วานนี้( 18 ธ.ค.) เมื่อเวลา 09.00 น. ที่โรงแรมไฮแอท รีเจนซี่ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ พรรคประชาธิปัตย์ ได้จัดสัมมนากรรมการบริหารพรรค และส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ในหัวข้อ “เดินหน้าต่อไปด้วยนโยบายเพื่อประชาชน” โดยมีแกนนำพรรค เข้าร่วมสัมมนาอย่างพร้อมเพรียง อาทิ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค เฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรค นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรค นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี และม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯกทม. เป็นต้น
โดยนายเฉลิมชัย กล่าวเปิดการสัมมนาว่า ขณะนี้สังคมกำลังเข้าสู่ขั้นวิกฤติ ความเป็นนิติรัฐในบ้านเมืองแทบจะหาไม่ได้ พรรคประชาธิปัตย์ กำลังถูกคุกคาม จากกรณีนายราเมศ รัตนะเชวง ทีมกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ ที่ถูกทำร้าย หวังผลถึงชีวิต เราจึงต้องใช้ความสามัคคีและพลังของทุกคนในการชนะปัญหา เพราะในที่สุดธรรมะจะชนะอธรรม และตนเชื่อว่า สาเหตุเรื่องนี้มาจากเรื่องการเมืองอย่างแน่นอน ทั้งนี้ขอเรียกร้องให้ ผบช.น. และ ผบ.ตร. รับผิดชอบ ที่ปล่อยให้มีเหตุเช่นนี้เกิดขึ้น อย่าปล่อยให้สังคมเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน มิเช่นนั้นประเทศไทยจะเป็นลุกเป็นไฟอย่างแน่นอน
“ที่ผ่านมาพรรคจะทำงานเป็นทีมเวิร์คมาก เพื่อสร้างฐานของพรรคในอีก 5-20 ปี และพรรคประชาธิปัตย์ให้ประชาชนร่วมบริจาคภาษีผ่านหมายเลข 001 นั้น ถือเป็นเงินประชาชนที่มาดูแลพรรค พรรคไม่เคยไปง้อขอเงินใคร เราดูแลกันเอง สามารถขับเคลื่อนภารกิจของพรรคไปสู่เป้าหมายโดยไม่เบียดเบียนใคร เป้าหมายสำคัญต่อไปคือการชนะการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.เขต 2 จ.ชลบุรี ในวันที่ 6 ม.ค.นี้ ผมมั่นใจว่า เราชนะแน่ ซึ่งจะทำให้ขวัญกำลังใจดีขึ้น และขอให้รอดูการทำประชามติ ผมเชื่อว่า จะได้ไม่ถึง 15 ล้านเสียง อย่างที่รัฐบาลคุยแน่นอน และส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ที่เคยมี 11ล้านเสียง จะเพิ่มมากขึ้นแน่ ระยะห่างของทั้ง2พรรค ไม่มากอย่างที่คิด เชื่อว่าการที่พรรคเพื่อไทยคุยโวว่า การเลือกตั้งครั้งหน้าจะได้ 250เสียง คงเหลือแค่ 220 เสียงก็เก่งแล้ว เพราะคนไทยรู้แล้วว่าอะไรดีอะไรชั่ว ผมยืนยันว่า จะทำให้งานให้ดีที่สุด เพื่อช่วยพรรคไปสู่เป้าหมายอย่างที่ตั้งใจ และจะนำหัวหน้าพรรค กลับมาเป็นนายกฯ อีกครั้ง”นายเฉลิมชัย กล่าว
จากนั้นนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า หัวใจในการทำงานของคือ การเลือกตั้งที่ต้องเตรียมตัวตลอดเวลา ในส่วนของการเพิ่มที่นั่งส.ส.ของพรรค ต้องย้ำว่า เราจะต้องเพิ่มความเข้มแข็ง เพื่อไปสู่เป้าหมาย แม้ว่าในการต่อสู้ทางการเมืองในขณะนี้ชัดเจนว่าเป็นการต่อสู้ของ 2 ฝ่าย ซึ่งนอกเหนือจะเป็นการแข่งขันทางการเมืองตามปกติแล้ว ยังเป็นการสะท้อนความคิดค่านิยม อุดมการณ์ที่มีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
“เหตุการณ์เรื่องนายราเมศ ก็เป็นการตอกย้ำครั้งหนึ่งว่า ในยุคปัจจุบันคนที่ต่อสู้ คนที่เห็นต่างกับคนที่มีอำนาจ มีความสุ่มเสี่ยงอยู่ตลอดเวลา ต่อปัญหาการคุกคาม การใช้ความรุนแรงเพราะฉะนั้น คำพูดที่ว่าแก้ไข ไม่แก้แค้นก็จะได้ยินเป็นระยะๆ จากนายกฯ แต่การกระทำที่จะสะท้อนว่า แก้ไขไม่แก้แค้น อย่าว่าแต่พรรคประชาธิปัตย์ องค์กรที่เขาทำหน้าที่เป็นกลาง ในการตรวจสอบ หรือแม้กระทั่งองค์กรสื่อ องค์กรเอกชน ไม่มีใครเล็ดลอดไปจากการที่ผู้มีอำนาจในขณะนี้พยายามเอื้อมมือเข้าไป ถ้าเอามาเป็นพวกไม่ได้ ก็เล่นงานเต็มที่เหมือน กับที่เพื่อนเราเจอมาเมื่อวาน ในหลายพื้นที่ก็พูดชัดเจนว่า หากเจรจากันไม่ได้ ก็มาไล่บี้กันเต็มที่ ผมขอเป็นกำลังใจให้พวกเรา อย่าให้พวกเราตกใจ เพราะผีมันไม่หลอกคนที่ไม่กลัว รัฐบาลก็น่าจะฉลาดกว่าผี อย่ามาเสียเวลากับพวกเราเลย พวกเราไม่กลัว และถ้ายิ่งทำก็จะมีคนไม่กลัวมากขึ้นในแผ่นดินนี้ ถ้าเราปรับตัวให้เห็นว่าเราไม่กลัว เราก็จะมีกำลังในการต่อสู้”นายอภิสิทธิ์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้เชิญสื่อมวลชนออกจากห้องประชุม โดยเป็นการประชุมลับ ทั้งนี้ในช่วงที่มีการประชุมลับ นายอภิสิทธิ์ ได้พูดถึงการทำพิมพ์เขียวประเทศไทย โดยมีแนวทางเกี่ยวกับการปรับปรุงโรงเรียนองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น ( อปท.) โดยเฉพาะเรื่องการเรียนการสอน เพื่อให้สอดคล้องกับนิสัยของเด็ก นอกจากนั้นเรื่องเกี่ยวกับสาขาพรรค เนื่องจากที่ผ่านมาพรรคเพื่อไทย ไม่มีการเน้นในเรื่องการตั้งสาขา แต่หลังจากที่ได้มาดูสาขาพรรค ของนายสกลธี ภัททิยกุล อดีตผู้สมัคร ส.ส. เขตหลัก 4 ที่มีการตั้งร้านกาแฟ บริเวณด้านหน้าสาขาพรรค เป็นสถานที่ที่ทำให้ประชาชนสามารถมาพูดคุยกันได้ พรรคเพื่อไทยก็สนใจที่จะทำตามบ้าง ส่วนในเรื่องของการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในระยะอันใกล้นี้ ทั้งการเลือกตั้งซ่อม เขต 2 จ.ชลบุรี และการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. รวมไปถึงการเลือกตั้งในสนามใหญ่ด้วย ขอให้มีการเตรียมพร้อม หาก ส.ส.คนไหน รู้ว่าตัวเองอ่อน ไม่ลงพื้นที่ หรือไม่ทำกิจกรรม แล้วยังไม่ปรับปรุงตัว พรรคก็จะเปลี่ยนตัวผู้สมัครเหมือนกับที่เคยเปลี่ยนมาแล้วในจังหวัดหนึ่งทางภาคใต้
โดยนายเฉลิมชัย กล่าวเปิดการสัมมนาว่า ขณะนี้สังคมกำลังเข้าสู่ขั้นวิกฤติ ความเป็นนิติรัฐในบ้านเมืองแทบจะหาไม่ได้ พรรคประชาธิปัตย์ กำลังถูกคุกคาม จากกรณีนายราเมศ รัตนะเชวง ทีมกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ ที่ถูกทำร้าย หวังผลถึงชีวิต เราจึงต้องใช้ความสามัคคีและพลังของทุกคนในการชนะปัญหา เพราะในที่สุดธรรมะจะชนะอธรรม และตนเชื่อว่า สาเหตุเรื่องนี้มาจากเรื่องการเมืองอย่างแน่นอน ทั้งนี้ขอเรียกร้องให้ ผบช.น. และ ผบ.ตร. รับผิดชอบ ที่ปล่อยให้มีเหตุเช่นนี้เกิดขึ้น อย่าปล่อยให้สังคมเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน มิเช่นนั้นประเทศไทยจะเป็นลุกเป็นไฟอย่างแน่นอน
“ที่ผ่านมาพรรคจะทำงานเป็นทีมเวิร์คมาก เพื่อสร้างฐานของพรรคในอีก 5-20 ปี และพรรคประชาธิปัตย์ให้ประชาชนร่วมบริจาคภาษีผ่านหมายเลข 001 นั้น ถือเป็นเงินประชาชนที่มาดูแลพรรค พรรคไม่เคยไปง้อขอเงินใคร เราดูแลกันเอง สามารถขับเคลื่อนภารกิจของพรรคไปสู่เป้าหมายโดยไม่เบียดเบียนใคร เป้าหมายสำคัญต่อไปคือการชนะการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.เขต 2 จ.ชลบุรี ในวันที่ 6 ม.ค.นี้ ผมมั่นใจว่า เราชนะแน่ ซึ่งจะทำให้ขวัญกำลังใจดีขึ้น และขอให้รอดูการทำประชามติ ผมเชื่อว่า จะได้ไม่ถึง 15 ล้านเสียง อย่างที่รัฐบาลคุยแน่นอน และส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ที่เคยมี 11ล้านเสียง จะเพิ่มมากขึ้นแน่ ระยะห่างของทั้ง2พรรค ไม่มากอย่างที่คิด เชื่อว่าการที่พรรคเพื่อไทยคุยโวว่า การเลือกตั้งครั้งหน้าจะได้ 250เสียง คงเหลือแค่ 220 เสียงก็เก่งแล้ว เพราะคนไทยรู้แล้วว่าอะไรดีอะไรชั่ว ผมยืนยันว่า จะทำให้งานให้ดีที่สุด เพื่อช่วยพรรคไปสู่เป้าหมายอย่างที่ตั้งใจ และจะนำหัวหน้าพรรค กลับมาเป็นนายกฯ อีกครั้ง”นายเฉลิมชัย กล่าว
จากนั้นนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า หัวใจในการทำงานของคือ การเลือกตั้งที่ต้องเตรียมตัวตลอดเวลา ในส่วนของการเพิ่มที่นั่งส.ส.ของพรรค ต้องย้ำว่า เราจะต้องเพิ่มความเข้มแข็ง เพื่อไปสู่เป้าหมาย แม้ว่าในการต่อสู้ทางการเมืองในขณะนี้ชัดเจนว่าเป็นการต่อสู้ของ 2 ฝ่าย ซึ่งนอกเหนือจะเป็นการแข่งขันทางการเมืองตามปกติแล้ว ยังเป็นการสะท้อนความคิดค่านิยม อุดมการณ์ที่มีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
“เหตุการณ์เรื่องนายราเมศ ก็เป็นการตอกย้ำครั้งหนึ่งว่า ในยุคปัจจุบันคนที่ต่อสู้ คนที่เห็นต่างกับคนที่มีอำนาจ มีความสุ่มเสี่ยงอยู่ตลอดเวลา ต่อปัญหาการคุกคาม การใช้ความรุนแรงเพราะฉะนั้น คำพูดที่ว่าแก้ไข ไม่แก้แค้นก็จะได้ยินเป็นระยะๆ จากนายกฯ แต่การกระทำที่จะสะท้อนว่า แก้ไขไม่แก้แค้น อย่าว่าแต่พรรคประชาธิปัตย์ องค์กรที่เขาทำหน้าที่เป็นกลาง ในการตรวจสอบ หรือแม้กระทั่งองค์กรสื่อ องค์กรเอกชน ไม่มีใครเล็ดลอดไปจากการที่ผู้มีอำนาจในขณะนี้พยายามเอื้อมมือเข้าไป ถ้าเอามาเป็นพวกไม่ได้ ก็เล่นงานเต็มที่เหมือน กับที่เพื่อนเราเจอมาเมื่อวาน ในหลายพื้นที่ก็พูดชัดเจนว่า หากเจรจากันไม่ได้ ก็มาไล่บี้กันเต็มที่ ผมขอเป็นกำลังใจให้พวกเรา อย่าให้พวกเราตกใจ เพราะผีมันไม่หลอกคนที่ไม่กลัว รัฐบาลก็น่าจะฉลาดกว่าผี อย่ามาเสียเวลากับพวกเราเลย พวกเราไม่กลัว และถ้ายิ่งทำก็จะมีคนไม่กลัวมากขึ้นในแผ่นดินนี้ ถ้าเราปรับตัวให้เห็นว่าเราไม่กลัว เราก็จะมีกำลังในการต่อสู้”นายอภิสิทธิ์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้เชิญสื่อมวลชนออกจากห้องประชุม โดยเป็นการประชุมลับ ทั้งนี้ในช่วงที่มีการประชุมลับ นายอภิสิทธิ์ ได้พูดถึงการทำพิมพ์เขียวประเทศไทย โดยมีแนวทางเกี่ยวกับการปรับปรุงโรงเรียนองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น ( อปท.) โดยเฉพาะเรื่องการเรียนการสอน เพื่อให้สอดคล้องกับนิสัยของเด็ก นอกจากนั้นเรื่องเกี่ยวกับสาขาพรรค เนื่องจากที่ผ่านมาพรรคเพื่อไทย ไม่มีการเน้นในเรื่องการตั้งสาขา แต่หลังจากที่ได้มาดูสาขาพรรค ของนายสกลธี ภัททิยกุล อดีตผู้สมัคร ส.ส. เขตหลัก 4 ที่มีการตั้งร้านกาแฟ บริเวณด้านหน้าสาขาพรรค เป็นสถานที่ที่ทำให้ประชาชนสามารถมาพูดคุยกันได้ พรรคเพื่อไทยก็สนใจที่จะทำตามบ้าง ส่วนในเรื่องของการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในระยะอันใกล้นี้ ทั้งการเลือกตั้งซ่อม เขต 2 จ.ชลบุรี และการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. รวมไปถึงการเลือกตั้งในสนามใหญ่ด้วย ขอให้มีการเตรียมพร้อม หาก ส.ส.คนไหน รู้ว่าตัวเองอ่อน ไม่ลงพื้นที่ หรือไม่ทำกิจกรรม แล้วยังไม่ปรับปรุงตัว พรรคก็จะเปลี่ยนตัวผู้สมัครเหมือนกับที่เคยเปลี่ยนมาแล้วในจังหวัดหนึ่งทางภาคใต้