xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

คุก 2 ปี 8 เดือน “ขวัญชัย ไพรพนา” บทพิสูจน์ความเลวของ “แดงอุดร”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นายขวัญชัย ไพรพนา
ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-

หากยังจำกันได้...

และยังไม่ลืม...

เชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า หลายคนคงจำคำพูดของ “นายขวัญชัย ไพรพนา” ประธานชมรมคนรักอุดร หรือ แกนนำคนเสื้อแดงจังหวัดอุดรธานีที่กล่าวถึงกระแสข่าวกรณีกลุ่มคนเสื้อแดงจะไม่มีการสวมใส่เสื้อสีเหลืองเนื่องวโรกาสมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 5 ธันวาคม 2555 ว่า “เสื้อเหลืองมาตีเราที่ จ.อุดรฯ เอาเสื้อเหลืองมาทำกันจนเละเทะอย่างนี้ ทำพวกผมติดคุกกันไปเยอะแยะ แล้วเราจะไปใส่ทำไม ส่วนการจัดพิธีถวายพร แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในวันพรุ่งนี้ (5 ธ.ค.) จะยังคงดำเนินการจัดงานเหมือนเดิมเช่นทุกปี ที่หน้าชมรมคนรักอุดร สำนักงานที่บริเวณหน้าทุ่งศรีเมือง จ.อุดรธานี”

ในครั้งนั้น นายขวัญชัยโกหกหน้าด้านๆ ว่า เสื้อเหลืองยกพวกไปตีคนเสื้อแดงที่จังหวัดอุดรธานี ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงมิได้เป็นเช่นนั้นเลยแม้แต่น้อย เพราะปรากฏพยานหลักฐานชัดเจนว่า คนเสื้อเหลืองหรือพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยต่างหากที่ถูกคนเสื้อแดงกระทำ

แต่แล้วในที่สุด ความจริงก็คือความจริง และความจริงเป็นสิ่งที่ไม่ตาย เมื่อศาลจังหวัดอุดรธานีได้นัดฟังคำสั่งคดีอุทธรณ์ในข้อหาพยายามฆ่า ทำร้ายผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส และทำให้เสียทรัพย์ จากกรณีนำกลุ่มมวลชนไปประท้วงต่อต้านการเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ “สวนสาธารณะหนองประจักษ์ศิลปาคม” เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2551 หลังจากก่อนหน้านี้ศาลชั้นต้นได้พิพากษาจำคุกนายขวัญชัย 2 ปี 8 เดือน และปรับ 350,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ตั้งแต่วันที่เกิดเหตุ

17 ธันวาคม 2555 ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนเหมือนเช่นที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไว้

คดีนี้มีนายเจริญ หมู่ขจรพันธ์, นายรังษี ศุภชัยสาคร , นางธันยนันท์ จรัสจิรวงศ์ , นายชนะศักดิ์ ผ่องเพลิดพริ้ง , นายแก้ว จันธิชู , น.ส.สุจิรา มีชั้นช่วง และนายรัตนชัย ทองสุข เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง

ทั้งนี้ ก่อนที่ศาลจะมีคำพิพากษา บรรยากาศที่ศาลจังหวัดอุดรธานีตั้งแต่เช้ามีกลุ่มคนเสื้อแดงเดินทางมาให้กำลังใจนายขวัญชัยจำนวนมาก และนายขวัญชัยได้กล่าวกับผู้มาให้กำลังใจอย่างมั่นใจว่าศาลอุทธรณ์จะยกฟ้องเพราะมีพยานและหลักฐานเพิ่มมากขึ้น เป็นประโยชน์ต่อรูปคดี ทั้งยังใช้ยืนยันได้ว่าตนเองไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุ

อย่างไรก็ตาม ต่อมาผู้พิพากษาได้ขึ้นบัลลังก์อ่านคำพิพากษาคดีดำ หมายเลข 2149/2551 โดยยืนคำพิพากษาตามศาลชั้นต้น คือ จำคุก 2 ปี 8 เดือน ปรับเป็นเงิน 359,850 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ตั้งแต่วันที่เกิดเหตุ โดยหลังจากศาลอ่านคำพิพากษาเสร็จแล้ว นายขวัญชัยได้ยื่นหลักทรัพย์มูลค่ากว่า 5 แสนบาทขอประกันตัวออกไปสู้คดีในชั้นศาลฎีกาต่อ

นี่คือบทพิสูจน์ความเป็นอันธพาลของนายขวัญชัยได้เป็นอย่างดี

หลังฟังคำพิพากษา นายขวัญชัยได้แก้ตัวน้ำขุ่นๆ ซึ่งเป็นคุณลักษณะพิเศษส่วนตัวว่า เป็นไปอย่างที่ได้คาดการณ์ไว้ว่าคำพิพากษาจะยืนตามศาลชั้นต้น แต่เรายังมีสิทธิที่จะสู่ต่อในชั้นฎีกา ซึ่งก็คงจะทำความจริงให้ปรากฏ เท่าที่ตนได้รับฟังคำพิพากษาต้องยอมรับว่าฝ่ายโจทก์มีข้อมูลที่สอดคล้องกัน ซึ่งเป็นการสร้างภาพที่ดีเยี่ยม เราเองเสียเปรียบที่ทนายคนแรกที่ทำคดีได้เสียชีวิตลงจึงไม่มีหลักฐานมาต่อสู้ แต่ก็ยอมรับคำตัดสิน แต่จะต่อสู้ต่อไปตามสิทธิ

ด้านนายเจริญ หมู่ขจรพันธ์ โจทก์ยื่นฟ้อง ได้แสดงความรู้สึกหลังรับฟังคำพิพากษาว่า บอกได้เลยว่าก่อนหน้านี้ตนเองไม่ได้คาดหวัง ไม่มีความมั่นใจกับความยุติธรรมที่จะได้รับ เพราะอย่างที่รู้ๆ กันอยู่ว่าการเมืองมีความผิดเพี้ยนไปมาก ไม่ว่าจะเป็นอำนาจบริหาร อำนาจนิติบัญญัติ จึงไม่ค่อยที่จะคาดหวังตั้งความหวังกับสิ่งนั้นได้มากเท่าไร แต่อย่างน้อยวันนี้จากคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ก็ทำให้เกิดความดีใจที่สถาบันตุลาการยังคงเป็นที่พึ่งของประชาชนได้

ย้อนกลับไปเมื่อ 24 ก.ค.2551 ขณะที่พันธมิตรฯ อุดรธานีกำลังเตรียมเปิดเวทีปราศรัยภายในหนองประจักษ์ศิลปาคม เทศบาลนครอุดรธานี ทางกลุ่มเสื้อแดง นำโดยนายขวัญชัย ไพรพนา หรือสาราคำ ประธานชมรมคนรักอุดร และสมาชิกกว่า 700 คน ที่นัดมารวมตัวกันที่สนามทุ่งศรีเมือง หน้าศาลากลางจังหวัดอุดรฯ ได้เดินเท้าฝ่าด่านเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อบุกเวทีปราศรัยของพันธมิตรฯ จากนั้นได้ใช้อาวุธทั้งไม้และเหล็กรุมทำร้ายกลุ่มพันธมิตรฯ อย่างบ้าคลั่ง พันธมิตรฯ บางคนที่หนีไม่พ้นได้ถูกรุมตีและกระทืบที่ลำตัวและศีรษะ บางคนถึงกับสลบแน่นิ่งต่อหน้าเจ้าหน้าที่ตำรวจ และแม้จะมีรถฉุกเฉินเข้ามารับคนเจ็บ แต่ม็อบเสื้อแดงก็ยังป่าเถื่อนไม่เลิก โดยได้เข้าทุบกระจกรถจนแตก ไม่เท่านั้นยังรื้อทำลายและเผาเวทีของพันธมิตรจนย่อยยับ ก่อนแยกย้ายกันหนีไป

เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้ชาวบ้านกลุ่มพันธมิตรได้รับบาดเจ็บถึง 13 ราย มีทั้งหญิงและชาย บางรายอาการสาหัส ขณะที่ตำรวจได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย 2 ราย

“คือวันที่ผมโดนทำร้ายเนี่ย ตอนนั้นผมอยู่จุดข้างหน้าประตู ตอนนั้นเพื่อนๆ ก็บอกว่าถอยๆ ถอยกัน ผมก็ถอยมา ก็มีข้างหลังมาล็อกเอาไว้ ก็ล็อกผมเอาไว้ พอล็อกปั๊บ ก็รุมเลย จำได้ ผมก็ปิดหน้าไว้ ปิดหน้างอตัวไว้ ตอนนั้นตำรวจอยู่ใกล้ๆ ผมเยอะแยะเลย แต่ก็ไม่มีใครเข้ามาช่วยอะไร อย่างน้อยๆ ถ้าเขาเดินเข้ามาห้าม หรือเดินเข้ามาขวางหน่อยหนึ่งเนี่ย ผมว่าก็คงไม่มีใครกล้าทำอะไร ขนาดเพื่อนผมที่เป็นการ์ดด้วยกัน บอก พี่! ทำไมไม่ห้ามเขาเลยอ่ะ? นายสั่งมา น้อง นายสั่งมา!”นายรัตนชัย ทองสุข 1 ใน 2 พันธมิตรฯ อุดรฯ บอกเล่าความรู้สึกขณะที่ถูกคนเสื้อแดงทำร้าย

หลังยกพวกไปรุมทำร้ายกลุ่มพันธมิตรฯ นายขวัญชัย ขู่ด้วยว่า หากพันธมิตรฯ จัดปราศรัยอีก 10 ครั้ง ตนก็จะต่อต้านทั้ง 10 ครั้ง ด้านผู้ว่าฯ อุดรธานี นายสุพจน์ เลาวัณย์ศิริ ก็อ้างว่า ทางจังหวัดทำดีที่สุดแล้ว และตำรวจก็ได้ทำเต็มที่แล้ว ขณะที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีมหาดไทย ก็ให้ท้ายม็อบเสื้อแดงที่รุมตีพันธมิตรฯ โดยบอกว่า ถ้าพันธมิตรฯ หยุดเคลื่อนไหว ทุกอย่างก็จบ

ขณะที่นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รองนายกฯ และรัฐมนตรีศึกษาธิการในขณะนั้น ได้ออกมายืนยันว่า พรรคพลังประชาชนไม่ได้อยู่เบื้องหลังม็อบเสื้อแดง ในจังหวัดต่างๆ และว่า แม้จะมีคนของพรรคไปปรากฏตัวอยู่ด้วย แต่ก็เป็นเรื่องส่วนตัว นายสมชาย ยังอ้างด้วยว่า การที่พันธมิตรฯ นำผู้บาดเจ็บไปร้องสหประชาชาติ นอกจากจะทำให้ภาพลักษณ์รัฐบาลเสียหายแล้ว ยังส่งผลกระทบถึงประเทศไทยด้วย

แต่ในที่สุด สังคมก็ได้ประจักษ์ว่า สิ่งที่ “ชายตู้เย็น” กล่าวนั้น ไม่เป็นความจริง เพราะในขณะนั้นนายขวัญชัยยังได้รับแต่งตั้งจาก ครม.นายสมัครให้เป็นข้าราชการการเมือง สังกัดสำนักเลขาธิการนายกฯ ด้วย ซึ่งเทียบเท่ากับข้าราชการซี-8 ได้รับเงินเดือนเกือบ 3 หมื่นบาท ทว่า หลังจากก่อเหตุนำม็อบบุกทำร้ายพันธมิตรฯ ที่อุดรฯ แล้ว นายขวัญชัยได้ประกาศลาออกจากตำแหน่ง พร้อมบอกว่า ถึงไม่มีตำแหน่งดังกล่าว ตนก็สู้พันธมิตรฯ ได้

นอกจากนี้ ยิ่งนานวันไปก็ยิ่งตอกย้ำความสัมพันธ์ระหว่างคนเสื้อแดงกับ พรรคพลังประชาชนที่กลายพันธุ์มาเป็นพรรคเพื่อไทยในปัจจุบันชัดเจนจนไม่อาจปฏิเสธได้ เพราะแกนนำคนเสื้อแดงจำนวนมากเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย โดยหลายคนได้รับตำแหน่งทางการเมืองในรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ดังเช่น นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อที่เวลานี้รั้งตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์

กระนั้นก็ดี หากยังจำกันได้นอกจากนายขวัญชัยแล้ว ยังมีอีก 1 นายตำรวจที่ถูกสอบสวนทางวินัยจนถึงขึ้นให้ออกจากราชการในกรณีดังกล่าวด้วย เนื่องเพราะมีหลักฐานชัดเจนว่า นอกจากมิได้พยายามขัดขวางกลุ่มคนเสื้อแดงที่ยกโขยงมาจากสนามทุ่งศรีเมืองและเคลื่อนไปหนองประจักษ์ฯ เพื่อทำร้ายกลุ่มพันธมิตรฯ ยังดูเหมือนจะเปิดทางให้กลุ่มคนเสื้อแดงเข้าไปในหนองประจักษ์ฯ ได้อย่างสะดวกโยธินอีกต่างหาก นายตำรวจดังกล่าวมีเชื่อว่า พล.ต.ต.เพิ่มศักดิ์ ภราดรศักดิ์ ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งเป็น ผบก.ภ.จว.อุดรธานี

ผลพวงจากเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้น ทำให้ พล.ต.อ.เพิ่มศักดิ์ถูกร้องเรียนจนถูกสอบสวนจาก “สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ( ปปช.) และมีคำสั่งให้ออกจากราชการ แต่ต่อมา กตร.กลับผลการสอบสวน ให้กลับเข้ารับราชการเป็น ผบก.ประจำ สนง.ตำรวจแห่งชาติ และล่าสุดมีคำสั่งให้มาดำรงตำแหน่ง ผบก.ภ.จว.ขอนแก่น

นั่นคือความจริงที่เกิดขึ้นในยุคที่คนเสื้อแดงเถลิงอำนาจการปกครองประเทศ ซึ่งไม่ว่าใครก็ตามที่ทำงานรับใช้ชนิดสู้ตายถวายชีวิตให้กับระบอบทักษิณ ทุกคนย่อมมี “วันนี้ เพราะพี่ให้”

แต่สำหรับนายขวัญชัยแล้ว ถึงตรงนี้....เชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า ในที่สุดแล้ว นายขวัญชัยจะไม่รอดพ้นอาญาแผ่นดินจากความผิดที่ตัวเองได้กระทำไว้ เพราะถ้าหากนายขวัญชัยรอดพ้นคดีไปโดยที่ไม่ต้องรับโทษ ประเทศไทยก็ไม่ใช่ประเทศที่น่าอยู่อีกต่อไป




กำลังโหลดความคิดเห็น