ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - เข้าสู่ปี 2256 อย่างเป็นทางการไปเรียบร้อยแล้ว ที่หลายฝ่ายมองและคาดการณ์ว่าจะเป็นไปด้วยปีนี้การเมืองจะเป็นไปในทิศทางใดและจะร้อนแรงร้อนแรงหรือไม่ เอาแค่ไม่ต้องอื่นไกล เพราะประชาชนตาดำๆ ยังต้องเห็นรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มอบของขวัญส่งท้ายปีให้คนไทยด้วยการเดินหน้าลุยพา นช.ทักษิณ ชินวัตร กลับบ้าน ในประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งหลายฝ่ายก็มองว่าอาจเกิดการต่อต้านรุนแรงเป็นประเด็นร้อนในการเมือง 2556 ด้วยหรือไม่ แน่นอนประชาชนและหลายฝ่ายกำลังจับตาว่ารัฐบาลของน.ส.ยิ่งลักษณ์ จะเดินหน้าบริหารประเทศ ไปในทิศทางใด
ทั้งนี้ “ศ.ดร.จรัส สุวรรณมาลา” อดีตคณบดีคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้พูดคุยกับ ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ ถึงแนวโน้มทิศทางการเมืองไทยในปี 2556 ว่าจะออกมาในทิศทางใดจะเกิดเหตุการณ์ที่จะทำให้การเมืองร้อนแรงอย่างที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้หรือไม่ และรัฐบาลจะเดินหน้าบริหารประเทศในแบบลักษณะใด
ภาพรวมของการบริหารประเทศของรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ จะเป็นไปในลักษณะใด
ถ้ามองในแง่บวก ปี 2556 หากรัฐบาลไม่มีปัญหาอะไรรบกวนคงจะมุ่งเน้นบริหารเรื่องนโยบายหลัก อาทิ เรื่องค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท ทั่วประเทศ ที่จะเริ่มใช้วันที่ 1มกราคม 2556 โครงการรับจำนำข้าว โครงการป้องกันน้ำท่วม และอื่นๆ ส่วนอีกเรื่องที่ดูเหมือนรัฐบาลจะหยุดไม่ได้ก็คือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งถือเป็นเรื่องสุ่มเสี่ยงและคงจะเป็นประเด็นหลักในปีนี้ก็ว่าได้
การแก้รัฐธรรมนูญมีหลายทางเลือกคาดว่ารัฐบาลจะใช้แนวทางใด
ที่ได้ยินตามสื่อรัฐบาลบอกว่าจะใช้วิธีทำประชามติซึ่งถ้าวิธีนี้ไม่ได้ก็จะกลับไปใช้วิธีแก้รัฐธรรมนูญเป็นรายมาตรา โดยส่วนของประชามติเป้าหมายก็คือเพื่อที่จะให้สามารถยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ได้ทั้งฉบับ ในส่วนของการแก้รายมาตราก็เป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญปี 2550 ระบุไว้ ซึ่งอาจจะแก้หลายมาตราก็ย่อมได้ อย่างไรก็ตามเท่าที่เห็นท่าทีรัฐบาลขณะนี้เหมือนจะเลือกแนวทางการทำประชามติก่อนคือถ้าไม่ได้ก็คงไปเลือกแก้เป็นรายมาตราแทน แต่ไม่ว่าอย่างไรในรัฐบาลก็มีตัวแทนหลายกลุ่มทั้ง ส.ส.พรรคเพื่อไทย กลุ่มคนเสื้อแดง ซึ่งขณะนี้ก็ดูเหมือนยังไม่มีข้อสรุปที่แน่นอน เพราะมีหลายปัจจัยทั้งความล่าช้า การติดขัดด้านข้อกฎหมาย ตอนนี้ดูเหมือนว่าทางรัฐบาลกำลังตัดสินใจกันอยู่
ปัญหาการแก้รัฐธรรมนูญในแต่ละแนวทางจะอยู่ตรงไหนบ้าง
การแก้เป็นรายมาตราสามารถทำได้ โดยรัฐสภาก็จะมีการเปิดประชุมเอาร่างฉบับปัจจุบันเข้าวาระ 3 แล้วโหวตให้ตกไป แล้วจึงเสนอเข้ามาใหม่เป็นแก้รายมาตราแทน การแก้รายมาตราก็จะใช้เวลา มันจะมีปัญหาอยู่ 2จุดคือ จะเอามาตราไหนขึ้นมาแก้ ถ้ามีประเด็นที่ชวนสงสัยได้ว่า มาตรานั้นจะไปช่วยเหลือใครคนหนึ่งโดยเฉพาะหรือไม่ เช่นมาตรา 309 ก็จะเห็นชัดเลยซึ่งอย่างนี้เกิดปัญหาตามมาแน่นอนไม่ต้องสงสัย ปัญหาอีกจุดหนึ่งคือต้องใช้เวลา อย่างที่ร.ต.อ.เฉลิม(อยู่บำรุง)เคยพูดไว้เหมือนกันว่ามีหลายมาตราที่จะต้องแก้ซึ่งคงจะต้องใช้เวลานาน แต่ถ้าต้องการจะเร่งให้เสร็จเร็วก็จะไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนัก ในทางปฏิบัติแนวทางนี้จะดีตรงที่รัฐธรรมนูญระบุไว้ ไม่ได้ซับซ้อนในเชิงของกระบวนการใหญ่ จะยากตรงที่ต้องอภิปรายเป็นรายมาตราใช้เวลาค่อนข้างนาน
อีกทางเลือกคือการทำประชามติก็มีนัยคือรัฐบาลต้องการจะแก้ทั้งหมดและต้องยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ปัญหาก็คือยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่าจะเอาอย่างไร ที่สำคัญก็คือไม่ใช่ว่าจะราบรื่น อาจจะมีคนตั้งคำถามว่าการทำประชามติเพื่อยกร่างทั้งฉบับมันสอดคล้องกับเจตนารมณ์มาตรา 165 หรือไม่ ที่เขียนไว้ว่าการแก้รัฐธรรมนูญในประเด็นที่ขัดแย้งกับรัฐธรรมนูญจะกระทำไม่ได้ ปัญหาอีกอย่างคือ ถ้าจะทำประชามติต้องมีการตั้งประเด็น ว่าจะให้เห็นชอบหรือไม่เห็นชอบกับประเด็นอะไร อาทิเห็นชอบจะให้ยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่หรือไม่
ก็อาจจะมีคนยกเจตนารมณ์ของมาตรา 165 ไปร้องศาลรัฐธรรมนูญ คาดว่าศาลรัฐธรรมนูญก็คงจะวินิจฉัยไปทางเดียวกับคราวที่แล้ว ซึ่งกว่าจะมีคำพิพากษาออกมาต้องใช้เวลาพอสมควร การทำประชามติอีกเรื่องที่น่ากังวลสำหรับรัฐบาลเองก็คือเรื่องคะแนน ต้องเกินกึ่งหนึ่งของผู้ที่มีสิทธิ์ ซึ่งถ้าผ่านก็สามารถที่จะดำเนินการได้ ซึ่งไม่แน่ใจว่าการลงคะแนนจะผ่านหรือไม่ อันนี้ก็คือความเสี่ยงอย่างหนึ่ง ถ้าคนออกเสียงไม่ถึงวิธีนี้ก็ต้องล้มลง ที่รัฐบาลเกริ่นว่าจะทำประชามติเดือนมีนาคมก็อาจจะไม่ได้ประเมินความเสี่ยงไว้สูง อีกด้านหนึ่งหากสมมุติผ่านประชามติแล้วก็ต้องมีการยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ มีการตั้งส.ส.ร.ขึ้นมาก็คงต้องใช้เวลานานพอสมควร ซึ่งในปี2556 ก็ไม่พ้นประเด็นการเมืองเรื่องนี้
ความสัมพันธ์แกนนำเสื้อแดงกับทักษิณ ที่ทักษิณสั่งหน้าให้เดินหน้าต่อแก้รธน. แต่แกนนำเสื้อแดงบอกให้โหวตวาระ3 ไปเลย ดูเหมือนจะมีความขัดแย้ง มองว่าปี 2556 ทักษิณจะจัดวางคนเสื้อแดงไว้อย่างไร
ต้องยอมรับว่าแกนนำเสื้อแดงต้องการจะแก้ไขรัฐธรรมนูญให้มันจบไวที่สุด ซึ่งนั้นก็รวมไปถึงความต้องการของคุณทักษิณด้วย แต่อีกด้านหนึ่งก็ต้องมองว่ารัฐบาลจะอยู่ได้หรือไม่ด้วย ว่ารัฐบาลจะทำงานในปีนี้ได้มีประสิทธิภาพแค่ไหน ซึ่งคิดว่ารัฐบาลคงอยากจะบริหารไปในระยะยาวมากกว่า หรือจะเป็นทางผลประโยชน์ทางการเมืองก็จะมีมากกว่า ซึ่งอาจจะช้าแต่คาดว่ารัฐบาลอาจเลือกแนวทางนี้มากกว่า ส่วนกลุ่มคนเสื้อแดงผมมองความสำคัญของบทบาทคนเสื้อแดงไม่มากนัก การเมืองในปัจจุบันพูดยากว่าใครกำลังใช้ทางเลือกไหนในการเดินเกม คนเดียวอาจเดินเกมหลายทางเลือก ทางไหนได้เปรียบก็เลือกทางนั้น ถ้าคุณทักษิณอยากจะให้มีแรงมาสนับสนุนรัฐบาล สนับสนุนคนเสื้อแดงด้วย เพื่อเกื้อหนุนในทางการเมือง ต้องเล่นคนละบทบาทถึงจะได้ประโยชน์มากกว่า
หากการแก้รัฐธรรมนูญใช้เวลานาน ทางเลือกอย่างพ.ร.บ.ปรองดองมีสิทธิ จะถูกหยิบใช้มาเล่นหรือไม่
กฎหมายปรองดอง เป็นอีกทางหนึ่งที่รัฐบาลจะหยิบยกมาเล่นเมื่อไหร่ก็ได้ ที่เคยเสนอมาก็ชัดเจนมากว่าจุดประสงค์คืออะไร ชัดเจนว่ามันคมจนอาจบาดมือตัวเองได้ อันไหนคมก็ต้องซ่อนไว้ข้างหลังก่อน ถ้าจะควักออกมาใช้ต้องหมายความว่าต้องเป็นโอกาสที่ได้ผล แต่วิธีแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นไปตามกฎหมายมากกว่าและเห็นไม่ค่อยชัด ขณะเดียวกันก็เชื่อว่าร่าง พ.รบ.ปรองดองก็คงยังไม่ถอนออก ถ้าตอนใดจะใช้เป็นการต่อรองก็คงจะนำมาใช้ได้อีก เรื่องนี้มองว่าคุณอภิสิทธิ์ กับคุณสุเทพ คงจะเล่นด้วยไม่ได้ ที่ทั้งสองกำลังเหมือนเจอบีบทางคดีให้ไปเล่นเกมปรองดองด้วย ที่ดูเหมือนว่าทั้งสองคนก็ดูออกว่าฝั่งคุณทักษิณกำลังใช้เกมการเมืองเรื่องคดีเป็นตัวบีบ เพื่อให้ผ่านกฎหมายปรองดอง รวมไปถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตอนนี้ทั้งสองคนก็เดินหน้าพูดว่าจะไม่ยอมเล่นเกมแก้รัฐธรรมนูญ แต่ก็ใช่ว่าคนที่ถูกเล่นงานจะไม่มีกำลังนะ ประเด็นก็คือเอาใจคนเสื้อแดงเท่านั้น
ที่สุดแล้วในปี 2556 รัฐบาลจะเลือกเดินทางแก้รัฐธรรมนูญให้ได้ทางหรือเล่นบทประคองตัว
ที่ผ่านมารัฐบาลก็เลือกที่จะประคับประคองตัวมาเช่นกัน พูดถึงกลุ่มคนที่จะออกมาต่อต้านรัฐบาลดูจะไม่เกรงกลัวเท่าใดนักดูจากม็อบล่าสุดที่ออกมา ไม่ได้มีวิธีการที่ไปกดดันรัฐบาลได้มากขนาดนั้น ฉะนั้นปัญหาที่รัฐบาลจะต้องเผชิญจะเป็นศึกในระหว่างรัฐบาลกับคนเสื้อแดงเสียมากกว่าทุกวันนี้ ในปี 2556 รอยร้าวก็จะมากกว่าเดิมตอนนโยบายต่างๆ เริ่มส่งผลกระทบออกมา
การเมืองไทยปี 2556 มีสิทธิเกิดความวุ่นวายมากน้อยแค่ไหน
เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือเอากฎหมายปรองดองขึ้นมาเล่น ยังคงเป็นชนวนแห่งความขัดแย้งกันอยู่ ทุกครั้งก็จะมีปัญหามาตลอด ซึ่งหากไม่อยากเกิดปัญหาแล้วนั้น รัฐบาลก็คงเลือกที่ประคองตัวไปเรื่อยๆ ชะลอไปก่อนหากเห็นว่าจะเกิดปัญหาตามมา เพื่อให้ทำงานต่อได้ ทั้งนี้ในรัฐบาลเองก็ประกอบไปด้วยบุคคลหลายกลุ่ม ซึ่งบางกลุ่มก็อยากจะให้รัฐบาลอยู่ยาวๆ อาจเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ หรือบางกลุ่มก็อาจคิดว่ารัฐบาลไม่ต้องอยู่ยาวก็แค่เล่นเกมที่ต้องการให้จบๆไปก็ได้ ซึ่งคนสองกลุ่มนี้มีการต่อรองกันอยู่ตลอดเวลา ส่วนจะเกิดความวุ่นวายหรือไม่ก็ต้องอยู่กับแนวทางของรัฐบาลเองว่าจะเลือกอย่างไร
สิ่งใดที่จะสั่นคลอนเสถียรภาพรัฐบาลมากที่สุด
ปัญหาภายในของรัฐบาลเอง เท่าที่ผ่านมารัฐบาลเสียงข้างมากในประเทศไทยหากจะพังลงมาก็มีปัญหาจากภายในเป็นส่วนใหญ่ และชุดนี้ก็คงไม่มีข้อยกเว้น มีหลายกลุ่มต่อรองทั้งที่เป็นรัฐมนตรีแล้วยังไม่ได้เป็น เรื่องผลประโยชน์มันไม่เข้าใครออกใครมีสิทธิทะเลาะกันได้ พูดถึงในสภาผู้แทนราษฎรทำอะไรรัฐบาลไม่ได้อยู่แล้ว หรือปัจจัยภายนอกหากรัฐบาลแก้ไขปัญหาเรื่องข้าวได้ไปด้วยดีก็จะได้รับการสนับสนุนมากขึ้น แต่ดูแล้วถึงจะได้คะแนนนิยมจากชาวนาก็จริง แต่ใครก็รู้ว่านโยบายนี้จะไปไม่ได้ยาว มันจะต้องหยุดเพราะขาดทุนขนาดนั้นปิดยังไงก็ไม่มิด พวกธนาคารก็ส่งสัญญาณมาทางรัฐบาลแล้วว่าเงินไม่พอต้องรีบกู้มา ปัญหาคือการหากู้ก็ไม่ได้ง่าย เพราะเงินในระบบได้ถูกเอาลงตลาดทุนมากขึ้นและรัฐบาลก็ต้องกู้ในดอกเบี้ยที่สูงขึ้นด้วย นี่ก็คือจุดแตกหักของการเล่นการเมืองแบบประชานิยม รัฐบาลคิดว่ามีเงินอยู่ในตักเยอะ แต่พักหนึ่งก็จะมีหลายฝ่ายเห็นว่าเป็นเช่นไร ไม่ต้องอื่นไกลแค่เดือนมกราคมก็ต้องหาเงินไปอุ้มธุรกิจเอสเอ็มอี ที่ประกาศจะขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ เกิด แรงงานออกมาบอกว่าไม่ได้รับเงินที่ประกาศจะให้ก็จะออกมาประท้วงก็ต้องเจอม็อบ อย่างม็อบสวนปาล์ม ที่ไม่ได้ถูกจัดตั้งจะจัดการยากมากเช่นกัน
ปัญหาเรื่องทุจริตคอรัปชั่น จะส่งผลต่อรัฐบาลแค่ไหน
ปีหน้าอาจยังไม่ได้น่ากลัว แต่อาจจะไปเห็นผลเลวร้ายในปีถัดไป รัฐบาลจะเริ่มเห็นตัวเลขหนี้ออกมาจริงๆ เป็นตัวเลขแสนแสนล้านชัดเจน จะแย่ถ้ารัฐบาลไม่รีบคลายปมตั้งแต่ปีหน้า เช่นนโยบายจำนำข้าว ถ้าไม่ปรับเปลี่ยนนโยบายเสียใหม่ ถ้าแก้ปัญหาไม่ดีก็อาจเจอบรรดาสารพัดม็อบ ม็อบแรงงาน ม็อบชาวนา ม็อบต้านรัฐธรรมนูญ ก็อาจจะแย่ได้
มองว่าทักษิณ ชินวัตรจะวางตัวอย่างไรในปี 2556
ไม่แน่ใจเช่นกัน และไม่อยากพูดถึงเรื่องของคุณทักษิณนัก เพราะผมให้ความสำคัญของคุณทักษิณน้อยมาก ถึงคุณทักษิณจะดูเป็นตัวละครสำคัญทางการเมืองของประเทศไทยก็ตามที ดูเหมือนว่าคุณทักษิณถูกให้ความสำคัญเกินกว่าที่ควรจะเป็นด้วยซ้ำไป คิดว่าลืมๆไปเสียบ้างก็ดีเหมือนกัน
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจะส่งผลอย่างไรต่อการเมืองไทยหรือไม่
แล้วแต่เรื่องมากกว่า อย่างเช่นประเทศสหรัฐอเมริกา เข้ามาในประเทศเราเพื่อรักษาพื้นที่ตัวเอง เพื่อป้องกันไม่ให้จีนมามีอิทธิพลมากเกินไป มองไปในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็คงเป็นเรื่องการลงทุนร่วมกันแบ่งปันผลประโยชน์
เทียบปี 2555 กับปี 2556 ที่จะถึงวิกฤตการเมืองไทยปีไหนดูจะหนักหน่วงกว่ากัน
ปี 2556 จะหนักกว่าเรื่องเศรษฐกิจ ประเด็นเรื่องการส่งออกที่ต่างประเทศก็พบเจอวิกฤตเศรษฐกิจ แต่การที่มีการมาลงทุนบ้านเราเยอะก็ดูเหมือนจะดี ปัญหาคือเราส่งออกเขาได้ แต่ก็จะเจอปัญหาเงินเฟ้อด้วยเช่นกัน แบงก์ชาติก็อาจจะต้องดูแลเรื่องนี้ อย่างไรก็ตามปัญหาที่เจอแน่ๆ คือเรื่องค่าแรง ที่รัฐบาลต้องเดินหน้าไปให้ได้
เศรษฐกิจจะกระทบไปถึงคนเสื้อแดงที่สนับสนุนรัฐบาลหรือไม่ แล้วจะเกิดผลอย่างไรต่อรัฐบาล
ถ้ากลุ่มคนเสื้อแดงกลุ่มนั้นเป็นแรงงานระดับล่างเสียส่วนใหญ่ก็ต้องระวังว่าจะลุกขึ้นมาประท้วง การแก้ปัญหาของรัฐบาลก็คือไม่พ้นต้องอาศัยบรรดานักพูดทั้งหลาย อาทิแกนนำคนเสื้อแดงออกมาพูดหว่านล้อม หรือรัฐบาลเองก็อาจจะพูดว่ารัฐธรรมนูญไม่ดีบ้างละ ก็อาจจะใช้วิธีนี้ไปอ้างเพื่อแก้ปัญหาความยากจน แน่นอนว่ามีนักพูดในรัฐบาลสามารถพูดออกมาให้คนเสื้อแดงเชื่อในลักษณะนี้ได้ คนไทยส่วนใหญ่ต้องบอกตรงๆว่าไม่มีข้อมูลเท่าที่ควร คนไทยส่วนใหญ่หาเช้ากินค่ำก็ไม่มีเวลาไปคิดอะไรมาก อะไรถูกอะไรผิด รัฐบาลก็อาจอาศัยวิธีจับแพะจนแกะได้ บอกตรงๆว่าปีหน้าประชาชนจะลำบาก คนชั้นล่างจะโดนก่อนใคร