หลังจากนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา เจ้าของ บริษัท ไร่ส้ม จำกัด ที่ถูกคณะกรรมการป้องกันและ ปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)ชี้มูลทุจริต เกี่ยวกับค่าโฆษณาและเวลาโฆษณาของช่องโมเดิร์นไนน์ ไปแล้ว แต่นายสรยุทธก็ยังคงเดินหน้าจัดรายการทางช่อง 3 อยู่ เหมือนไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับความผิดดังกล่าว
ขณะที่ช่อง 3 เอง ก็ออกมาประกาศโดยอ้างว่า เรื่องทั้งหมดยังอยู่ในคดีความและการพิจารณาตามขั้นตอนของกฎหมาย ยังไม่มีความชัดเจน ทุกอย่างต้องรอก่อน การไม่ลงดาบสรยุทธของช่อง 3 เป็นเรื่องที่คาด เดาได้ไม่ยาก นั่นก็เป็นเพราะ ลึกๆแล้วปฎิเสธไม่ได้ว่า สรยุทธ สุทมัศนจินดา กับบริษัท ไร่ส้ม จำกัด แม้จะเป็น “ของร้อน” แต่ช่อง 3 ก็ยังต้องการอุ้มต่อไป
เพราะนี่คือบ่อเงินบ่อทองบ่อใหญ่ของช่อง 3 นั่นเองคนในวงการสื่อรายหนึ่งให้ความเห็นว่า ต้นทุนการทำรายการของสรยุทธนั้นต่ำมาก เมื่อเทียบกับรายการข่าวอื่นๆ เพราะเพียงแค่นั่งอ่านข่าวจากหนังสือพิมพ์ของคนอื่น ไม่ค่อยได้มีลงภาคสนามจะมีมากก็ตอนช่วงเหตุการณ์ใหญ่ๆหรืออะไรก็ตามที่ส่วนใหญ่จะเป็นในเชิงเมื่อทำไปแล้วจะได้ภาพลักษณ์เท่านั้นไม่ใช่ทำปในเชิงเจาะข่าวแต่อย่างใด เช่น น้ำท่วม หรือการรับนักกีฬาโอลิมปิกที่ได้เหรียญทอง เป็นตน เท่านั้นเอง
ขณะที่ รายการของเขากอบโกยรายได้จาก ค่าโฆษณาเป็นจำวนมาก เข้าทำนอง ต้นทุนต่ำ รายได้สูง เพราะในแต่ละปี ช่อง 3 สามารถสร้างรายได้ผ่ากทาง สรยุทธ มากโข ว่ากันว่า ไม่ต่ำกว่า 1,000 - 1,500 ล้านบาทต่อปี หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 10% ที่มาจากสรยุทธ จากรายได้รวมของช่อง 3 ที่มีประมาณ 10,000 กว่าล้านบาท ซึ่งเป็นสัดส่วนที่มากโขทีเดียว แทบจะคิดเป็นเกือบ 50% ของรายได้รวมที่มาจาก โฆษณาของช่องโมเดิร์นไนน์ที่ทำได้ประมาณ 3,000 กว่าล้านบาทด้วยซ้ำไปโดยเงื่อนไขนั้นเป็นแบบไทม์แชร์ริ่งที่แบ่งสัดส่วนรายได้กันตามตกลง
คิดกันคร่าวๆจากรายการและเวลาที่มีอยู่ในช่อง 3 ของสรยุทธ ผ่านเวลารายการของ บริษัท บีอีซีเทโร บริษัทลูกของช่อง 3 อีกทอด
1. รายการ “เรื่องเล่าเช้านี้” จันทร์ถึงศุกร์ เวลาออกอากาศ 06.00-09.00 น. ค่าโฆษณาอยู่ที่ 1.8 แสนบาทต่อนาที ซึ่งสูงที่สุดในช่วงข่าวเช้า มีพื้นที่ขายโฆษณา 20 นาที คำนวณแล้วตกวันละ 3.6-4 ล้านบาทต่อวัน หรือเดือนละประมาณ 80 กว่าล้านบาท คิดเป็นปีก็ประมาณ 950 – 1,000 ล้านบาท
2. รายการ “เรื่องเล่าเสาร์-อาทิตย์” เวลา 10.45-12.15 น. ราคาค่าโฆษณา 2.5 แสนบาทต่อนาที มีประมาณ 8 วันใน 1 เดือน เท่ากับ 20 ล้านบาท ตกปีละประมาณ 240 ล้านบาท
3. รายการ”เรื่องเด่นเย็นนี้ ”จันทร์-ศุกร์ เวลา 16.10-18.00 น. ซึ่งจะมีช่วง เจาะข่าวเด่น ที่เป็นของสรยุทธดำเนินรายการประมาณ 17.45 น. ที่จะมีรายได้อีกส่วนหนึ่ง
นี่คือ สิ่งที่สรยุทธสร้างให้กับช่อง 3 อย่างคร่าวๆน้อยคนนักที่จะรู้ว่าช่อง3มีรายการประเภทข่าวประมาณ 20-30% ของผังรายการ แต่สามารถทำรายได้มากถึง 30% ของรายได้ทั้งหมด ขณะที่เทียบกับฟรีทีวีอีก ช่องหนึ่งมีเวลารายการประเภทข่าวประมาณ 30% แต่ทำรายได้ประมาณ 20% ของรายได้รวม
“ช่อง 3 อาจจะหงุดหงิดบ้างกับกรณี ข่าวทุจริตของบริษัทไร่ส้ม แต่สรยุทธก็เป็นคน ทำเงินให้มาก ยังงัยก็ต้องรักษาไว้ ไม่แคร์กับเสียงสังคม ภายนอก แม้ว่าช่อง3เองจะอยู่ในตลาดหุ้นด้วยก็ตาม แต่ก็อ้างตลอดว่าอยู่ในขั้นตอนของกฎหมาย ซึ่งถ้าจะบอกว่า ช่อง3เอาถูกใจไว้ก่อนโดยไม่คำนึง ความถูกต้องก็ไม่ผิด” แหล่งข่าววงในให้ความเห็น
ถ้าหากมองอดีตแล้ว ช่อง 3 ไม่แคร์อยู่แล้ว กับเรื่องใหญ่ๆที่ผ่านมา เช่นกรณี การไม่สนใจและไม่ยึด ถือเอาเรตติ้งที่ออกโดย บริษัท นีลเส็นมีเดียรีเสิร์ช เพราะไม่เชื่อในผลเรตติ้ง และมั่นใจว่าเรตติ้งของตัวเอง ต้องสูงกว่าและชัดเจนกว่าที่นีลเส็นทำสำรวจออกมา หรือกรณีที่รายการไทยแลนด์ ก๊อตทาเลนต์มีการ แพร่ภาพทางช่อง 3 เป็นภาพสาวที่เข้าแข่งขันคนหนึ่งทำการโชว์หน้าอกเปลือยเพนต์สี ซึ่งก็ถูกสังคมวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก แต่ในช่วงแรก ช่อง3ก็ปฎิเสธความรับผิดชอบมาตลอด
หากเทียบกับช่อง7 ที่เป็นพี่ใหญ่ด้านเรตติ้งและ เม็ดเงินโฆษณาเหมือนกัน ก็ยังไม่กร้าวเท่านี้ สังเกตุจากหลายปีก่อนนี้ ช่อง7ทะเลาะกับยูนิลีเวอร์ เจ้าแห่งงบโฆษณาใน เรื่องส่วนลดค่าโฆษณา ทำให้ลีเวอร์ถอนยวงออกจากช่อง7หมด ซึ่งช่อง7เอง ก็สูญเสียค่าโฆษณาไปหลายร้อยล้านบาท แต่สุดท้าย ทั้งคู่ก็ตกลงกันได้กลับมาป็นพันธมิตรกันเหมือนดิมเพราะไม่อย่างงั้นก็มีแต่เสียกับเสียทั้งคู่ ทว่าช่อง3ไม่เป็นเช่นนั้น
ส่วนการที่ทางภาคีเครือข่ายต่อตนคอร์รัชชั่น ออกมาจี้ให้ผู่บริหารช่อง 3 ตัดสินใจรณีของสรุทธ ด้วนระบบธรรมาภิบาล พร้อมกับให้สินค้าต่างๆ ที่ลงโฆษณาถอนตัวจากรายการของสรยุทธนั้น ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นสิ่งที่ช่อง 3 ไม่กังวลเลยด้วยซ้ำไป และซ้ำร้ายกว่านั้น ไม่มีทีท่าว่าจะลดอัตราค่าโฆษณา มีแต่แผนที่จะปรับขึ้นค่าโฆษณาด้วยอีกต่างหาก ซึ่งช่อง 3 เองก็มีการขึ้นค่าโฆษณาถี่มากในช่วงรอบปี มากกว่าช่องอื่นอย่างเห็นได้ชัด
แม้ว่าที่ผ่านมาจะมีกระแสออกมาชัดเจนแล้วว่า 4 สินค้าใหญ่เตรียมถอนโฆษณาออกจากรายการสรยุทธ คือ ปูนซิเมนต์ไทย แบงก์ไทยพาณิชย์ โตโยต้าและโตชิบา แต่ก็ต้องรอถึงปีหน้าให้สัญญาเดิมสิ้นสุดลงก่อนและจะไม่มีการซื้อโฆษณาใหม่ จะถอนทันควันก็ไม่ได้
นายประมนต์ สุธีวงศ์ ประธาน ภาคีเครือข่ยต่อตานคอร์รัปชั่น กล่าวว่า การขอความร่วมมือจากสมาชิกภาคีฯเพื่อให้ถอดโฆษณาช่วงรายการเล่าข่าวของนายสรยุทธ สุทัศนะจินดานั้น เป็นสิทธิที่สมาชิกภาคีเครือข่ายฯ จะเป็นผู้ตัดสินใจเอง ผมไม่อยากพูดแทนคนอื่นว่าใครได้ดำเนินการอะไรไปบ้างแล้ว แต่ยืนยันได้ว่าธุรกิจที่อยู่ในภาคีเครือข่ายฯ ไม่สนับสนุนการทุจริต ขอให้ไปดูรายการของเขาเอาเอง แล้วจะรู้ว่ามีใครถอนไม่ถอน ไม่ยาก ถ้าดูแล้วไม่มี ค่อยมาบอกเราดีกว่า
ทั้งนี้สมาชิกของภาคฯไม่ได้เป็นในนามของตัวสินค้าหรือบริษัทเจ้าของสินค้าเพราะสมาชิกส่วนใหญ่แล้วจะเป็นในนามขององค์กร และหน่วยงาน เป็นหลัก
สำหรับสินค้าที่ลงโฆษณาในรายการของสรยุทธที่มีการรวบรวมกันไว้สิ้นสุดเดือนสิงหาคมนั้น เช่น โตโยต้า
เนสกาแฟ คอลเกต บางกอกแอร์ ซูกิชิ มาม่าและบีเอสซีของเครือสหพัฒน์ ซูซูกิ ไมโลแมคโดนัลด์ แอคทีเวีย ฟูจิโกะ แอนมัม เอสซีจีหรือปูนซิเมนต์ไทย ดูเม็กซื แมจิกคลีน เคเอฟซี เมืองไทยประกันชีวิต แว็กซี่ นิสสัน แว่นท๊อปเจริญ ทีโอที สตาร์เวลล์ โอเลย์ เป็นต้น
แหล่งข่าวจาก บริษัท บีอีซี-เทโร เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด (มหาชน) บอกว่า บีอีซี-เทโร มีช่วงเวลาที่ผลิต รายการให้กับทางช่อง3 โดยเฉพาะรายการข่าวหลายรายการ เช่น เรื่องเล่าเช้านี้ ข่าววันใหม่ โลกยามเช้า และก๊วนข่าวเช้าวันหยุด ซึ่งในช่วงเรื่องเล่าเช้านี้ที่มีนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา เป็นผู้ดำเนินรายการนั้น
ขณะนี้ยังไม่มีผลกระทบจากสปอนเซอร์โฆษณาที่มาลงแต่อย่างใด โดยลูกค้าส่วนใหญ่ซื้อโฆษณาไป จนถึงสิ้นปีอยู่แล้ว ดังนั้นหากจะมองถึงผลกระทบ หรือการเปลี่ยนแปลงใดๆนั้น ต้องดูปีหน้าเป็นต้นไป
นางวรรณี รัตนพล ประธานบริหาร บริษัท ไอพีจี มีเดียแบรนด์ส จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจการวางแผน และซื้อสื่อโฆษณา กล่าวแสดงความคิดเห็นถึงกรณี สรยุทธ กับคดีไร่ส้ม ว่า ในแง่ของลูกค้าที่ซื้อโฆษณา ขณะนี้ยังไม่เห็นอะไรเปลี่ยนแปลง ลูกค้าก็ยังคงซื้อ โฆษณาไปตามปกติ และจากที่ติดตามข่าวอยู่นั้น ทราบว่าทางช่อง3เองก็ยังไม่ได้ตัดสินใจใดๆกับนายสรยุทธโดยยังมองว่าคดียังไม่สิ้นสุด ดังนั้นจึงยังเปิดโอกาส ให้นายสรยุทธดำเนินรายการอยู่
อย่างไรก็ตามในฐานะเอเจนซี่โฆษณา มองว่า เรื่องนี้ยังไม่มีอะไรชัดเจน ว่าในแง่ของมูลค่าเพอร์เซอร์นอลแบรนด์ของนายสรยุทธ จะออกมาเป็นเช่นไร จะลดลงหรือไม่ แต่ตราบใดที่นาย สรยุทธยังสามารถดึงความสนใจจากผู้ชมได้อยู่ลูกค้าก็ยังพร้อมซื้อโฆษณาในรายการที่นายสรยุทธดำเนินรายการต่อไปสอดคล้องกับที่คนในวงการอีกรายหนึ่ง มองว่า ถ้าสินค้าถอนงบโฆษณาจากรายการของสรยุทธ ก็คงจะโยกกงบไปลงรายการอื่นในช่อง3เหมือนเดิม คงไม่ได้ไปที่ช่องไหน ซึ่งตอนนี้ก็ทราบมาว่า มีหลายสินค้าที่เริ่มคุยๆกันว่าจะถอดงบโฆษณาจากรายการสรยุทธอีก แต่ก็ต้องรอต้นปีหน้า
ดังนั้นภายในต้นปีหน้าคงจะมีคำตอบที่ออกมาชัดเจนแล้วว่า สินค้าตัวใดจะถอนหรือไม่ถอนจากรายการของสรยุทธ สุทัศนะจินดา ของร้อน ที่ช่อง3ต้องกรอุ้มเพื่อรายได้ของตัวเอง
ขณะที่ช่อง 3 เอง ก็ออกมาประกาศโดยอ้างว่า เรื่องทั้งหมดยังอยู่ในคดีความและการพิจารณาตามขั้นตอนของกฎหมาย ยังไม่มีความชัดเจน ทุกอย่างต้องรอก่อน การไม่ลงดาบสรยุทธของช่อง 3 เป็นเรื่องที่คาด เดาได้ไม่ยาก นั่นก็เป็นเพราะ ลึกๆแล้วปฎิเสธไม่ได้ว่า สรยุทธ สุทมัศนจินดา กับบริษัท ไร่ส้ม จำกัด แม้จะเป็น “ของร้อน” แต่ช่อง 3 ก็ยังต้องการอุ้มต่อไป
เพราะนี่คือบ่อเงินบ่อทองบ่อใหญ่ของช่อง 3 นั่นเองคนในวงการสื่อรายหนึ่งให้ความเห็นว่า ต้นทุนการทำรายการของสรยุทธนั้นต่ำมาก เมื่อเทียบกับรายการข่าวอื่นๆ เพราะเพียงแค่นั่งอ่านข่าวจากหนังสือพิมพ์ของคนอื่น ไม่ค่อยได้มีลงภาคสนามจะมีมากก็ตอนช่วงเหตุการณ์ใหญ่ๆหรืออะไรก็ตามที่ส่วนใหญ่จะเป็นในเชิงเมื่อทำไปแล้วจะได้ภาพลักษณ์เท่านั้นไม่ใช่ทำปในเชิงเจาะข่าวแต่อย่างใด เช่น น้ำท่วม หรือการรับนักกีฬาโอลิมปิกที่ได้เหรียญทอง เป็นตน เท่านั้นเอง
ขณะที่ รายการของเขากอบโกยรายได้จาก ค่าโฆษณาเป็นจำวนมาก เข้าทำนอง ต้นทุนต่ำ รายได้สูง เพราะในแต่ละปี ช่อง 3 สามารถสร้างรายได้ผ่ากทาง สรยุทธ มากโข ว่ากันว่า ไม่ต่ำกว่า 1,000 - 1,500 ล้านบาทต่อปี หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 10% ที่มาจากสรยุทธ จากรายได้รวมของช่อง 3 ที่มีประมาณ 10,000 กว่าล้านบาท ซึ่งเป็นสัดส่วนที่มากโขทีเดียว แทบจะคิดเป็นเกือบ 50% ของรายได้รวมที่มาจาก โฆษณาของช่องโมเดิร์นไนน์ที่ทำได้ประมาณ 3,000 กว่าล้านบาทด้วยซ้ำไปโดยเงื่อนไขนั้นเป็นแบบไทม์แชร์ริ่งที่แบ่งสัดส่วนรายได้กันตามตกลง
คิดกันคร่าวๆจากรายการและเวลาที่มีอยู่ในช่อง 3 ของสรยุทธ ผ่านเวลารายการของ บริษัท บีอีซีเทโร บริษัทลูกของช่อง 3 อีกทอด
1. รายการ “เรื่องเล่าเช้านี้” จันทร์ถึงศุกร์ เวลาออกอากาศ 06.00-09.00 น. ค่าโฆษณาอยู่ที่ 1.8 แสนบาทต่อนาที ซึ่งสูงที่สุดในช่วงข่าวเช้า มีพื้นที่ขายโฆษณา 20 นาที คำนวณแล้วตกวันละ 3.6-4 ล้านบาทต่อวัน หรือเดือนละประมาณ 80 กว่าล้านบาท คิดเป็นปีก็ประมาณ 950 – 1,000 ล้านบาท
2. รายการ “เรื่องเล่าเสาร์-อาทิตย์” เวลา 10.45-12.15 น. ราคาค่าโฆษณา 2.5 แสนบาทต่อนาที มีประมาณ 8 วันใน 1 เดือน เท่ากับ 20 ล้านบาท ตกปีละประมาณ 240 ล้านบาท
3. รายการ”เรื่องเด่นเย็นนี้ ”จันทร์-ศุกร์ เวลา 16.10-18.00 น. ซึ่งจะมีช่วง เจาะข่าวเด่น ที่เป็นของสรยุทธดำเนินรายการประมาณ 17.45 น. ที่จะมีรายได้อีกส่วนหนึ่ง
นี่คือ สิ่งที่สรยุทธสร้างให้กับช่อง 3 อย่างคร่าวๆน้อยคนนักที่จะรู้ว่าช่อง3มีรายการประเภทข่าวประมาณ 20-30% ของผังรายการ แต่สามารถทำรายได้มากถึง 30% ของรายได้ทั้งหมด ขณะที่เทียบกับฟรีทีวีอีก ช่องหนึ่งมีเวลารายการประเภทข่าวประมาณ 30% แต่ทำรายได้ประมาณ 20% ของรายได้รวม
“ช่อง 3 อาจจะหงุดหงิดบ้างกับกรณี ข่าวทุจริตของบริษัทไร่ส้ม แต่สรยุทธก็เป็นคน ทำเงินให้มาก ยังงัยก็ต้องรักษาไว้ ไม่แคร์กับเสียงสังคม ภายนอก แม้ว่าช่อง3เองจะอยู่ในตลาดหุ้นด้วยก็ตาม แต่ก็อ้างตลอดว่าอยู่ในขั้นตอนของกฎหมาย ซึ่งถ้าจะบอกว่า ช่อง3เอาถูกใจไว้ก่อนโดยไม่คำนึง ความถูกต้องก็ไม่ผิด” แหล่งข่าววงในให้ความเห็น
ถ้าหากมองอดีตแล้ว ช่อง 3 ไม่แคร์อยู่แล้ว กับเรื่องใหญ่ๆที่ผ่านมา เช่นกรณี การไม่สนใจและไม่ยึด ถือเอาเรตติ้งที่ออกโดย บริษัท นีลเส็นมีเดียรีเสิร์ช เพราะไม่เชื่อในผลเรตติ้ง และมั่นใจว่าเรตติ้งของตัวเอง ต้องสูงกว่าและชัดเจนกว่าที่นีลเส็นทำสำรวจออกมา หรือกรณีที่รายการไทยแลนด์ ก๊อตทาเลนต์มีการ แพร่ภาพทางช่อง 3 เป็นภาพสาวที่เข้าแข่งขันคนหนึ่งทำการโชว์หน้าอกเปลือยเพนต์สี ซึ่งก็ถูกสังคมวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก แต่ในช่วงแรก ช่อง3ก็ปฎิเสธความรับผิดชอบมาตลอด
หากเทียบกับช่อง7 ที่เป็นพี่ใหญ่ด้านเรตติ้งและ เม็ดเงินโฆษณาเหมือนกัน ก็ยังไม่กร้าวเท่านี้ สังเกตุจากหลายปีก่อนนี้ ช่อง7ทะเลาะกับยูนิลีเวอร์ เจ้าแห่งงบโฆษณาใน เรื่องส่วนลดค่าโฆษณา ทำให้ลีเวอร์ถอนยวงออกจากช่อง7หมด ซึ่งช่อง7เอง ก็สูญเสียค่าโฆษณาไปหลายร้อยล้านบาท แต่สุดท้าย ทั้งคู่ก็ตกลงกันได้กลับมาป็นพันธมิตรกันเหมือนดิมเพราะไม่อย่างงั้นก็มีแต่เสียกับเสียทั้งคู่ ทว่าช่อง3ไม่เป็นเช่นนั้น
ส่วนการที่ทางภาคีเครือข่ายต่อตนคอร์รัชชั่น ออกมาจี้ให้ผู่บริหารช่อง 3 ตัดสินใจรณีของสรุทธ ด้วนระบบธรรมาภิบาล พร้อมกับให้สินค้าต่างๆ ที่ลงโฆษณาถอนตัวจากรายการของสรยุทธนั้น ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นสิ่งที่ช่อง 3 ไม่กังวลเลยด้วยซ้ำไป และซ้ำร้ายกว่านั้น ไม่มีทีท่าว่าจะลดอัตราค่าโฆษณา มีแต่แผนที่จะปรับขึ้นค่าโฆษณาด้วยอีกต่างหาก ซึ่งช่อง 3 เองก็มีการขึ้นค่าโฆษณาถี่มากในช่วงรอบปี มากกว่าช่องอื่นอย่างเห็นได้ชัด
แม้ว่าที่ผ่านมาจะมีกระแสออกมาชัดเจนแล้วว่า 4 สินค้าใหญ่เตรียมถอนโฆษณาออกจากรายการสรยุทธ คือ ปูนซิเมนต์ไทย แบงก์ไทยพาณิชย์ โตโยต้าและโตชิบา แต่ก็ต้องรอถึงปีหน้าให้สัญญาเดิมสิ้นสุดลงก่อนและจะไม่มีการซื้อโฆษณาใหม่ จะถอนทันควันก็ไม่ได้
นายประมนต์ สุธีวงศ์ ประธาน ภาคีเครือข่ยต่อตานคอร์รัปชั่น กล่าวว่า การขอความร่วมมือจากสมาชิกภาคีฯเพื่อให้ถอดโฆษณาช่วงรายการเล่าข่าวของนายสรยุทธ สุทัศนะจินดานั้น เป็นสิทธิที่สมาชิกภาคีเครือข่ายฯ จะเป็นผู้ตัดสินใจเอง ผมไม่อยากพูดแทนคนอื่นว่าใครได้ดำเนินการอะไรไปบ้างแล้ว แต่ยืนยันได้ว่าธุรกิจที่อยู่ในภาคีเครือข่ายฯ ไม่สนับสนุนการทุจริต ขอให้ไปดูรายการของเขาเอาเอง แล้วจะรู้ว่ามีใครถอนไม่ถอน ไม่ยาก ถ้าดูแล้วไม่มี ค่อยมาบอกเราดีกว่า
ทั้งนี้สมาชิกของภาคฯไม่ได้เป็นในนามของตัวสินค้าหรือบริษัทเจ้าของสินค้าเพราะสมาชิกส่วนใหญ่แล้วจะเป็นในนามขององค์กร และหน่วยงาน เป็นหลัก
สำหรับสินค้าที่ลงโฆษณาในรายการของสรยุทธที่มีการรวบรวมกันไว้สิ้นสุดเดือนสิงหาคมนั้น เช่น โตโยต้า
เนสกาแฟ คอลเกต บางกอกแอร์ ซูกิชิ มาม่าและบีเอสซีของเครือสหพัฒน์ ซูซูกิ ไมโลแมคโดนัลด์ แอคทีเวีย ฟูจิโกะ แอนมัม เอสซีจีหรือปูนซิเมนต์ไทย ดูเม็กซื แมจิกคลีน เคเอฟซี เมืองไทยประกันชีวิต แว็กซี่ นิสสัน แว่นท๊อปเจริญ ทีโอที สตาร์เวลล์ โอเลย์ เป็นต้น
แหล่งข่าวจาก บริษัท บีอีซี-เทโร เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด (มหาชน) บอกว่า บีอีซี-เทโร มีช่วงเวลาที่ผลิต รายการให้กับทางช่อง3 โดยเฉพาะรายการข่าวหลายรายการ เช่น เรื่องเล่าเช้านี้ ข่าววันใหม่ โลกยามเช้า และก๊วนข่าวเช้าวันหยุด ซึ่งในช่วงเรื่องเล่าเช้านี้ที่มีนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา เป็นผู้ดำเนินรายการนั้น
ขณะนี้ยังไม่มีผลกระทบจากสปอนเซอร์โฆษณาที่มาลงแต่อย่างใด โดยลูกค้าส่วนใหญ่ซื้อโฆษณาไป จนถึงสิ้นปีอยู่แล้ว ดังนั้นหากจะมองถึงผลกระทบ หรือการเปลี่ยนแปลงใดๆนั้น ต้องดูปีหน้าเป็นต้นไป
นางวรรณี รัตนพล ประธานบริหาร บริษัท ไอพีจี มีเดียแบรนด์ส จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจการวางแผน และซื้อสื่อโฆษณา กล่าวแสดงความคิดเห็นถึงกรณี สรยุทธ กับคดีไร่ส้ม ว่า ในแง่ของลูกค้าที่ซื้อโฆษณา ขณะนี้ยังไม่เห็นอะไรเปลี่ยนแปลง ลูกค้าก็ยังคงซื้อ โฆษณาไปตามปกติ และจากที่ติดตามข่าวอยู่นั้น ทราบว่าทางช่อง3เองก็ยังไม่ได้ตัดสินใจใดๆกับนายสรยุทธโดยยังมองว่าคดียังไม่สิ้นสุด ดังนั้นจึงยังเปิดโอกาส ให้นายสรยุทธดำเนินรายการอยู่
อย่างไรก็ตามในฐานะเอเจนซี่โฆษณา มองว่า เรื่องนี้ยังไม่มีอะไรชัดเจน ว่าในแง่ของมูลค่าเพอร์เซอร์นอลแบรนด์ของนายสรยุทธ จะออกมาเป็นเช่นไร จะลดลงหรือไม่ แต่ตราบใดที่นาย สรยุทธยังสามารถดึงความสนใจจากผู้ชมได้อยู่ลูกค้าก็ยังพร้อมซื้อโฆษณาในรายการที่นายสรยุทธดำเนินรายการต่อไปสอดคล้องกับที่คนในวงการอีกรายหนึ่ง มองว่า ถ้าสินค้าถอนงบโฆษณาจากรายการของสรยุทธ ก็คงจะโยกกงบไปลงรายการอื่นในช่อง3เหมือนเดิม คงไม่ได้ไปที่ช่องไหน ซึ่งตอนนี้ก็ทราบมาว่า มีหลายสินค้าที่เริ่มคุยๆกันว่าจะถอดงบโฆษณาจากรายการสรยุทธอีก แต่ก็ต้องรอต้นปีหน้า
ดังนั้นภายในต้นปีหน้าคงจะมีคำตอบที่ออกมาชัดเจนแล้วว่า สินค้าตัวใดจะถอนหรือไม่ถอนจากรายการของสรยุทธ สุทัศนะจินดา ของร้อน ที่ช่อง3ต้องกรอุ้มเพื่อรายได้ของตัวเอง