อาจกล่าวได้ว่าปี 2556 รัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้ใช้ความพยายามอย่างมากในการจับมือกับฝ่ายที่อาจสั่นคลอนอำนาจของรัฐบาล เพื่อให้รัฐบาลชุดนี้อยู่ให้ได้นานที่สุดเพื่อที่จะได้ใช้งบประมาณที่ได้กู้หนี้ยืมสินมาจำนวนมากมายมหาศาลอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ชาติไทย
การส่งไมตรีจับมือเพื่อ “ซื้อเวลา” การประนีประนอมระหว่างรัฐบาลกับกองทัพทำให้กองทัพกลายเป็นส่วนที่ต้องยอมสยบหมอบราบคาบให้กับรัฐบาลไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ส่วนกองทัพที่คิดว่าไม่ยอมตกเป็นจำเลย ยอมให้ฝ่ายรัฐบาลเดินหน้าในการไต่สวนชันสูตรพลิกศพเพื่อเอาใจมวลชนคนเสื้อแดง ที่ต้องการคำตอบว่า “เจ้าหน้าที่ทหารฆ่าประชาชน” เพื่อนำไปสู่การสร้างความชอบธรรมทางการเมืองและการใช้เงินเยียวยาให้กับมวลชนคนเสื้อแดง โดยแลกกับกรมสอบสวนคดีพิเศษให้กันทหารออกจากคดีการเสียชีวิตของคนเสื้อแดง โดยจำกัดอยู่เพียงละครเล่นงานเฉพาะฝ่ายการเมืองที่รู้กันอยู่ว่ายากแก่การที่จะเอาผิดได้ ในความเป็นจริงทั้งหมดก็เป็นเพียงละครตบตาเอาใจมวลชนคนเสื้อแดงเท่านั้น เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าการทำคดีในขั้นตอนแบบนี้ไม่สามารถจะเอาผิดใครได้ในท้ายที่สุด นอกจากจะยื้อเวลาในคดีความให้นานที่สุดเพื่อหลอกมวลชนคนเสื้อแดงเท่านั้น
รัฐบาลยิ่งลักษณ์ใช้ความพยายามในการจับมือกับฝ่ายทหาร พยายามเข้าให้ได้กับพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ จนในที่สุดก็ได้ “สร้างภาพ” อย่างที่เห็นกันอยู่ในทุกวันนี้ว่า ชนชั้นนำในโครงสร้างอำนาจสามารถอยู่ร่วมกันได้แล้ว
หรือพูดให้คนเสื้อแดงที่ไม่ได้โง่จนเกินไปก็น่าจะรู้แล้วว่า “รัฐบาลที่เหยียบศพไพร่แดง บัดนี้จับมือกับอำมาตย์ได้แล้ว!!!” ประมาณนั้น
เช่นเดียวกับกรณีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ประกาศเงื่อนไขว่าจะชุมนุมเคลื่อนไหวเมื่อมีการแก้ไขกฎหมายเพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างหรือลดพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ ก็ทำให้รัฐบาลได้ประกาศไปแล้วอย่างชัดเจนว่าจะไม่มีการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 อีกทั้งจะยังไม่แตะรัฐธรรมนูญในหมวดที่เกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์ และไม่แตะมาตราอื่นๆ ที่จะกระทบต่อพระราชอำนาจเสียด้วย
เหตุก็เพราะรัฐบาลคงตระหนักดีว่าการเปลี่ยนแปลงหรือลดโครงสร้างของสถาบันพระมหากษัตริย์หรือพระราชอำนาจนั้น จะทำให้เกิดศัตรูแนวร่วมที่กว้างใหญ่ไพศาลเกินกว่าที่จะรับมือได้อย่างแน่นอน เพราะอำนาจและผลประโยชน์นั้นสำคัญเสียยิ่งกว่าเสื้อแดงปีกที่ต้องการล้มเจ้าอยู่แล้ว จริงหรือไม่?
สำหรับเงื่อนไขหนึ่งที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ประกาศเอาไว้ล่วงหน้าว่าจะทำให้เกิดการชุมนุมเคลื่อนไหว ก็คือการตรากฎหมายเมื่อล้างความผิดให้กับนักโทษชายทักษิณและพวก บัดนี้เงื่อนไขนี้ก็ยังไม่มีการขยับเพราะต่างพยายามสร้างเงื่อนไขให้แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยมีคดีความทางอาญาและแพ่งให้มากที่สุดเสียก่อน โดยคิดเพียงแต่ว่าจะทำให้พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะยอมจำนนในการลบล้างความผิดให้กับทุกฝ่ายผ่านกฎหมายปรองดอง
แต่ความยากที่สุดในประเด็นนี้ก็อยู่ตรงที่ว่าแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยต่างรู้อยู่แก่ใจว่าการชุมนุมของตนเองนั้น เป็นการชุมนุมที่สงบและปราศจากอาวุธ และไม่ใช่คดีความที่มีโทษรุนแรง ดังนั้นต่อให้มีการดำเนินคดีความยัดเยียดข้อหาที่มีโทษร้ายแรงเพียงใด เช่น คดีการก่อการร้ายซึ่งมีโทษสูงสุดคือประหารชีวิต ก็เชื่อมั่นว่าในท้ายที่สุดแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก็จะสามารถพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองในชั้นศาลได้ แม้สมมติว่าจะมีบทลงโทษก็พร้อมจะรับบทลงโทษนั้นให้เป็นบรรทัดฐานในการเคารพต่อหลักนิติรัฐต่อไป
ต่างจากคนเสื้อแดงที่ต่างก็รู้อยู่แก่ใจลึกๆ ว่าการชุมนุมของตนเอง มีกลุ่มชายชุดดำติดอาวุธสนับสนุนอยู่ในที่ชุมนุม มีการใช้อาวุธสงคราม และมีการเผาสถานที่สำคัญทั้งห้างสรรพสินค้า บ้านเรือน และศาลากลางจังหวัด เป็นที่ประจักษ์ไปทั่วโลก จึงย่อมเป็นคดีที่พิสูจน์ได้ไม่ยากเพราะมีการกระทำความผิดซึ่งหน้า อีกทั้งยังมีบทลงโทษที่รุนแรงมากกว่าพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยหลายเท่านัก
ดังนั้น เมื่อถึงการพิสูจน์คดีความแม้อาจจะมีคนบางกลุ่มในแกนนำคนเสื้อแดงสามารถหลุดรอดไป แต่คนเสื้อแดงจำนวนไม่น้อยก็ยากที่จะพ้นจากความผิดในทางอาญาได้ ตรงนี้เองทำให้แกนนำคนเสื้อแดงถึงได้ยื่นเงื่อนไขเรียกร้องให้รัฐบาลช่วยเหลือหรือออกกฎหมายล้างความผิดให้กับมวลชนของตัวเอง
การที่แกนนำคนเสื้อแดงต่างเรียกร้องให้รัฐบาลหาหนทางในการช่วยมวลชนคนเสื้อแดง โดยสร้างภาพว่าไม่ต้องช่วยแกนนำคนเสื้อแดงนั้น ก็อาจจะเป็นเพราะต่างรู้ดีอยู่แก่ใจว่าหากปล่อยให้คดีความเดินหน้าต่อไป การซัดทอดจากมวลชนถึงขบวนการวางแผนที่เกิดขึ้นก็อาจจะลุกลามบานปลายไปถึงคนออกคำสั่งที่แท้จริง ซึ่งก็อาจจะเสี่ยงกระทบต่อแกนนำคนเสื้อแดงบางส่วนด้วย ใช่หรือไม่?
ความยากของฝ่ายรัฐบาลก็อยู่ที่วงศ์วานญาติเครือนักโทษชายทักษิณอีกนั่นแหละ!!
เพราะความจริงรัฐบาลยิ่งลักษณ์อาจเสนอกฎหมายล้างความผิดให้กับมวลชนทุกฝ่ายที่ไปชุมนุมในพื้นที่ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือการประกาศพื้นที่ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงในราชอาณาจักรก็ย่อมทำได้ทันที จริงหรือไม่?
แต่รัฐบาลยิ่งลักษณ์น่าจะยังติดปัญหาอยู่ที่ว่าหากยกเลิกความผิดให้กับมวลชนทุกฝ่ายออกไปก่อนจำนวนมากแล้ว นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร ซึ่งศาลฎีกาพิพากษาให้จำคุกในคดีทุจริต และ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ จำเลยในคดีฆ่าประชาชนพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในวันที่ 7 ตุลาคม 2551 ก็จะถูกโดดเดี่ยวในการล้างความผิดในอนาคต ทำให้การล้างความผิดในอนาคตเพื่อประโยชน์ของตัวเองเดี่ยวๆ ก็จะยิ่งยากขึ้นไปอีก
พูดง่ายๆ ก็คือที่มวลชนคนเสื้อแดงจำนวนมากต้องติดคุกตะรางในทุกวันนี้ ก็อาจสงสัยได้ว่าเป็นเพราะนักโทษชายทักษิณต้องการจับมวลชนคนเสื้อแดงเอาไว้เป็นตัวประกัน และถ้าจะปล่อยตัวมวลชนคนเสื้อแดงต้องพร้อมกับนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร ในคดีทุจริต และสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ในคดีฆ่าประชาชนเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 ไปด้วยใช่หรือไม่?
นี่คือคำถามความอำมหิตที่ซ่อนอยู่ลึกๆ ที่ไม่มีใครอยากพูดให้มวลชนคนเสื้อแดงได้ยิน!!!
ด้วยเหตุผลนี้การที่แกนนำคนเสื้อแดงบางส่วนประกาศให้ช่วยเหลือล้างความผิดให้กับมวลชนคนเสื้อแดง โดยไม่ต้องสนใจแกนนำคนเสื้อแดง และไม่ต้องล้างความผิดให้กับผู้ที่สั่งฆ่าประชาชนนั้น จึงเป็นความคิดที่ไม่สามารถทำให้นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ หลุดรอดจากคดีความได้ และต่างก็รู้อยู่แก่ใจอยู่แล้วว่ารัฐบาลชุดนี้จะไม่เดินตามแนวทางนี้อยู่แล้ว
มิพักต้องพูดถึงข้อเสนอก่อนหน้านี้ของมวลชนคนเสื้อแดงว่าให้กระทรวงการต่างประเทศลงนามยอมรับอำนาจศาลอาญาระหว่างประเทศก็ดี หรือให้สมาชิกรัฐสภาลงมติวาระที่ 3 เพื่อฉีกรัฐธรรมนูญทั้งฉบับนั้น ไม่สอดคล้องกับหนทางของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ในขณะนี้อย่างชัดเจน เพราะสถานภาพและเสถียรภาพของรัฐบาลครอบครัวชินวัตรต้องอยู่เหนือและสำคัญกว่าข้อเรียกร้องของแกนนำคนเสื้อแดง
แต่จะมีความหมายอะไร ก็ในเมื่อสังคมส่วนใหญ่ต่างเชื่อว่าการส่งเสียงของแกนนำคนเสื้อแดงเป็นเพียงแค่ “คางคก มด และแมลง” ที่ไร้ความหมาย!?
แกนนำคนเสื้อแดงที่คอยปลุกระดมมวลชนว่า “ทหารฆ่าประชาชน” หรือปลุกระดมมวลชนว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ฆ่าคนเสื้อแดง มาโดยตลอด หากมีความจริงใจต่อมวลชนของตัวเองแล้ว แกนนำคนเสื้อแดงก็ควรแสดงสปิริตลาออกจากตำแหน่งทางการเมืองเพื่อคัดค้านการที่พรรคเพื่อไทยที่สนับสนุนการออกกฎหมายล้างความผิดให้กับทุกฝ่ายไปตั้งนานแล้ว จริงหรือไม่?
ไม่ใช่มาแสดงท่าทียื่นข้อเสนอโน่น นี่ โดยตัวเองทำอะไรก็ไม่ได้ แถมยังหวังพึ่งพิงตำแหน่งจากรัฐบาลต่อไป จึงอาจทำให้สังคมย่อมเกิดความสงสัยว่าข้อเรียกร้องที่ผ่านมานั้น เป็นการเรียกร้องด้วยความบริสุทธิ์ใจ หรือเป็นเพียงการแสดงละคร “เคาะกะลา” เพื่อเรียกร้องความสนใจจากนักโทษชายทักษิณ?
ที่บางคนอาจสงสัยเช่นนั้นเพราะแกนนำคนเสื้อแดงเหล่านี้บินเดี่ยวไม่ได้หากไร้การอุปถัมภ์จากนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร ใช่หรือไม่?
เพราะถ้าสมมติข้อเท็จจริงเป็นอย่างนั้น มีหรือที่นักโทษชายทักษิณจะดูไม่ออกว่าแกนนำคนเสื้อแดงและมวลชนเสื้อแดงเป็นเพียงลูกไก่ในกำมือ ที่ให้อาหารพอประทังชีพก็ถือว่ามีบุญคุณโขแล้ว
อย่างว่าอีกนั่นแหละ แกนนำคนเสื้อแดงบางคนก็ถูกสื่อมวลชนตั้งฉายาว่าเป็น “ไพร่เทียม” แถมนักโทษชายทักษิณยังได้เคยเปรียบเทียบว่ามวลชนคนเสื้อแดงเป็นเพียงแค่ “คนพายเรือให้นักโทษชายทักษิณข้ามถึงฝั่ง” เมื่อถึงฝั่งก็หมดหน้าที่ก็สมควรถูกถีบหัวเรือส่ง แต่มวลชนคนเสื้อแดงจะแบกเรือตามนักโทษชายทักษิณขึ้นภูเขาไปอีกทำไมกัน?
แล้วดูเอาเถิดเมื่อคนเสื้อแดงที่เอาชีวิตเข้าเสี่ยงเพื่อให้รัฐบาลชุดนี้เข้ามาบริหารประเทศแน่ใจหรือว่าสิ่งนี้คือสิ่งที่มวลชนคนเสื้อแดงต้องการ?
สำหรับคนมีปัญญาสักหน่อยจะดูไม่ออกหรือว่าการจำนำข้าวมันมีการทุจริตโกงกินกันอย่างมโหฬารเพียงใด หรือราคาก๊าซแอลพีจี และน้ำมันที่ทยอยสูงเพิ่มขึ้นนั้น คนยากคนจนจะไปลืมตาอ้าปากได้อย่างไร?
มิพักต้องไปพูดถึงว่าโครงการรถยนต์คันแรกจะไปแย่งลูกค้าของแท็กซี่ไปมากขนาดไหน ชาวแท็กซี่ทั้งหลายที่เคยเป็นฐานเสียงพรรคเพื่อไทยลูกค้าลดลงต้นทุนราคาพลังงานทะยานพุ่งอย่างต่อเนื่องโดย
ผลประโยชน์ตกอยู่กับกลุ่มทุนและนักการเมืองเพียงไม่กี่คน
แต่มีหลายคนเตือนว่าไม่ควรเขียนบทความอย่างนี้และเขียนไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะนอกจากคนเหล่านี้เขาจะไม่ได้อ่านแล้ว มวลชนคนเสื้อแดงเขาจำเป็นต้องคงเอกลักษณ์เฉพาะตัวไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือนอยู่เสมออีกด้วย?
นั่นคือ (ให้ท่านผู้อ่านเติมคำในช่องว่างเอง)………..!
การส่งไมตรีจับมือเพื่อ “ซื้อเวลา” การประนีประนอมระหว่างรัฐบาลกับกองทัพทำให้กองทัพกลายเป็นส่วนที่ต้องยอมสยบหมอบราบคาบให้กับรัฐบาลไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ส่วนกองทัพที่คิดว่าไม่ยอมตกเป็นจำเลย ยอมให้ฝ่ายรัฐบาลเดินหน้าในการไต่สวนชันสูตรพลิกศพเพื่อเอาใจมวลชนคนเสื้อแดง ที่ต้องการคำตอบว่า “เจ้าหน้าที่ทหารฆ่าประชาชน” เพื่อนำไปสู่การสร้างความชอบธรรมทางการเมืองและการใช้เงินเยียวยาให้กับมวลชนคนเสื้อแดง โดยแลกกับกรมสอบสวนคดีพิเศษให้กันทหารออกจากคดีการเสียชีวิตของคนเสื้อแดง โดยจำกัดอยู่เพียงละครเล่นงานเฉพาะฝ่ายการเมืองที่รู้กันอยู่ว่ายากแก่การที่จะเอาผิดได้ ในความเป็นจริงทั้งหมดก็เป็นเพียงละครตบตาเอาใจมวลชนคนเสื้อแดงเท่านั้น เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าการทำคดีในขั้นตอนแบบนี้ไม่สามารถจะเอาผิดใครได้ในท้ายที่สุด นอกจากจะยื้อเวลาในคดีความให้นานที่สุดเพื่อหลอกมวลชนคนเสื้อแดงเท่านั้น
รัฐบาลยิ่งลักษณ์ใช้ความพยายามในการจับมือกับฝ่ายทหาร พยายามเข้าให้ได้กับพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ จนในที่สุดก็ได้ “สร้างภาพ” อย่างที่เห็นกันอยู่ในทุกวันนี้ว่า ชนชั้นนำในโครงสร้างอำนาจสามารถอยู่ร่วมกันได้แล้ว
หรือพูดให้คนเสื้อแดงที่ไม่ได้โง่จนเกินไปก็น่าจะรู้แล้วว่า “รัฐบาลที่เหยียบศพไพร่แดง บัดนี้จับมือกับอำมาตย์ได้แล้ว!!!” ประมาณนั้น
เช่นเดียวกับกรณีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ประกาศเงื่อนไขว่าจะชุมนุมเคลื่อนไหวเมื่อมีการแก้ไขกฎหมายเพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างหรือลดพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ ก็ทำให้รัฐบาลได้ประกาศไปแล้วอย่างชัดเจนว่าจะไม่มีการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 อีกทั้งจะยังไม่แตะรัฐธรรมนูญในหมวดที่เกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์ และไม่แตะมาตราอื่นๆ ที่จะกระทบต่อพระราชอำนาจเสียด้วย
เหตุก็เพราะรัฐบาลคงตระหนักดีว่าการเปลี่ยนแปลงหรือลดโครงสร้างของสถาบันพระมหากษัตริย์หรือพระราชอำนาจนั้น จะทำให้เกิดศัตรูแนวร่วมที่กว้างใหญ่ไพศาลเกินกว่าที่จะรับมือได้อย่างแน่นอน เพราะอำนาจและผลประโยชน์นั้นสำคัญเสียยิ่งกว่าเสื้อแดงปีกที่ต้องการล้มเจ้าอยู่แล้ว จริงหรือไม่?
สำหรับเงื่อนไขหนึ่งที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ประกาศเอาไว้ล่วงหน้าว่าจะทำให้เกิดการชุมนุมเคลื่อนไหว ก็คือการตรากฎหมายเมื่อล้างความผิดให้กับนักโทษชายทักษิณและพวก บัดนี้เงื่อนไขนี้ก็ยังไม่มีการขยับเพราะต่างพยายามสร้างเงื่อนไขให้แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยมีคดีความทางอาญาและแพ่งให้มากที่สุดเสียก่อน โดยคิดเพียงแต่ว่าจะทำให้พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะยอมจำนนในการลบล้างความผิดให้กับทุกฝ่ายผ่านกฎหมายปรองดอง
แต่ความยากที่สุดในประเด็นนี้ก็อยู่ตรงที่ว่าแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยต่างรู้อยู่แก่ใจว่าการชุมนุมของตนเองนั้น เป็นการชุมนุมที่สงบและปราศจากอาวุธ และไม่ใช่คดีความที่มีโทษรุนแรง ดังนั้นต่อให้มีการดำเนินคดีความยัดเยียดข้อหาที่มีโทษร้ายแรงเพียงใด เช่น คดีการก่อการร้ายซึ่งมีโทษสูงสุดคือประหารชีวิต ก็เชื่อมั่นว่าในท้ายที่สุดแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก็จะสามารถพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองในชั้นศาลได้ แม้สมมติว่าจะมีบทลงโทษก็พร้อมจะรับบทลงโทษนั้นให้เป็นบรรทัดฐานในการเคารพต่อหลักนิติรัฐต่อไป
ต่างจากคนเสื้อแดงที่ต่างก็รู้อยู่แก่ใจลึกๆ ว่าการชุมนุมของตนเอง มีกลุ่มชายชุดดำติดอาวุธสนับสนุนอยู่ในที่ชุมนุม มีการใช้อาวุธสงคราม และมีการเผาสถานที่สำคัญทั้งห้างสรรพสินค้า บ้านเรือน และศาลากลางจังหวัด เป็นที่ประจักษ์ไปทั่วโลก จึงย่อมเป็นคดีที่พิสูจน์ได้ไม่ยากเพราะมีการกระทำความผิดซึ่งหน้า อีกทั้งยังมีบทลงโทษที่รุนแรงมากกว่าพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยหลายเท่านัก
ดังนั้น เมื่อถึงการพิสูจน์คดีความแม้อาจจะมีคนบางกลุ่มในแกนนำคนเสื้อแดงสามารถหลุดรอดไป แต่คนเสื้อแดงจำนวนไม่น้อยก็ยากที่จะพ้นจากความผิดในทางอาญาได้ ตรงนี้เองทำให้แกนนำคนเสื้อแดงถึงได้ยื่นเงื่อนไขเรียกร้องให้รัฐบาลช่วยเหลือหรือออกกฎหมายล้างความผิดให้กับมวลชนของตัวเอง
การที่แกนนำคนเสื้อแดงต่างเรียกร้องให้รัฐบาลหาหนทางในการช่วยมวลชนคนเสื้อแดง โดยสร้างภาพว่าไม่ต้องช่วยแกนนำคนเสื้อแดงนั้น ก็อาจจะเป็นเพราะต่างรู้ดีอยู่แก่ใจว่าหากปล่อยให้คดีความเดินหน้าต่อไป การซัดทอดจากมวลชนถึงขบวนการวางแผนที่เกิดขึ้นก็อาจจะลุกลามบานปลายไปถึงคนออกคำสั่งที่แท้จริง ซึ่งก็อาจจะเสี่ยงกระทบต่อแกนนำคนเสื้อแดงบางส่วนด้วย ใช่หรือไม่?
ความยากของฝ่ายรัฐบาลก็อยู่ที่วงศ์วานญาติเครือนักโทษชายทักษิณอีกนั่นแหละ!!
เพราะความจริงรัฐบาลยิ่งลักษณ์อาจเสนอกฎหมายล้างความผิดให้กับมวลชนทุกฝ่ายที่ไปชุมนุมในพื้นที่ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือการประกาศพื้นที่ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงในราชอาณาจักรก็ย่อมทำได้ทันที จริงหรือไม่?
แต่รัฐบาลยิ่งลักษณ์น่าจะยังติดปัญหาอยู่ที่ว่าหากยกเลิกความผิดให้กับมวลชนทุกฝ่ายออกไปก่อนจำนวนมากแล้ว นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร ซึ่งศาลฎีกาพิพากษาให้จำคุกในคดีทุจริต และ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ จำเลยในคดีฆ่าประชาชนพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในวันที่ 7 ตุลาคม 2551 ก็จะถูกโดดเดี่ยวในการล้างความผิดในอนาคต ทำให้การล้างความผิดในอนาคตเพื่อประโยชน์ของตัวเองเดี่ยวๆ ก็จะยิ่งยากขึ้นไปอีก
พูดง่ายๆ ก็คือที่มวลชนคนเสื้อแดงจำนวนมากต้องติดคุกตะรางในทุกวันนี้ ก็อาจสงสัยได้ว่าเป็นเพราะนักโทษชายทักษิณต้องการจับมวลชนคนเสื้อแดงเอาไว้เป็นตัวประกัน และถ้าจะปล่อยตัวมวลชนคนเสื้อแดงต้องพร้อมกับนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร ในคดีทุจริต และสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ในคดีฆ่าประชาชนเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 ไปด้วยใช่หรือไม่?
นี่คือคำถามความอำมหิตที่ซ่อนอยู่ลึกๆ ที่ไม่มีใครอยากพูดให้มวลชนคนเสื้อแดงได้ยิน!!!
ด้วยเหตุผลนี้การที่แกนนำคนเสื้อแดงบางส่วนประกาศให้ช่วยเหลือล้างความผิดให้กับมวลชนคนเสื้อแดง โดยไม่ต้องสนใจแกนนำคนเสื้อแดง และไม่ต้องล้างความผิดให้กับผู้ที่สั่งฆ่าประชาชนนั้น จึงเป็นความคิดที่ไม่สามารถทำให้นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ หลุดรอดจากคดีความได้ และต่างก็รู้อยู่แก่ใจอยู่แล้วว่ารัฐบาลชุดนี้จะไม่เดินตามแนวทางนี้อยู่แล้ว
มิพักต้องพูดถึงข้อเสนอก่อนหน้านี้ของมวลชนคนเสื้อแดงว่าให้กระทรวงการต่างประเทศลงนามยอมรับอำนาจศาลอาญาระหว่างประเทศก็ดี หรือให้สมาชิกรัฐสภาลงมติวาระที่ 3 เพื่อฉีกรัฐธรรมนูญทั้งฉบับนั้น ไม่สอดคล้องกับหนทางของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ในขณะนี้อย่างชัดเจน เพราะสถานภาพและเสถียรภาพของรัฐบาลครอบครัวชินวัตรต้องอยู่เหนือและสำคัญกว่าข้อเรียกร้องของแกนนำคนเสื้อแดง
แต่จะมีความหมายอะไร ก็ในเมื่อสังคมส่วนใหญ่ต่างเชื่อว่าการส่งเสียงของแกนนำคนเสื้อแดงเป็นเพียงแค่ “คางคก มด และแมลง” ที่ไร้ความหมาย!?
แกนนำคนเสื้อแดงที่คอยปลุกระดมมวลชนว่า “ทหารฆ่าประชาชน” หรือปลุกระดมมวลชนว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ฆ่าคนเสื้อแดง มาโดยตลอด หากมีความจริงใจต่อมวลชนของตัวเองแล้ว แกนนำคนเสื้อแดงก็ควรแสดงสปิริตลาออกจากตำแหน่งทางการเมืองเพื่อคัดค้านการที่พรรคเพื่อไทยที่สนับสนุนการออกกฎหมายล้างความผิดให้กับทุกฝ่ายไปตั้งนานแล้ว จริงหรือไม่?
ไม่ใช่มาแสดงท่าทียื่นข้อเสนอโน่น นี่ โดยตัวเองทำอะไรก็ไม่ได้ แถมยังหวังพึ่งพิงตำแหน่งจากรัฐบาลต่อไป จึงอาจทำให้สังคมย่อมเกิดความสงสัยว่าข้อเรียกร้องที่ผ่านมานั้น เป็นการเรียกร้องด้วยความบริสุทธิ์ใจ หรือเป็นเพียงการแสดงละคร “เคาะกะลา” เพื่อเรียกร้องความสนใจจากนักโทษชายทักษิณ?
ที่บางคนอาจสงสัยเช่นนั้นเพราะแกนนำคนเสื้อแดงเหล่านี้บินเดี่ยวไม่ได้หากไร้การอุปถัมภ์จากนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร ใช่หรือไม่?
เพราะถ้าสมมติข้อเท็จจริงเป็นอย่างนั้น มีหรือที่นักโทษชายทักษิณจะดูไม่ออกว่าแกนนำคนเสื้อแดงและมวลชนเสื้อแดงเป็นเพียงลูกไก่ในกำมือ ที่ให้อาหารพอประทังชีพก็ถือว่ามีบุญคุณโขแล้ว
อย่างว่าอีกนั่นแหละ แกนนำคนเสื้อแดงบางคนก็ถูกสื่อมวลชนตั้งฉายาว่าเป็น “ไพร่เทียม” แถมนักโทษชายทักษิณยังได้เคยเปรียบเทียบว่ามวลชนคนเสื้อแดงเป็นเพียงแค่ “คนพายเรือให้นักโทษชายทักษิณข้ามถึงฝั่ง” เมื่อถึงฝั่งก็หมดหน้าที่ก็สมควรถูกถีบหัวเรือส่ง แต่มวลชนคนเสื้อแดงจะแบกเรือตามนักโทษชายทักษิณขึ้นภูเขาไปอีกทำไมกัน?
แล้วดูเอาเถิดเมื่อคนเสื้อแดงที่เอาชีวิตเข้าเสี่ยงเพื่อให้รัฐบาลชุดนี้เข้ามาบริหารประเทศแน่ใจหรือว่าสิ่งนี้คือสิ่งที่มวลชนคนเสื้อแดงต้องการ?
สำหรับคนมีปัญญาสักหน่อยจะดูไม่ออกหรือว่าการจำนำข้าวมันมีการทุจริตโกงกินกันอย่างมโหฬารเพียงใด หรือราคาก๊าซแอลพีจี และน้ำมันที่ทยอยสูงเพิ่มขึ้นนั้น คนยากคนจนจะไปลืมตาอ้าปากได้อย่างไร?
มิพักต้องไปพูดถึงว่าโครงการรถยนต์คันแรกจะไปแย่งลูกค้าของแท็กซี่ไปมากขนาดไหน ชาวแท็กซี่ทั้งหลายที่เคยเป็นฐานเสียงพรรคเพื่อไทยลูกค้าลดลงต้นทุนราคาพลังงานทะยานพุ่งอย่างต่อเนื่องโดย
ผลประโยชน์ตกอยู่กับกลุ่มทุนและนักการเมืองเพียงไม่กี่คน
แต่มีหลายคนเตือนว่าไม่ควรเขียนบทความอย่างนี้และเขียนไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะนอกจากคนเหล่านี้เขาจะไม่ได้อ่านแล้ว มวลชนคนเสื้อแดงเขาจำเป็นต้องคงเอกลักษณ์เฉพาะตัวไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือนอยู่เสมออีกด้วย?
นั่นคือ (ให้ท่านผู้อ่านเติมคำในช่องว่างเอง)………..!