่อสร้าง ผุด 45 โครงการใหม่ มูลค่ากว่า 61,000 ล้านบาท ใน 10 จังหวัด พร้อมชู 6 กลยุทธ์ รุกตลาดอสังหาฯทุกเซกเมนท์ ส่งแบรนด์นาราสิริทวงแชร์ตลาดบ้านหรูคืน เพิ่มพอร์ตลงทุน บ้านเดี่ยว 3 ล้านบาท -ทาวน์เฮาส์ 1.5 ล้านบาท ส่งดีคอนโดเกาะสถานศึกษาชื่อดัง จับกลุ่มนักศึกษา ระบุภายใน 3 ปียังไม่มีแผนบุกอาเซียน ชี้ไทยยังมีช่องว่างตลาดอีกมาก
นายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI เปิดเผยถึงแผนการดำเนินงานในปี 2556 ว่า บริษัทวางแผนพัฒนา 45 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 61,000 ล้านบาท ใน 10 จังหวัดทั่วประเทศ แบ่งเป็นในเขคกรุงเทพฯและปริมณฑล 70% ต่างจังหวัด 30% ประกอบด้วย คอนโดมิเนียม 24 โครงการ มูลค่ารวม 3.53 หมื่นล้านบาท, บ้านเดี่ยว 13 โครงการ มูลค่า 2.25 หมื่นล้านบาท และทาวน์เฮาส์ 8 โครงการ มูลค่า 2,700 ล้านบาท
ส่วนเป้าหมายยอดขายตั้งไว้ที่ 48,000 ล้านบาท เติบโตขึ้น 14% จากปี 55 ที่มียอดขาย 42,600 ล้านบาท ขณะที่เป้าหมายรายได้ตั้งไว้ที่ 34,000-36,000 ล้านบาท พร้อมตั้งงบลงทุนไว้ที่ 24,000 ล้านบาท แบ่งเป็นงบซื้อที่ดินใหม่ 4,000 ล้านบาท งบก่อสร้าง 20,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ บริษัทยังได้วางกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจภายใต 6 กุญแจสำคัญ ที่จะผลักดันสู่ความสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้ ได้แก่ 1.ขยายฐานลูกค้าไปสู่ต่างจังหวัดมากขึ้น ตามนโยบายการกระจายรายได้สู่ท้องถิ่นของรัฐบาลส่งผลให้ 7-8 ปีที่ผ่านมามีกำลังซื้อเพิ่มมากขึ้น เร่งเพิ่มสัดส่วนยอดขายโครงการในต่างจังหวัด ซึ่งในปีนี้จะขยายการลงทุนในต่างจังหวัดเพิ่มเป็น 10 จังหวัด โดยเฉพาะกลุ่มคนท้องถิ่นแต่ไม่ทิ้งตลาดบ้านหลังที่ 2 ของคนกรุงเทพฯ โดยแบ่งกลุ่มจังหวัดออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่คือ 1 กลุ่มจังหวัดที่บริษัทฯมีโครงการตั้งอยู่เดิม อาทิ หัวหิน พัทยา เชียงใหม่ ภูเก็ต , กลุ่มจังหวัดรองลงมาซึ่งจะเร่งเข้าไปพัฒนาตั้งแต่ต้นปี อาทิ ระยอง อุดรธานี นครราชสีมา มหาสารคาม ชลบุรี ศรีราชา บางแสน หาดใหญ่ และกลุ่มจังหวัดที่ยังไม่เคยเข้าไปพัฒนาแต่มีแนวโน้มที่จะเติบโตในอนาคต จากโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูง โครงการมอเตอร์เวย์ตัดใหม่ เช่น อาทิ พิษณุโลก สุราษฏร์ธานี อุบลราชธานี ราชบุรี แต่ทั้งนี้ต้องรอดูแผนการดำเนินงานของรัฐบาลอีกครั้ง
2 จับตลาด niche ซึ่งเป็นเซกเมนต์ที่มีความเฉพาะตัวเพิ่มมากขึ้น รวมถึงมองหาตลาดความต้องการที่อยู่อาศัยแห่งใหม่ อาทิ แหล่งงาน แหล่งที่อยู่อาศัย แหล่งชุมชนเก่า ตลาดเก่า แหล่งการศึกษา มหาวิทยาลัยชั้นนำ โดยจะใช้แบรนด์ ดีคอนโด เป็นหัวหอกในการทำตลาด
3. เพิ่มสัดส่วนลูกค้าต่างชาติจากเดิมอยู่ที่ 3% เนื่องจากเห็นว่าในอนาคตหากมีการเปิด AEC จะมีชาวต่างชาติเข้ามาสู่ประเทศไทยมากขึ้น อีกทั้งจะเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเงินทุนภายในประเทศ โดยจะเน้นความแตกต่างจากผู้ประกอบการรายอื่น สร้างการรับรู้ผ่านการสื่อสาร ผ่านการเปิดตลาดของบริษัท พลัสฯ แต่ทั้งนี้จะดำเนินการอย่างค่อยเป็นค่อยไป มั่นใจภายใน 25-3 ปี ข้างหน้า บริษัท แสนสิริฯ จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำตลาดที่อยู่อาศัยสำหรับคนต่างชาติ
4. ทวงส่วนแบ่งตลาดบ้านเดี่ยวระดับบน จากบริษัทที่ทำตลาดอยู่ในปัจจุบัน อาทิ บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน) และ บริษัท ควอลิตี้ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) โดยจะนำแบรนด์นาราสิริมาทำตลาดอีกครั้ง ซึ่งปีนี้มีแผนเปิด 4 โครงการมูลค่า 8,000 ล้านบาท ในย่านบางนา , ศรีนครินทร์, พุทธมณฑลสาย 1 และพระราม 2
5 . ขยายตลาดให้ครอบคลุมมากขึ้น โดยเพิ่มการลงทุนทาวน์เฮาส์ ราคา 1.5 ล้านบาท และบ้านเดี่ยวราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ในทำเลแหล่งงาน เช่น นิคมอุตสหากรรม ย่านปทุมธานี วงแหวนกาญจนาภิเษก หรือใกล้แหล่งเมืองเก่า เช่น ประชาอุทิศ หรือ สำโรง เป็นต้น คาดว่าจะสามารถเปิดตัวได้ภายในไตรมาส 2 นี้
6.เพิ่มสัดส่วนการพัฒนาโครงการด้วยระบบพรีคลาสให้มากขึ้น ซึ่งในช่วงกลางปีนี้บริษัทมีแผนเพิ่มกำลังการผลิตสำหรับโครงการแนวสูง โดยเฉพาะแบรนด์ ดีคอนโด ภายใต้กำลังการผลิตที่ 42,000 ตารางเมตร/ปี หรือราว 10 อาคารต่อปี รวมถึงทาวน์เฮาส์ภายใต้แบรนด์ใหม่ที่จะเปิดตัวภายในปีนี้อีกด้วย นอกจากนี้บริษัทมีแนวโน้มจะเพิ่มกำลังการผลิตในอนาคตเนื่องจากปัจจุบันใช้พื้นที่โรงงานไปเพียง 30-40 ไร่จากทั้งหมด 100 ไร่ เพื่อช่วยลดปัญหาการขาดแคลนแรงงานและเร่งส่งมอบโครงการทั้งหมดภายในสิ้นปีนี้ ล่าสุดบริษัทได้จับมือกับพันธมิตรผู้รับเหมาก่อสร้างเดิม คือ บริษัท สี่พระยาก่อสร้าง จำกัด และ บริษัท ศิวะพัฒน์ คอนสตรัคชั่น แอนด์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัดเพื่อพัฒนาโครงการทั้งในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑล และต่างจังหวัด ส่วนโครงการที่หัวหินใช้บริษัท คอนสตรัคชั่น ไลนส์ จำกัด
สำหรับผลการดำเนินธุรกิจในปี 55 ที่ผ่านมา มียอดขายประมาณ 42,600 ล้านบาท จาก 52 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 57,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากการขยายฐานลุกค้าออกสู่ต่างจังหวัดมากขึ้น และความสำเร็จจากการสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักผ่านสื่อท้องถิ่นต่างๆ งบการตลาดสำหรับสร้างแบรนด์ในปีที่ผ่านมาประมาณ 1.7% จากมูลค่ายอดขายทั้งหมด (42,600 ล้านบาท) ด้าน บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด บริษัทในเครือแสนสิริ ปัจจุบันได้รับความไว้วางใจให้ดูแลและบริษัทสินทรัพย์ประเภทอสังหาฯทั้งสิ้น 200 โครงการ รวมพื้นที่รับผิดชอบกว่า 6.5 ล้านตารางเมตร
นายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI เปิดเผยถึงแผนการดำเนินงานในปี 2556 ว่า บริษัทวางแผนพัฒนา 45 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 61,000 ล้านบาท ใน 10 จังหวัดทั่วประเทศ แบ่งเป็นในเขคกรุงเทพฯและปริมณฑล 70% ต่างจังหวัด 30% ประกอบด้วย คอนโดมิเนียม 24 โครงการ มูลค่ารวม 3.53 หมื่นล้านบาท, บ้านเดี่ยว 13 โครงการ มูลค่า 2.25 หมื่นล้านบาท และทาวน์เฮาส์ 8 โครงการ มูลค่า 2,700 ล้านบาท
ส่วนเป้าหมายยอดขายตั้งไว้ที่ 48,000 ล้านบาท เติบโตขึ้น 14% จากปี 55 ที่มียอดขาย 42,600 ล้านบาท ขณะที่เป้าหมายรายได้ตั้งไว้ที่ 34,000-36,000 ล้านบาท พร้อมตั้งงบลงทุนไว้ที่ 24,000 ล้านบาท แบ่งเป็นงบซื้อที่ดินใหม่ 4,000 ล้านบาท งบก่อสร้าง 20,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ บริษัทยังได้วางกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจภายใต 6 กุญแจสำคัญ ที่จะผลักดันสู่ความสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้ ได้แก่ 1.ขยายฐานลูกค้าไปสู่ต่างจังหวัดมากขึ้น ตามนโยบายการกระจายรายได้สู่ท้องถิ่นของรัฐบาลส่งผลให้ 7-8 ปีที่ผ่านมามีกำลังซื้อเพิ่มมากขึ้น เร่งเพิ่มสัดส่วนยอดขายโครงการในต่างจังหวัด ซึ่งในปีนี้จะขยายการลงทุนในต่างจังหวัดเพิ่มเป็น 10 จังหวัด โดยเฉพาะกลุ่มคนท้องถิ่นแต่ไม่ทิ้งตลาดบ้านหลังที่ 2 ของคนกรุงเทพฯ โดยแบ่งกลุ่มจังหวัดออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่คือ 1 กลุ่มจังหวัดที่บริษัทฯมีโครงการตั้งอยู่เดิม อาทิ หัวหิน พัทยา เชียงใหม่ ภูเก็ต , กลุ่มจังหวัดรองลงมาซึ่งจะเร่งเข้าไปพัฒนาตั้งแต่ต้นปี อาทิ ระยอง อุดรธานี นครราชสีมา มหาสารคาม ชลบุรี ศรีราชา บางแสน หาดใหญ่ และกลุ่มจังหวัดที่ยังไม่เคยเข้าไปพัฒนาแต่มีแนวโน้มที่จะเติบโตในอนาคต จากโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูง โครงการมอเตอร์เวย์ตัดใหม่ เช่น อาทิ พิษณุโลก สุราษฏร์ธานี อุบลราชธานี ราชบุรี แต่ทั้งนี้ต้องรอดูแผนการดำเนินงานของรัฐบาลอีกครั้ง
2 จับตลาด niche ซึ่งเป็นเซกเมนต์ที่มีความเฉพาะตัวเพิ่มมากขึ้น รวมถึงมองหาตลาดความต้องการที่อยู่อาศัยแห่งใหม่ อาทิ แหล่งงาน แหล่งที่อยู่อาศัย แหล่งชุมชนเก่า ตลาดเก่า แหล่งการศึกษา มหาวิทยาลัยชั้นนำ โดยจะใช้แบรนด์ ดีคอนโด เป็นหัวหอกในการทำตลาด
3. เพิ่มสัดส่วนลูกค้าต่างชาติจากเดิมอยู่ที่ 3% เนื่องจากเห็นว่าในอนาคตหากมีการเปิด AEC จะมีชาวต่างชาติเข้ามาสู่ประเทศไทยมากขึ้น อีกทั้งจะเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเงินทุนภายในประเทศ โดยจะเน้นความแตกต่างจากผู้ประกอบการรายอื่น สร้างการรับรู้ผ่านการสื่อสาร ผ่านการเปิดตลาดของบริษัท พลัสฯ แต่ทั้งนี้จะดำเนินการอย่างค่อยเป็นค่อยไป มั่นใจภายใน 25-3 ปี ข้างหน้า บริษัท แสนสิริฯ จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำตลาดที่อยู่อาศัยสำหรับคนต่างชาติ
4. ทวงส่วนแบ่งตลาดบ้านเดี่ยวระดับบน จากบริษัทที่ทำตลาดอยู่ในปัจจุบัน อาทิ บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน) และ บริษัท ควอลิตี้ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) โดยจะนำแบรนด์นาราสิริมาทำตลาดอีกครั้ง ซึ่งปีนี้มีแผนเปิด 4 โครงการมูลค่า 8,000 ล้านบาท ในย่านบางนา , ศรีนครินทร์, พุทธมณฑลสาย 1 และพระราม 2
5 . ขยายตลาดให้ครอบคลุมมากขึ้น โดยเพิ่มการลงทุนทาวน์เฮาส์ ราคา 1.5 ล้านบาท และบ้านเดี่ยวราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ในทำเลแหล่งงาน เช่น นิคมอุตสหากรรม ย่านปทุมธานี วงแหวนกาญจนาภิเษก หรือใกล้แหล่งเมืองเก่า เช่น ประชาอุทิศ หรือ สำโรง เป็นต้น คาดว่าจะสามารถเปิดตัวได้ภายในไตรมาส 2 นี้
6.เพิ่มสัดส่วนการพัฒนาโครงการด้วยระบบพรีคลาสให้มากขึ้น ซึ่งในช่วงกลางปีนี้บริษัทมีแผนเพิ่มกำลังการผลิตสำหรับโครงการแนวสูง โดยเฉพาะแบรนด์ ดีคอนโด ภายใต้กำลังการผลิตที่ 42,000 ตารางเมตร/ปี หรือราว 10 อาคารต่อปี รวมถึงทาวน์เฮาส์ภายใต้แบรนด์ใหม่ที่จะเปิดตัวภายในปีนี้อีกด้วย นอกจากนี้บริษัทมีแนวโน้มจะเพิ่มกำลังการผลิตในอนาคตเนื่องจากปัจจุบันใช้พื้นที่โรงงานไปเพียง 30-40 ไร่จากทั้งหมด 100 ไร่ เพื่อช่วยลดปัญหาการขาดแคลนแรงงานและเร่งส่งมอบโครงการทั้งหมดภายในสิ้นปีนี้ ล่าสุดบริษัทได้จับมือกับพันธมิตรผู้รับเหมาก่อสร้างเดิม คือ บริษัท สี่พระยาก่อสร้าง จำกัด และ บริษัท ศิวะพัฒน์ คอนสตรัคชั่น แอนด์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัดเพื่อพัฒนาโครงการทั้งในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑล และต่างจังหวัด ส่วนโครงการที่หัวหินใช้บริษัท คอนสตรัคชั่น ไลนส์ จำกัด
สำหรับผลการดำเนินธุรกิจในปี 55 ที่ผ่านมา มียอดขายประมาณ 42,600 ล้านบาท จาก 52 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 57,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากการขยายฐานลุกค้าออกสู่ต่างจังหวัดมากขึ้น และความสำเร็จจากการสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักผ่านสื่อท้องถิ่นต่างๆ งบการตลาดสำหรับสร้างแบรนด์ในปีที่ผ่านมาประมาณ 1.7% จากมูลค่ายอดขายทั้งหมด (42,600 ล้านบาท) ด้าน บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด บริษัทในเครือแสนสิริ ปัจจุบันได้รับความไว้วางใจให้ดูแลและบริษัทสินทรัพย์ประเภทอสังหาฯทั้งสิ้น 200 โครงการ รวมพื้นที่รับผิดชอบกว่า 6.5 ล้านตารางเมตร