เหนือเมฆยังไม่จบ! พิธีกรรายการดังชูรักชูรส ประกาศลาออกประท้วงช่อง3 อัดผู้บริหารช่อง 3 ไร้ศักดิ์ศรีสื่อมวลชน หาข้ออ้างรักษาผลประโยชน์ส่วนตน “สุภิญญา” ออกโรงค้าน ชี้พวกอ้าง ม.37 พร่ำเพรื่อ จ่อเสนอเข้าประชุม กสทช. ด้านสมาคมพิทักษ์ รธน.ร่อนแถลงการณ์ เรียกร้อง สคบ.-กสทช.จัดการช่อง 3 เรียกละครคืนจอให้จบภายใน 3 วัน ไม่ทำจะยื่นฟ้องศาลปกครอง ฐานละเว้น แถมเรียกคืนสัมปทาน เหตุละเมิดสิทธิผู้บริโภคและขัดต่อกฎหมาย ด้านแม่ค้า-ชาวบ้านทั่วประเทศรุมด่าคนสั่งแบน
หลังจากสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 สั่งระงับการออกอากาศ ละครเรื่องเหนือเมฆ 2 โดยอ้างเหตุผลว่า มีเนื้อหาสาระไม่เหมาะสม และเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ไปในวงกว้างนั้น ล่าสุด นพ.กัมปนาท ตันสิถบุตรกุล วิทยากรรายการชูรักชูรส ซึ่งออกอากาศทางไทยทีวีสีช่อง 3 ได้ออกมาประกาศผ่านเฟซบุ๊ค โดยข้อความดังนี้
"ผม...นพ.กัมปนาท ตันสิถบุตรกุล วิทยากรรายการชูรักชูรส ซึ่งออกอากาศทางไทยทีวีสีช่อง 3 มายาวนานเป็นสิบปี บัดนี้ถึงเวลาที่ผมขอประกาศตัวเอง ต่อสาธารณชน ว่า ผมขอยกเลิกการเป็นวิทยากรของรายการชูรักชูรสตลอดไป ตราบใดที่รายการยังออกอากาศทางไทยทีวีสีช่อง 3 อยู่ ด้วยความเคารพในตัว อ.เจิมศักดิ์ ปิ่นทองและทีมงานทุกท่าน ที่มีความตั้งใจในการผลิตรายการที่ดีเพื่อสังคมมาตลอดระยะเวลาที่ยาวนาน ซึ่งผมชื่นชมในอุดมการณ์ที่ดีและกล้าหาญของ อ.เจิมศักดิ์มาตลอดเวลาที่รู้จักท่าน แต่เนื่องจากรายการชูรักชูรสยังคงต้องอาศัยช่อง 3 ในการออกอากาศอยู่ ซึ่งเป็นสถานีที่ผมไม่สามารถยอมรับได้ ณ ปัจจุบัน ในความคิดเห็นของผม ไทยทีวีสีช่อง 3 มีผู้บริหารที่ไร้ศักดิ์ศรีของความเป็นสื่อมวลชนอย่างสิ้นเชิงแล้ว ดังที่เห็นในตัวอย่างที่ไม่ดีเกิดขึ้นมากมาย แต่ทางสถานีก็มีข้ออ้างทุกประการเพียงเพื่อรักษาผลประโยชน์ของตนเองเท่านั้น ในฐานะที่ผมเป็นจิตแพทย์ที่ได้รับการอบรมสั่งสอนจากครูบาอาจารย์ทางด้านจิตเวชศาสตร์ เพื่อให้พวกเราดำรงตนเพื่อคุณงามความดีของบ้านเมืองเรา ดังนั้น ผมจึงถือว่า ไม่ควรเอาตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้องกับสถานีไทยทีวีสีช่อง 3 อีกต่อไป เนื่องจากผมได้แสดงความไม่พอใจทางสถานีผ่านสื่อสังคมออนไลน์บ่อยครั้ง ดังนั้นเพื่อมิให้เกิดข้อครหานินทาว่า "ด่าแต่เขา แต่อิเหนาก็ยังมีรายการมาออกช่องดังกล่าวอยู่" และผมก็มิใช่คนตอแหลและหน้าด้านเหมือนใครบางคนในสังคมและในสถานีดังกล่าว อีกอย่างหน้าที่ผมก็คือจิตแพทย์ที่ออกตรวจคนไข้ในโรงพยาบาล การทำงานออกสื่อถือเป็นการตอบแทนสังคม เพื่อความสุขใจของตนเองและผู้ที่มีปัญหาสุขภาพจิตที่น่าสงสารอีกมาย ที่รอการบำบัดรักษาเยียวยาจิตใจอยู่ มิใช่การทำงานเพื่อรายได้จากการออกสื่อ เหมือนดาราหรือนักข่าวอีกหลายๆคนที่หาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง ด้วยการทนยอมๆไป ซึ่งขัดต่ออุดมการณ์ของตัวผมเองในการที่อยากจะทำงานร่วมกับหน่วยงานที่มีศักดิ์ศรีในวิชาชีพ ...ในที่สุดนี้ ขออภัยที่จะต้องทะยอยลบภาพทั้งหมดรวมถึงคลิปวิดีทัศน์ที่เกี่ยวข้องกับสถานีไทยทีวีสีช่อง 3 ออกทั้งหมดนะครับ แต่ยังมีคลิปดีๆที่ออกอากาศในสถานีอื่นๆอีกมากมายที่ผมได้ลงไว้ใน youtube เพื่อประโยชน์ต่อสังคมอยู่ครับ
ปล. เนื่องจากเทปบันทึกรายการชูรักชูรสของผม ได้บันทึกเทปไว้ตั้งแต่วันที่ 10 ธ.ค. 55 และทางทีมงานจะนำออกอากาศวันที่ 10 ม.ค. 56 และ 24 ม.ค. 56 เราได้คุยกันแล้วว่า เหตุการณ์ความไม่พึงพอใจของผมเพิ่งมาเกิดหลังมีการบันทึกเทปไปแล้ว และไม่อยากให้ต้องยกเลิกรายการออกอากาศไป (เนื่องจากการถ่ายทำต้องใช้งบประมาณมากพอสมควร อันนี้เป็นสิ่งที่ผมเห็นใจทีมงานอย่างมาก) จึงจำเป็นต้องออกอากาศต่อไป แต่หลังจากม.ค. 56 แล้วจะไม่มีผมออกรายการทางช่อง3 อีกแน่นอน ครับ ขอบคุณครับ"
นพ.กัมปนาท เป็นชาวเมืองเบตง จ.ยะลา เริ่มรับราชการสาขาจิตเวชศาสตร์ ตั้งแต่ พ.ศ.2538 ที่ โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา จากนั้นมาปฏิบัติงานในสาขานิติจิตเวชศาสตร์ ที่สถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ และ นพ.กัมปนาท ได้รักษาอาการป่วยทางจิตของ น.ส.จิตรลดา ตันติวาณิชยสุข จำเลยในคดีไล่แทงนักเรียน โรงเรียนเซนต์โยเซฟคอนเวนต์ และมีผลงานเป็นวิทยากรรายการโทรทัศน์อีกมากมาย สำหรับรายการชูรักชูรส เป็นรายการที่ให้ความรู้เกี่ยวกับเพศศึกษา และออกอากาศกับทางช่อง 3 มา ร่วม 10 ปี
ภายหลัง นพ.กัมปนาท ได้โพสต์ข้อความดังกล่าวในเฟซบุ๊คไม่นานมีคนกดไลค์เพียบ ล่าสุด เมื่อเวลา 10.19 น.วันนี้ (6 มกราคม) ได้มีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็นแล้วร่วม 1,024 ความเห็น กดไลค์ร่วมกว่า 8,932 ไลค์ รวมทั้งแชร์ข้อความดังกล่าวไปแล้วกว่า 2,888 ครั้ง
***“สุภิญญา” เตือนอ้าง ม.37พร่ำเพรื่อ
น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ กรรมการกิจการกระจายเสียง-กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสช. โพสต์ข้อความผ่านทวิตเตอร์ส่วนตัว @supinya แสดงความเห็นกรณีการระงับออกอากาศละคร เหนือเมฆ 2 ตอน มือปราบจอมขมังเวทย์ ทางสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง ช่อง 3 ทั้งที่ละครยังออกอากาศไม่จบสมบูรณ์
น.ส.สุภิญญาระบุว่า ได้รับรายงานเรื่อง ระงับออกอากาศละคร เหนือเมฆ 2 ซึ่งทางกฎหมาย กสทช.คงไม่มีอำนาจสั่งให้สถานีออกอากาศหรือไม่ให้ออกอากาศละครเรื่องไหน เพราะเป็นการตัดสินใจของสถานี หากถูกแทรกแซงทางการเมืองจริง ก็จะกระทบถึงเรื่องเสรีภาพ และทhttp://@supinyaงช่อง 3 ก็จะเสียภาพลักษณ์มาก หากยอมให้แทรกแซงด้วยเหตุผลที่อ่อนแอ และเป็นการเสียศักดิ์ศรีของทางสถานี
กสทช.เป็นองค์กรที่ดูแลช่อง 3 โดยตรงตามกฎหมาย มีอำนาจตามกฎหมายหากเนื้อหาละครตรงตามมาตรา 37 พ.ร.บ.ประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ มีเนื้อหาลักษณะล้มล้างการปกครอง กระทบความมั่นคง หรือลามกอนาจาร แม้ กสทช.จะมีอำนาจในการสั่งแบนวิทยุและโทรทัศน์ได้ แต่ทางคณะกรรมการยังไม่เคยใช้อำนาจนี้และเป็นสิ่งที่ต้องระวังในการใช้มาก
ดังนั้น เมื่อ กสทช.ไม่ได้ใช้อำนาจ แต่สื่อสั่งแบนตัวเอง สะท้อนให้เห็นว่ามีองค์กรที่สื่อกลัวกว่า กสทช. และ กสทช.ยังไม่มีบารมีพอจะคุ้มครองสื่อได้ และผู้เสียหายจะตกเป็นคนดูโทรทัศน์ แม้แต่ละครเรื่อง แรงเงา ที่ได้รับเรื่องร้องเรียนมาเป็นอย่างมาก ทางคณะกรรมการฯยังไม่มีแม้แต่การเตือน เพราะเป็นสิทธิเสรีภาพของสื่อ เพียงขอให้ปรับเรตติ้งให้เหมาะสมเท่านั้น ความจริงสังคมที่เป็นประชาธิปไตยและมีวุฒิภาวะ รัฐไม่ควรเข้าไปยุ่งควบคุมเนื้อหาสื่อ เว้นแต่เนื้อหาที่ผิดกฎหมายชัดเจน
“ส่วนตัวดิฉันคิดว่า ช่อง 3 สั่งแบนตัวเองเพราะความกลัว มือที่มองไม่เห็น นัยหนึ่งคืออิทธิพลทางการเมืองที่ผูกพันกับสัญญาสัมปทานฯ ช่อง 3 กลัวสิ่งนั้นมากกว่า กสทช. เพราะอยู่ภายใต้ระบบสัญญาสัมปทานที่ควบคุมโดยสำนักนายกฯ ผ่านรัฐวิสาหกิจ คือ อสมท ทำให้คนไทยยังได้ดูแต่ละครเนื้อหาตบตีแย่งชิง ข่มขืน ตลกติงต๊อง เพราะไม่มีใครอยากสร้างละครแนวอื่น โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับการเมือง”น.ส.สุภิญญากล่าวและว่า สำหรับสัญญาสัมปทานช่อง 3นั้น มีปัญหามานานแล้ว อำนาจในการตรวจสอบย้อนหลังเป็นของ กสทช.ตามกฏหมาย ถ้าฝ่ายอื่นอยากมีส่วนตรวจสอบก็ทำการเปิดเผยอย่างจริงใจ เฉพาะกรณีนี้ กสทช.ควรเชิญตัวแทนจากช่อง 3 มาชี้แจงเหตุผล เพราะคงเชิญมือที่มองไม่เห็นมาอธิบายได้
น.ส.สุภิญญาโพสต์ทวิตเตอร์ทิ้งท้ายไว้ด้วยว่า วันที่ 7 มกราคมนี้ จะนำเรื่องดังกล่าวเสนอเข้าที่ประชุม กสทช. หากผู้บริโภคมีเรื่องร้องเรียนแจ้งมาได้ที่ Call Center 1200
***เตรียมยื่นฟ้องศาลปกครอง
สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย โดยนายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ได้ออกแถลงการณ์เรื่อง ช่อง 3 ละเมิดสิทธิผู้บริโภคและรัฐธรรมนูญ สคบ.และ กสทช. ต้องให้การคุ้มครองสิทธิผู้ชมโดยทันที
ในแถลงการณ์ระบุเนื้อหาว่า ละคร “เหนือเมฆ 2 ตอน มือปราบจอมขมังเวทย์” ของผู้จัดละครชื่อดัง นายฉัตรชัย เปล่งพานิช ที่เพิ่งเผยแพร่ทางช่อง 3 ตั้งแต่วันที่ 9 ธ.ค. 55 แต่ถูกสั่งให้จบในวันศุกร์ที่ 4 ม.ค. 56 ที่ผ่านมาโดยไม่มีเหตุผล ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่ามีการเมืองเข้ามาแทรกแซงบีบบังคับ เนื่องจากเนื้อหาในละครเป็นเรื่องการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน และการสั่งสอนนักการเมืองที่เป็นรัฐบาล ให้คำนึงถึงความรู้สึกของประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งและเจ้าของประเทศที่แท้จริง
เนื้อหาสาระดังกล่าวของละครไม่ว่าจะเป็นตอนใด ไม่มีข้อความหรือเนื้อหาใดที่เข้าข่ายผิดต่อพระราชบัญญัติวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ปี 2551 เลย ดังนั้น การที่สถานีโทรทัศน์ช่อง 3 ออกมาให้ข่าวว่ามีเนื้อหาไปในทิศทางที่ไม่เหมาะสมนั้น จึงไม่อยู่ในฐานข้อเท็จจริงแต่ประการใด
พฤติการณ์หรือการกระทำของผู้บริหารสถานีโทรทัศน์ ช่อง 3 ซึ่งได้สิทธิในการใช้สื่อสาธารณะของชาติไปดำเนินการแสวงหากำไร และผลประโยชน์ในรูปสัมปทานส่วนตนนั้น จึงได้ดำเนินการในลักษณะลิดรอนสิทธิของผู้บริโภคหรือของสาธารณะโดยชัดแจ้ง อันเป็นการกระทำที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 45 และมาตรา 61 ประกอบมาตรา 4 แห่ง พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค 2522 โดยชัดแจ้ง
สำนักงานคณะกรรมการคุมครองผู้บริโภค (สคบ.) และคณะกรรมการกำกับกิจการโทรทัศน์และโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ในฐานะหน่วยงานภาครัฐที่มีหน้าที่ในการกำกับ ดูแล มิให้ผู้ประกอบการกระทำการอันเป็นการละเมิดสิทธิผู้ชมหรือผู้บริโภคไม่ว่าจะเป็นกรณีใดๆ จะต้องออกมาปกป้องสิทธิของผู้ชมหรือผู้บริโภค ไม่ให้เจ้าของสถานีฯ ละเมิดสิทธิของผู้บริโภค โดยไม่สนใจว่าละครดังกล่าวจะออนแอร์จนจบหรือไม่
ทั้งนี้ หาก สคบ. และ กสทช. ไม่ดำเนินการอย่างใด อย่างหนึ่ง เพื่อมีคำสั่งให้นำละครเรื่องดังกล่าวกลับมาออนแอร์ได้ตามปกติภายใน 3 วันนับแต่วันที่ 5 ม.ค. 56 ก็ถือได้ว่า สคบ. และ กสทช.ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายบัญญัติให้คุ้มครองสิทธิของผู้บริโภค สมาคมฯ จะได้ร่วมมือกับผู้ชมละครดังกล่าวและหรือผู้บริโภค ในการยื่นฟ้องทั้ง 2 หน่วยงานต่อศาลปกครองกลาง ในวันอังคารที่ 8 ม.ค. 56 ณ ศาลปกครองกลาง ถ.แจ้งวัฒนะ เพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งให้หน่วยงานรัฐทั้ง สคบ. กสทช. และช่อง 3 นำละครดังกล่าวออกมาออนแอร์ต่อจนจบตามที่ควรจะเป็นต่อไป
นอกจากนี้ ยังจะยื่นขอให้ศาลสั่งยกเลิกสัญญาสัมปทานที่รัฐทำไว้กับช่อง 3 เนื่องจากการกระทำของผู้รับสัมปทานช่อง 3 มีพฤติการณ์ละเมิดสิทธิผู้บริโภคและขัดต่อกฎหมาย
**จวกนักการเมืองรับความจริงไม่ได้**
ที่ตลาดสดเทศบาลเมืองวารินชำราบ จ.อุบลราชธานี กลุ่มแม่ค้าพ่อค้า และประชาชนที่มาซื้อสินค้า จับกลุ่มพูดคุยกรณีละครเรื่องเหนือเมฆ ภาค 2 ซึ่งถูกสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 สั่งแบน เพราะมีเนื้อหาล้อเลียนการเมืองไทย ทำให้ไม่สามารถรับชมได้ตามปกติเมื่อค่ำวันศุกร์ที่ผ่านมา จึงเสียความรู้สึกอย่างมาก เพราะละครกำลังดำเนินเรื่องไปด้วยดี
นางภัทรี สมศรี ข้าราชการบำนาญ กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า ติดตามดูละครเรื่องนี้ตลอด เพราะชอบเนื้อหา และดาราที่แสดงเป็นผู้มีความสามารถ มีชื่อเสียงโด่งดังในวงการ
พร้อมมองว่า การนำเสนอเป็นเรื่องของละครที่นำเรื่องจริงมาสะท้อน ซึ่งคนดูก็รู้จักแยกแยะออกว่านี่เป็นเรื่องของละคร หรืออันนี้เป็นเรื่องจริง ถ้าทำดีแล้วไม่ควรมาเดือดร้อนกับการแสดงของดารา และมองว่าไม่ได้เป็นการเสียดสีใคร เพราะถ้าทำดีถูกต้องอยู่แล้ว ไม่ต้องกลัวใครว่า ดาราแสดงออกมาอย่างไรก็เป็นเรื่องของนักแสดง แต่การมาทำอย่างนี้ทำให้คนดูเสียความรู้สึก เพราะปัจจุบันคนดูไม่ได้โง่ และฝากถึงคนสั่งแบนละครเรื่องนี้ การสั่งอย่างนี้มันสะท้อนถึงตัวคนสั่งว่ารู้สึกเดือดร้อนใช่หรือไม่
ด้านนางนิภาพร ขันเงิน อาชีพแม่บ้าน กล่าวถึงการติดตามดูละครเหนือเมฆเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ลูกสาวโทรศัพท์มาถามว่ ละครเรื่องนี้จบตอนไปแล้วหรือ เพราะเห็นนำเรื่องอื่นมาออกอากาศแทน ซึ่งตนก็รู้สึกงงเพราะละครหายไปจากหน้าจออย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย และเพิ่งทราบจากข่าวเมื่อเช้าวันนี้ว่าละครถูกแบนแล้ว
นางนิภาพร บอกต่อไปว่า ตั้งแต่ติดตามดูก็มองเป็นเรื่องของความบันเทิง ไม่ได้คิดเป็นเรื่องเสียดสีใคร กระทั่งเพื่อนบ้านบอกสาเหตุที่ถูกห้ามออกอากาศเพราะไปกระทบกระทั่งคนในรัฐบาล ทั้งที่ตลอดเวลาการติดตามดูไม่ได้คิดเลยไปไกลขนาดนั้น และรู้สึกเสียดายที่ไม่ได้ดูอีกเพราะอยากรู้ตอนจบจะเป็นอย่างไร
***ปชป.บี้ กสทช.ตัดสินขัด ม.37หรือไม่
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ กรณีละครเหนือเมฆ 2 โดยโฆษกรัฐบาลอ้างว่า การถอดละครดังกล่าว เป็นการเรียกเรตติ้งนั้น เป็นความเห็นที่ไร้สาระ และแสดงความไม่รู้เรื่อง จึงควรอยู่เฉยๆ จะเป็นประโยชน์กับรัฐบาลมากกว่า เพราะเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเรตติ้ง แต่เป็นการถอดละครเพราะมีการสั่งการ เพราะเนื้อหาละครทำให้รัฐบาลเรตติ้่งตก โดยคิดว่าเป็นการใช้อำนาจตามอำเภอใจ สนองเจ้านายจนลืมคิดถึงผลกระทบ ซึ่งถือเป็นการคุกคามสิทธิเสรีภาพสื่อมวลชน คนทำละคร และละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชนที่ดูละครทั่วประเทศด้วย เพราะละครดังกล่าวสะท้อนพฤติกรรมทุจริต คอร์รัปชั่นของนักการเมืองที่เป็นวิกฤตสังคมไทย แทนที่รัฐบาลจะคิดในเรื่องการถอดละครควรสนับสนุนละครที่สะท้อนสังคมที่ดูสนุกสนานมาก ๆ เพื่อช่วยป้องกันปราบปรามการทุจริตได้ แต่ปรากฏว่า รัฐบาลกลับทำตรงกันข้ามด้วยการถอดละครเรื่องนี้
ส่วนกรณีที่เกี่ยวข้องกับ กสทช. ที่อ้างว่า ช่อง 3 ให้เหตุผลการงดออกอากาศละครดังกล่าวว่า ขัด พ.ร.บ.ประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการวิทยุโทรทัศน์ปี 2551 มาตรา 37 เข้าข่ายล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข กระทบต่อความมั่นคงของรัฐ ฯลฯ ซึ่งตนเห็นว่าเป็นข้ออ้างที่ฟังไม่ขึ้น แต่ก็เห็นใจช่อง 3 ที่ไม่มีทางเลือกมากนักในกรณีนี้
อย่างไรก็ตาม กรณีนี้อยากให้ กสทช. นำเนื้อหาของละครมาพิจารณาว่ามีเนื้อหากระทบต่อความมั่นคงของรัฐ ล้มล้างการปกครองอย่างไร โดยนำเนื้อหาทั้งหมดมาเปิดเผยต่อสาธารณชนด้วย เพื่อให้เห็นว่าข้ออ้างในการถอดละครเรื่องนี้เป็นความจริงหรือไม่ ทั้งนี้เห็นชัดว่าบ้านเมืองมีอธรรมชั่วร้ายปกครองอยู่เหนือเมฆ ทำให้เกิดการถอดละครดังกล่าวออก จึงหวังให้ กสทช. เป็นผู้ตรวจสอบในฐานะเป็นองค์กรอิสระ เ พื่อสร้างบรรทัดฐานไม่ให้เกิดการแทรกแซงในลักษณะนี้อีก
ด้านน.ส.มัลลิกา บุญมีตระกูล รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงความเคลื่อนไหวบนโซเชียลเน็ตเวิร์ก เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวว่า เป็นสิ่งที่รัฐบาลควรตระหนัก และฟังเสียงประชาชนเพราะมีความเคลื่อนไหว 100 % ไม่เห็นด้วยกับการถอดละครต้องการให้นำกลับมาฉายใหม่ รวมทั้งให้ผู้บริหารช่อง 3 ชี้แจงเรื่องนี้ ขณะเดียวกันศิลปินก็มีการเคลื่อนไหวในเรื่องนี้ชัดเจนว่า ถูกแทรกแซงจากฝ่ายการเมือง จนไม่มีละครตอนจบ เกิดระแสด่ารัฐบาล ดังนั้นหากไม่มีการแทรกแซง กดดันกับช่อง 3 ก็ควรเรียกร้องให้ผู้บริหารช่อง 3 นำละครเรื่องนี้มาออนแอร์ซ้ำ เพราะเป็นเรื่องที่สื่อมวลชนกำลังถูกท้าทายอย่างยิ่งยวด เนืิ่องจากก้าวล่วงไปถึงละคร และจะกลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียว พร้อมกับตั้งคำถามว่า การถอดละครดังกล่าวเป็นเพราะมีผู้บริหารเดินทางไปฮ่องกงที่ช่วงปีใหม่ ไปพบใครหรือไม่ จึงทำให้ถูกแรงกดดันจนต้องถอดละครเรื่องนี้ออก และทราบมาว่าจะมีการเคลื่อนไหวจากเหล่าศิลปิน รวมถึงผู้เขียนบทกว่า 100 คน ที่จะเคลื่อนไหวเรื่องนี้ ซึ่งจะทำให้เรื่องนี้กลายเป็นประเด็นสาธารณะ
** ชี้ช่อง3 เซนเซอร์ตัวเองหนีภัยคุกคาม
นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มกรีน (Green Politics) กล่าวว่า ที่ผู้บริหารช่อง 3 แจ้งต่อกรรมการ กสทช.เบื้องต้นว่า เหตุที่มีคำสั่งแบนละครเหนือเมฆ 2 นั้น เพราะเข้าข่ายขัด พ.ร.บ.ประกอบกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์ พ.ศ. 2551 มาตรา 37 ที่ระบุว่า ห้ามไม่ให้ออกอากาศเนื้อหารายการที่มีลักษณะล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือ ที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือกระทำซึ่งเข้าลักษณะลามกอนาจาร หรือมีผลกระทบต่อการให้เกิดความเสื่อมทรามทางจิตใจหรือสุขภาพของประชาชนอย่างร้ายแรง
ถ้าดูบทละครนี้คร่าวๆ นอกจากไม่เข้าข่ายผิด มาตรา 37 แล้ว ละครเรื่องนี้ยังส่งเสริมศีลธรรมอันดีในสังคม ที่เน้นให้คนทำดี และจุดจบของคนไม่ดี หรือนักการเมือง คนมีอำนาจที่ใช้อำนาจคดโกง หาประโยชน์เพื่อตัวเองและครอบครัว เนื้อหาของละครเรื่องนี้ถือเป็นการตีแผ่การเมืองไทยในรอบทศวรรษได้อย่างลึกซึ่ง
ซึ่งตอนจบของละครที่พูดถึงธรณีสูบชายชุดดำ ที่มีเวทมนต์คอยช่วยเหลืออยู่เบื้องหลัง และคอยชักใยนักการเมืองโกง อาจเป็นบทที่สะเทือนใจบางคน ทำให้ละครเรื่องเหนือเมฆ เป็นละครที่ไม่มีตอนจบ เพราะคนบางคนไม่อยากเห็นจุดจบของตัวเอง
ทั้งนี้ ผู้บริหารช่อง3 อาจเลือกเซนเซอร์ตัวเอง เพื่อความสบายใจของผู้มีอำนาจ จะมาอ้างว่าเป็นการควบคุมกำกับตัวเองคงอ้างไม่ขึ้น เพราะเป็นคนละความหมายกัน การเลือกเซนเซอร์ตัวเองสะท้อนวงการสื่อสารมวลชนไทยที่กำลังกลับไปสู่ยุคอาณาจักรแห่งความหวาดกลัว ในยุครัฐบาลทักษิณสมัยแรก ที่มีทั้งการแทรกซีม แทรกแซง และแทรกซื้อ สื่อมวลชนสารพัดรูปแบบ
ในบทละครนี้ยังมีจุดที่น่าสงสัยอีกประเด็นคือ บทบาทของอธิบดีกรมสอบสวนคดิพิเศษในละครเหนือเมฆ 2 จะเรียกชื่อว่า ผู้บัญชาการ TSI ที่มีพฤติกรรมไม่ซื่อ พยายามตกแต่งหลักฐานเท็จ เพื่อเล่นงานคนอื่น ประเด็นนี้อาจะกระทบกับทางช่อง 3 ที่กำลังถูก DSI สอบสวนกรณีต่ออายุสัมปทานช่อง 3 ที่อาจเข้าข่ายผิดกฎหมายอยู่ด้วยหรือไม่
ฉะนั้นข้ออ้างของผู้บริหารช่อง 3 จึงไม่เป็นความจริง เป็นเพียงการโกหกเพื่อเอาตัวรอดและเอาเรื่องการล้มล้างการปกครองฯ มาอ้างเพื่อแบนละครเรื่องนี้ ถือว่าเป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ดังนั้น คณะกรรมการกำกับกิจการกระจายเสียง วิทยุ โทรทัศน์และโทรคมนาม หรือ กสทช.จะต้องมีคำตอบให้ประชาชนและถือเอาเป็นกรณีศึกษาเพื่อวางมาตรการไม่ให้เกิดกรณีนี้อีก.