ASTVผู้จัดการรายวัน- “สรยุทธ-ไร่ส้ม”พูดเอง “ผมไม่ใช่นักข่าวแล้ว” แขวะถูกยัดเยียดให้ออกจากสื่อ ส่วนคดีไร่ส้มส่อชนะอสมท. แจ้งศาลช่อง 9 ทำผิด หลังฟังคำแถลงของตุลาการฯผู้แถลงคดี เห็นควรให้อสมท.จ่ายเงินคืน 49 ล้าน เจ้าตัวอัดสื่อเต้าข่าวมั่ว สปอนเซอร์ถอนโฆษณา ยันยังแน่นเหมือนเดิม พร้อมเมินเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากสังคม อ้างเป็นสิทธิส่วนบุคคล
วานนี้ ( 15 พ.ย.) ศาลปกครองกลางได้ออกนั่งพิจารณาคดีครั้งแรกในคดี ที่บริษัทไร่ส้ม จำกัด ฟ้อง บริษัทอสมท. จำกัด มหาชน กรณีปฎิบัติผิดข้อตกลงและสัญญาร่วมผลิตรายการโทรทัศน์ ในชื่อรายการ“คุยคุ้ยข่าว” โดยเรียกเก็บค่าโฆษณาส่วนเกินจากบริษัทไร่ส้มโดยไม่ให้ส่วนลดทางการค้าตามข้อตกลง และยังได้โฆษณาเกินส่วนแบ่งเวลาตามข้อตกลง ซึ่งองค์คณะตุลาการฯได้ให้คู่กรณีแถลงปิดคดีด้วยวาจา และให้ตุลาการผู้แถลงคดีแถลงความเห็นส่วนตนที่ไม่ผูกพันต่อการพิจารณาพิพากษาขององค์คณะ
ซึ่งนายสรยุทธ์ สุทัศนะจินดา กรรมการบริษัทไร่ส้ม ได้แถลงปิดคดีด้วยตนเอง และถือเป็นการชี้แจงต่อที่สาธารณะเป็นครั้งแรก นับแต่ ปปช. ส่งสำนวนการทุจริตค่าโฆษณาของ บ.ไร่ส้มต่ออัยการให้พิจารณาส่งฟ้องคดีเป็นต้นมา โดยใช้เวลาประมาณ 1ชม.เศษ เน้นย้ำต่อศาลว่า การทำสัญญาระหว่าง อสมท. กับไร่ส้ม เป็นสัญญาประเภท ‘ทามแชร์ริ่ง’ ระบุแบ่งปันผลประโยชน์จากโฆษณา 50/50 หมายรวมถึงโฆษณาส่วนเกินที่ทั้งสองฝ่ายควรนำมาแบ่งกันตามเงื่อนไขเดียวกัน
นายสรยุทธ์ยังอ้างเอกสารที่ อสมท. ยกมาอ้างว่ามีกรณี บ.ซีเนริโอ้ ที่มีการแจ้งคิวโฆษณาล่วงหน้าก่อน เพื่อให้ฝ่ายรายการจัดสรรเวลา จึงจะมีสิทธิ์เรียกร้องค่าส่วนลดการตลาด 30 % พบว่าเอกสารดังกล่าวเมื่อดูหัวแฟกซ์แล้วน่าเชื่อว่าเป็นการทำขึ้นภายหลัง ส่วนเอกสารแจ้งคิวโฆษณาล่วงหน้าของบริษัทแอ็กแซค ที่อสมท.นำมาอ้างก็พบว่า เกิดขึ้นหลังจากมีข้อพิพาทกับบริษัทไร่ส้ม แล้วอสมท.ไปออกระเบียบการออกอากาศขึ้นมาภายหลัง แต่ก่อนหน้านั้นการปฏิบัติเรื่องการโฆษณาล่วงหน้าที่อสมท.ดำเนินการกับบริษัทไร่ส้มและบริษัทซีเนริโอ้ ไม่มีเงื่อนไขการต้องแจ้งล่วงหน้า ดังนั้นการจะนำระเบียบที่เกิดขึ้นภายหลังมาเอาผิดกับบริษัทไร่ส้ม เห็นว่าตามหลักกฎหมายมหาชนหากระเบียบที่เกิดขึ้นภายหลังมีผลในทางร้ายกับคู่กรณีไม่น่าจะนำมาบังคับใช้ย้อนหลังได้
นอกจากนี้คำร้องของ บ.ไร่ส้มได้ขอเรียกส่วนแบ่งค่าโฆษณา ในส่วนที่ อสมท. ได้รับ ให้แบ่งบริษัทไร่ส้มตามเงื่อนไขเดียวกันที่ บ.ไร่ส้มต้องแบ่งให้ อสมท. ตามสัญญา
“อสมท. อ้างว่าโฆษณาส่วนเกินทั้งหมดเป็นของ อสมท. ซึ่งไม่เป็นธรรม ถือว่ารังแกผู้ร่วมสัญญาผลิตรายการที่ อสมท. จะอ้างว่าเป็นเจ้าของสถานีและเจ้าของเวลา จะโฆษณาเท่าไหร่ก็ได้ ถ้าใช้เพื่อประโยชน์สาธารณะทางบริษัทยอมรับได้ แต่ไม่ใช่การใช้เพื่อขายสินค้า เพราะถ้ามีผู้กำหนดสิทธิ์เพียงฝ่ายเดียวแล้วจะมีสัญญาแบ่งปันผลประโยชน์กัน 50/50 เพื่ออะไรรายการทางโทรทัศน์ไม่เหมือนสินค้าที่ขายวันนี้ไม่หมดเอามาขายใหม่วันพรุ่งนี้ได้ เพราะถ้ารายการวันนี้ไม่มีโฆษณาเข้ามูลค่าก็จะกลายเป็นศูนย์ทันที”
ทั้งนี้นายสรยุทธ์ ได้ขอให้ศาลพักการพิจารณาไปจนกว่าจะมีคำพิพากษาในคดีอาญา ที่ ปปช. ฟ้องกรณี บ.ไร่ส้มทุจริตการจ่ายเงินค่าโฆษณาส่วนเกิน และขอให้ศาลสืบพยานเพิ่มเติมโดยขอให้เรียก น.ส.บุญฑนิก บุลย์สิน ผู้กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สำนักการตลาด ของอสมท. มาให้ถ้อยคำเพิ่มเติม เนื่องจากเป็นผู้ที่รู้วิธีการปฏิบัติเกี่ยวกับการแจ้งใบคิวโฆษณาส่วนเกินล่วงหน้าเป็นอย่างดี และเชื่อว่าการที่ศาลแพ่ง สั่งให้น.ส.บุญฑนิกชดใช้ค่าเสียหายให้อสมท.จำนวน 2 ล้านบาท ก็เพราะน.ส.บุญฑนิกไม่ได้นำเสนอให้ศาลเห็นถึงความผิดปกติของใบแจ้งคิวโฆษณาล่วงหน้า แต่ศาลระบุว่า คดีทางปกครองไม่ได้ผูกพันกับคดีอาญาเหมือนกรณีคดีแพ่ง และวิธีการพิจารณาทางปกครองนั้นให้ศาลแสวงหาข้อเท็จจริงได้ด้วยตนเอง ซึ่งกรณีนี้ศาลเห็นว่าได้ข้อเท็จจริงเพียงพอแล้ว หาไม่แล้วจะทำให้การพิจารณาคดียืดเยื้อหาที่สิ้นสุดได้ยาก
จากนั้นศาลได้ให้นายอนุชา ฮุนสวัสดิกุล ตุลาการผู้แถลงคดี แถลงความเห็นส่วนตนเพื่อเป็นข้อเสนอต่อการพิจารณาขององค์คณะ แต่จะไม่มีผลผูกพันต่อการพิจารณาพิพากษาขององค์คณะ โดยได้นำข้อเท็จจริงเหตุผลที่ อสมท. นำมาหักล้างคำร้องหลายประเด็นมาพิจารณา อาทิ กรณีระเบียบที่ อสมท. อ้างว่าจะต้องแจ้งใบคิวโฆษณาส่วนเกินล่วงหน้านั้น พบว่าหลักฐานที่ อสมท. นำตัวอย่างสำเนาการขอซื้อเวลาโฆษณาล่วงหน้า ของบริษัทอื่นที่ทำสัญญากับ อสมท. มาแสดงต่อศาล ก็มีระยะเวลาของการแจ้งห่างจากระยะเวลาของการทำสัญญาถึง 15 วัน โดยไม่มีการลงนามของคู่สัญญา จึงเชื่อว่าไม่น่าเป็นไปได้ เนื่องจากเป็นการเบียดบังเวลาและโอกาสของการหาโฆษณา ประกอบกับคำให้การแย้งของ นางพิชชาภา เอี่ยมสะอาด เจ้าหน้าที่ลงคิวของ อสมท. ระบุถึงกรณีของ บ.แอคแซค และ บ.ซีเนริโอ้ ก็ไม่ได้มีการแจ้งซื้อเวลาล่วงหน้า
ทั้งนี้ตุลาการผู้แถลงคดียังยกสำนวนสอบชุด พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ ซึ่งตั้งโดย นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ อดีต ผอ. อสมท. ที่ระบุเป็นความบกพร่องของเจ้าหน้าที่ อสมท. รวมทั้ง ผู้ตรวจสอบภายใน เป็นเหตุให้เกิดความบกพร่องในการลงคิวโฆษณาเกินมาอ้าง โดยระบุยังไม่มีหลักฐานชัดโยงถึงการจ้างวานให้ทำทุจริต เนื่องจากเป็นการทุจริตที่สามารถตรวจสอบได้โดยง่าย
“เห็นว่าการโฆษณาส่วนเกินนั้นมีเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องตรวจสอบจำนวนมาก ทั้งเอกสารการลงคิวโฆษณาก็มีที่เจ้าหน้าที่หลายฝ่าย และตรวจสอบได้ไม่ยาก จึงเป็นไปได้ยากหรือแทบเป็นไปไม่ได้ ที่ บ.ไร่ส้มจะจ้าง นางพิชชาภาเพียงลำพังแล้วสามารถทุจริตค่าโฆษณาส่วนเกินไป คำอ้างของ อสมท. จึงฟังให้ขึ้น”
ตุลาการผู้แถลงคดีกล่าวสรุปว่า ไม่อาจสรุปได้ว่าการที่ต้องแจ้งใบคิวโฆษณาส่วนเกินล่วงหน้าเป็นวิธีการปฏิบัติโดยปรกติ และการที่ อสมท. ไม่เรียกค่าโฆษณาส่วนเกินจาก บ.ไร่ส้มเป็นระยะเวลานานหนึ่งปีเศษ ก็เป็นความบกพร่องของเจ้าหน้าที่ อสมท. เอง รวมทั้งมีบริษัทกลางทำหน้าที่ตรวจสอบการออกอากาศจริงของโฆษณาทุกครั้งก็ยืนยันจำนวนโฆษณาตรงกับใบคิวของ บ.ไร่ส้ม ดังนั้นเมื่อ บ.ไร่ส้มปฏิบัติถูกต้องตามสัญญา จึงสมควรได้รับส่วนลดการตลาด 30 % ซึ่ง
ทาง อสมท. สมควรจ่ายคืนเงินค่าการตลาด 30 % ที่เรียกเก็บไปแล้ว.ให้กับบริษัทไร่ส้ม รวมกับภาษีมูลค่าเพิ่มและดอกเบี้ย รวมเป็นเงิน 49.15 ล้านบาทเศษ
นอกจากนี้ตุลาการผู้แถลงคดียังให้ความเห็นกรณี บ.ไร่ส้มขอเรียกส่วนแบ่งค่าโฆษณาส่วนเกินในส่วนของ อสมท. คืนบ้างว่า สัญญาทามแชร์ริ่งระหว่าง อสมท. กับ บ.ไร่ส้มกำหนดส่วนแบ่ง 50/50 เป็นหลักประกันผลประโยชน์ทั้งสองฝ่าย หาก อสมท. มีรายได้โฆษณาที่ล้ำเข้าไปในสิทธิเวลาโฆษณาครั้งละ 2.5 นาทีของ บ.ไร่ส้ม ก็ถือว่า บ.ไร่ส้มได้รับความเสียหาย ก็ควรชดเชยให้ตามสัญญา ซึ่งต้องไปคำนวณตามข้อเท็จจริงอีกครั้ง แต่หากเป็นการโฆษณาเกินโดยที่ บ.ไร่ส้มเองใช้สิทธิ์เวลาโฆษณาเต็มที่แล้ว ก็เป็นเรื่องของการล้ำเวลาของรายการ หรือรายการอื่นต่อจากนั้น ซึ่งเป็นกรณีที่ต้องไปว่ากันอีกที
ภายหลังรับฟังการพิจารณา นายสรยุทธ์ ให้สัมภาษณ์ว่า ตนเคารพศาล ที่ศาลมีความเห็นวันนี้ยังไม่ใช่คำพิพากษา จึงต้องรอฟังคำพิพากษาของศาลอีกครั้ง ซึ่งเราก็ต่อสู้ไปตามกระบวนการยุติธรรมที่ได้ยื่นฟ้องเรียกเงินคืนจาก บ.อสมท. อย่างไรก็ดีตนยังไม่ขอพูดข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะเกรงว่าจะเป็นการละเมิดอำนาจศาลซึ่งตนเป็นผู้ได้เสียในคดีนี้
เมื่อถามว่า แนวทางความเห็นตุลาการผู้แถลงคดีวันนี้ ให้ บ.ไร่ส้ม ชนะคดี นายสรยุทธ์ กล่าวว่า วันนี้ยังไม่ใช่คำพิพากษาของศาล ขอให้รอฟังคำพิพากษาอีกครั้ง
เมื่อถามถึงความรู้สึกต่อ กรณีที่หลายฝ่ายกล่าวถึงการทำหน้าที่สื่อของนายสรยุทธ์และบริษัทไร่ส้ม นายสรยุท์ กล่าวว่า ตนรู้สึกว่าเดี๋ยวนี้มีคำพิพากษากันง่ายในสังคม ส่วนตัวเคยยืนยันตั้งแต่ต้นแล้วว่า ตนสู้ตามกระบวนการยุติธรรมและระบบกฎหมาย ไม่มีอะไรนอกระบบ ซึ่งตนก็เดินหน้าตามนั้นมาตั้งแต่วันที่กล่าวหาจนถึงวันนี้
“สิ่งที่เกิดขึ้นก็แล้วแต่ใครจะว่า แต่เรื่องที่มีการบอกว่า มีการถอนโฆษณา ผมก็ยืนยันว่าไม่ใช่อย่างนั้นไม่มีการถอนโฆษณา ทุกอย่างยังเหมือนเดิม ที่ผมอ่านข่าวผมก็เห็นว่ามีบุคคลที่ปรากฏเป็นข่าวบอกว่าจะยุติอะไรเนี่ย คือ1.ในวงการโฆษราเขารู้กันว่าไม่มีสัญญาผูกพันจะทำกันถึงวันไหน สำหรับผมจึงเห็นว่าเป็นข่าวเต้าข่าวมั่ว ซึ่งความจริงไม่ตรงกันระหว่างข่าวที่ออกมา กับบริษัท เพราะบริษัทที่ติดต่อมาเขาก็ว่าไม่จริงเรื่องถอนโฆษณา จึงขอให้รอดูดีกว่า ”
ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อนายสรยุทธ์ ออกจากห้องพิจารณาคดีแล้วพบว่ามีสื่อรอสัมภาษณ์ นายสรยุทธ์ ก็พูดขึ้นว่า "จะสัมฯอะไรผมอีก ผมไม่ใช่นักข่าวแล้ว พวกคุณยัดเยียดให้ผมออกจากความเป็นสื่อกันเองนะ"
ด้านนายเอนก เพิ่มวงศ์เสนีย์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ที่ผ่านมา อสมท ได้นำส่งผลการชี้มูลความผิดของ ป.ป.ช. เกี่ยวกับบริษัทไร่ส้มที่มีต่อ อสมท ไปให้กับทางช่อง 3 แล้ว ในฐานะที่กำกับดูแลช่อง3 และบริษัท ไร่ส้มจำกัดก็มีการดำเนินงานกับช่อง 3 ในขณะนี้
โดยที่ อสมท. ไม่มีอำนาจที่จะไปสั่งการอะไรกับช่อง3ให้ดำเนินการอะไรกับทางบริษัทไร่ส้มได้ อีกทั้งเรื่องนี้ก็ยังอยู่ในกระบวนการพิจารณาของศาลด้วย ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ผ่านมาเราไม่ควรไปซ้ำเติม และควรดำเนินการตามครรลองการไปซ้ำเติมก็ดูจะมากเกินไป อย่างไรก็ตามในเรื่องของการประพฤติมิชอบรวมทั้งปัญหาเรื่องการทุจริตที่เกิดขึ้น อสมท ก็ได้มีการตรวจสอบ และต้องจัดระบบการทำงานด้วยความโปร่งใส เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีกในอนาคต
วานนี้ ( 15 พ.ย.) ศาลปกครองกลางได้ออกนั่งพิจารณาคดีครั้งแรกในคดี ที่บริษัทไร่ส้ม จำกัด ฟ้อง บริษัทอสมท. จำกัด มหาชน กรณีปฎิบัติผิดข้อตกลงและสัญญาร่วมผลิตรายการโทรทัศน์ ในชื่อรายการ“คุยคุ้ยข่าว” โดยเรียกเก็บค่าโฆษณาส่วนเกินจากบริษัทไร่ส้มโดยไม่ให้ส่วนลดทางการค้าตามข้อตกลง และยังได้โฆษณาเกินส่วนแบ่งเวลาตามข้อตกลง ซึ่งองค์คณะตุลาการฯได้ให้คู่กรณีแถลงปิดคดีด้วยวาจา และให้ตุลาการผู้แถลงคดีแถลงความเห็นส่วนตนที่ไม่ผูกพันต่อการพิจารณาพิพากษาขององค์คณะ
ซึ่งนายสรยุทธ์ สุทัศนะจินดา กรรมการบริษัทไร่ส้ม ได้แถลงปิดคดีด้วยตนเอง และถือเป็นการชี้แจงต่อที่สาธารณะเป็นครั้งแรก นับแต่ ปปช. ส่งสำนวนการทุจริตค่าโฆษณาของ บ.ไร่ส้มต่ออัยการให้พิจารณาส่งฟ้องคดีเป็นต้นมา โดยใช้เวลาประมาณ 1ชม.เศษ เน้นย้ำต่อศาลว่า การทำสัญญาระหว่าง อสมท. กับไร่ส้ม เป็นสัญญาประเภท ‘ทามแชร์ริ่ง’ ระบุแบ่งปันผลประโยชน์จากโฆษณา 50/50 หมายรวมถึงโฆษณาส่วนเกินที่ทั้งสองฝ่ายควรนำมาแบ่งกันตามเงื่อนไขเดียวกัน
นายสรยุทธ์ยังอ้างเอกสารที่ อสมท. ยกมาอ้างว่ามีกรณี บ.ซีเนริโอ้ ที่มีการแจ้งคิวโฆษณาล่วงหน้าก่อน เพื่อให้ฝ่ายรายการจัดสรรเวลา จึงจะมีสิทธิ์เรียกร้องค่าส่วนลดการตลาด 30 % พบว่าเอกสารดังกล่าวเมื่อดูหัวแฟกซ์แล้วน่าเชื่อว่าเป็นการทำขึ้นภายหลัง ส่วนเอกสารแจ้งคิวโฆษณาล่วงหน้าของบริษัทแอ็กแซค ที่อสมท.นำมาอ้างก็พบว่า เกิดขึ้นหลังจากมีข้อพิพาทกับบริษัทไร่ส้ม แล้วอสมท.ไปออกระเบียบการออกอากาศขึ้นมาภายหลัง แต่ก่อนหน้านั้นการปฏิบัติเรื่องการโฆษณาล่วงหน้าที่อสมท.ดำเนินการกับบริษัทไร่ส้มและบริษัทซีเนริโอ้ ไม่มีเงื่อนไขการต้องแจ้งล่วงหน้า ดังนั้นการจะนำระเบียบที่เกิดขึ้นภายหลังมาเอาผิดกับบริษัทไร่ส้ม เห็นว่าตามหลักกฎหมายมหาชนหากระเบียบที่เกิดขึ้นภายหลังมีผลในทางร้ายกับคู่กรณีไม่น่าจะนำมาบังคับใช้ย้อนหลังได้
นอกจากนี้คำร้องของ บ.ไร่ส้มได้ขอเรียกส่วนแบ่งค่าโฆษณา ในส่วนที่ อสมท. ได้รับ ให้แบ่งบริษัทไร่ส้มตามเงื่อนไขเดียวกันที่ บ.ไร่ส้มต้องแบ่งให้ อสมท. ตามสัญญา
“อสมท. อ้างว่าโฆษณาส่วนเกินทั้งหมดเป็นของ อสมท. ซึ่งไม่เป็นธรรม ถือว่ารังแกผู้ร่วมสัญญาผลิตรายการที่ อสมท. จะอ้างว่าเป็นเจ้าของสถานีและเจ้าของเวลา จะโฆษณาเท่าไหร่ก็ได้ ถ้าใช้เพื่อประโยชน์สาธารณะทางบริษัทยอมรับได้ แต่ไม่ใช่การใช้เพื่อขายสินค้า เพราะถ้ามีผู้กำหนดสิทธิ์เพียงฝ่ายเดียวแล้วจะมีสัญญาแบ่งปันผลประโยชน์กัน 50/50 เพื่ออะไรรายการทางโทรทัศน์ไม่เหมือนสินค้าที่ขายวันนี้ไม่หมดเอามาขายใหม่วันพรุ่งนี้ได้ เพราะถ้ารายการวันนี้ไม่มีโฆษณาเข้ามูลค่าก็จะกลายเป็นศูนย์ทันที”
ทั้งนี้นายสรยุทธ์ ได้ขอให้ศาลพักการพิจารณาไปจนกว่าจะมีคำพิพากษาในคดีอาญา ที่ ปปช. ฟ้องกรณี บ.ไร่ส้มทุจริตการจ่ายเงินค่าโฆษณาส่วนเกิน และขอให้ศาลสืบพยานเพิ่มเติมโดยขอให้เรียก น.ส.บุญฑนิก บุลย์สิน ผู้กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สำนักการตลาด ของอสมท. มาให้ถ้อยคำเพิ่มเติม เนื่องจากเป็นผู้ที่รู้วิธีการปฏิบัติเกี่ยวกับการแจ้งใบคิวโฆษณาส่วนเกินล่วงหน้าเป็นอย่างดี และเชื่อว่าการที่ศาลแพ่ง สั่งให้น.ส.บุญฑนิกชดใช้ค่าเสียหายให้อสมท.จำนวน 2 ล้านบาท ก็เพราะน.ส.บุญฑนิกไม่ได้นำเสนอให้ศาลเห็นถึงความผิดปกติของใบแจ้งคิวโฆษณาล่วงหน้า แต่ศาลระบุว่า คดีทางปกครองไม่ได้ผูกพันกับคดีอาญาเหมือนกรณีคดีแพ่ง และวิธีการพิจารณาทางปกครองนั้นให้ศาลแสวงหาข้อเท็จจริงได้ด้วยตนเอง ซึ่งกรณีนี้ศาลเห็นว่าได้ข้อเท็จจริงเพียงพอแล้ว หาไม่แล้วจะทำให้การพิจารณาคดียืดเยื้อหาที่สิ้นสุดได้ยาก
จากนั้นศาลได้ให้นายอนุชา ฮุนสวัสดิกุล ตุลาการผู้แถลงคดี แถลงความเห็นส่วนตนเพื่อเป็นข้อเสนอต่อการพิจารณาขององค์คณะ แต่จะไม่มีผลผูกพันต่อการพิจารณาพิพากษาขององค์คณะ โดยได้นำข้อเท็จจริงเหตุผลที่ อสมท. นำมาหักล้างคำร้องหลายประเด็นมาพิจารณา อาทิ กรณีระเบียบที่ อสมท. อ้างว่าจะต้องแจ้งใบคิวโฆษณาส่วนเกินล่วงหน้านั้น พบว่าหลักฐานที่ อสมท. นำตัวอย่างสำเนาการขอซื้อเวลาโฆษณาล่วงหน้า ของบริษัทอื่นที่ทำสัญญากับ อสมท. มาแสดงต่อศาล ก็มีระยะเวลาของการแจ้งห่างจากระยะเวลาของการทำสัญญาถึง 15 วัน โดยไม่มีการลงนามของคู่สัญญา จึงเชื่อว่าไม่น่าเป็นไปได้ เนื่องจากเป็นการเบียดบังเวลาและโอกาสของการหาโฆษณา ประกอบกับคำให้การแย้งของ นางพิชชาภา เอี่ยมสะอาด เจ้าหน้าที่ลงคิวของ อสมท. ระบุถึงกรณีของ บ.แอคแซค และ บ.ซีเนริโอ้ ก็ไม่ได้มีการแจ้งซื้อเวลาล่วงหน้า
ทั้งนี้ตุลาการผู้แถลงคดียังยกสำนวนสอบชุด พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ ซึ่งตั้งโดย นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ อดีต ผอ. อสมท. ที่ระบุเป็นความบกพร่องของเจ้าหน้าที่ อสมท. รวมทั้ง ผู้ตรวจสอบภายใน เป็นเหตุให้เกิดความบกพร่องในการลงคิวโฆษณาเกินมาอ้าง โดยระบุยังไม่มีหลักฐานชัดโยงถึงการจ้างวานให้ทำทุจริต เนื่องจากเป็นการทุจริตที่สามารถตรวจสอบได้โดยง่าย
“เห็นว่าการโฆษณาส่วนเกินนั้นมีเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องตรวจสอบจำนวนมาก ทั้งเอกสารการลงคิวโฆษณาก็มีที่เจ้าหน้าที่หลายฝ่าย และตรวจสอบได้ไม่ยาก จึงเป็นไปได้ยากหรือแทบเป็นไปไม่ได้ ที่ บ.ไร่ส้มจะจ้าง นางพิชชาภาเพียงลำพังแล้วสามารถทุจริตค่าโฆษณาส่วนเกินไป คำอ้างของ อสมท. จึงฟังให้ขึ้น”
ตุลาการผู้แถลงคดีกล่าวสรุปว่า ไม่อาจสรุปได้ว่าการที่ต้องแจ้งใบคิวโฆษณาส่วนเกินล่วงหน้าเป็นวิธีการปฏิบัติโดยปรกติ และการที่ อสมท. ไม่เรียกค่าโฆษณาส่วนเกินจาก บ.ไร่ส้มเป็นระยะเวลานานหนึ่งปีเศษ ก็เป็นความบกพร่องของเจ้าหน้าที่ อสมท. เอง รวมทั้งมีบริษัทกลางทำหน้าที่ตรวจสอบการออกอากาศจริงของโฆษณาทุกครั้งก็ยืนยันจำนวนโฆษณาตรงกับใบคิวของ บ.ไร่ส้ม ดังนั้นเมื่อ บ.ไร่ส้มปฏิบัติถูกต้องตามสัญญา จึงสมควรได้รับส่วนลดการตลาด 30 % ซึ่ง
ทาง อสมท. สมควรจ่ายคืนเงินค่าการตลาด 30 % ที่เรียกเก็บไปแล้ว.ให้กับบริษัทไร่ส้ม รวมกับภาษีมูลค่าเพิ่มและดอกเบี้ย รวมเป็นเงิน 49.15 ล้านบาทเศษ
นอกจากนี้ตุลาการผู้แถลงคดียังให้ความเห็นกรณี บ.ไร่ส้มขอเรียกส่วนแบ่งค่าโฆษณาส่วนเกินในส่วนของ อสมท. คืนบ้างว่า สัญญาทามแชร์ริ่งระหว่าง อสมท. กับ บ.ไร่ส้มกำหนดส่วนแบ่ง 50/50 เป็นหลักประกันผลประโยชน์ทั้งสองฝ่าย หาก อสมท. มีรายได้โฆษณาที่ล้ำเข้าไปในสิทธิเวลาโฆษณาครั้งละ 2.5 นาทีของ บ.ไร่ส้ม ก็ถือว่า บ.ไร่ส้มได้รับความเสียหาย ก็ควรชดเชยให้ตามสัญญา ซึ่งต้องไปคำนวณตามข้อเท็จจริงอีกครั้ง แต่หากเป็นการโฆษณาเกินโดยที่ บ.ไร่ส้มเองใช้สิทธิ์เวลาโฆษณาเต็มที่แล้ว ก็เป็นเรื่องของการล้ำเวลาของรายการ หรือรายการอื่นต่อจากนั้น ซึ่งเป็นกรณีที่ต้องไปว่ากันอีกที
ภายหลังรับฟังการพิจารณา นายสรยุทธ์ ให้สัมภาษณ์ว่า ตนเคารพศาล ที่ศาลมีความเห็นวันนี้ยังไม่ใช่คำพิพากษา จึงต้องรอฟังคำพิพากษาของศาลอีกครั้ง ซึ่งเราก็ต่อสู้ไปตามกระบวนการยุติธรรมที่ได้ยื่นฟ้องเรียกเงินคืนจาก บ.อสมท. อย่างไรก็ดีตนยังไม่ขอพูดข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะเกรงว่าจะเป็นการละเมิดอำนาจศาลซึ่งตนเป็นผู้ได้เสียในคดีนี้
เมื่อถามว่า แนวทางความเห็นตุลาการผู้แถลงคดีวันนี้ ให้ บ.ไร่ส้ม ชนะคดี นายสรยุทธ์ กล่าวว่า วันนี้ยังไม่ใช่คำพิพากษาของศาล ขอให้รอฟังคำพิพากษาอีกครั้ง
เมื่อถามถึงความรู้สึกต่อ กรณีที่หลายฝ่ายกล่าวถึงการทำหน้าที่สื่อของนายสรยุทธ์และบริษัทไร่ส้ม นายสรยุท์ กล่าวว่า ตนรู้สึกว่าเดี๋ยวนี้มีคำพิพากษากันง่ายในสังคม ส่วนตัวเคยยืนยันตั้งแต่ต้นแล้วว่า ตนสู้ตามกระบวนการยุติธรรมและระบบกฎหมาย ไม่มีอะไรนอกระบบ ซึ่งตนก็เดินหน้าตามนั้นมาตั้งแต่วันที่กล่าวหาจนถึงวันนี้
“สิ่งที่เกิดขึ้นก็แล้วแต่ใครจะว่า แต่เรื่องที่มีการบอกว่า มีการถอนโฆษณา ผมก็ยืนยันว่าไม่ใช่อย่างนั้นไม่มีการถอนโฆษณา ทุกอย่างยังเหมือนเดิม ที่ผมอ่านข่าวผมก็เห็นว่ามีบุคคลที่ปรากฏเป็นข่าวบอกว่าจะยุติอะไรเนี่ย คือ1.ในวงการโฆษราเขารู้กันว่าไม่มีสัญญาผูกพันจะทำกันถึงวันไหน สำหรับผมจึงเห็นว่าเป็นข่าวเต้าข่าวมั่ว ซึ่งความจริงไม่ตรงกันระหว่างข่าวที่ออกมา กับบริษัท เพราะบริษัทที่ติดต่อมาเขาก็ว่าไม่จริงเรื่องถอนโฆษณา จึงขอให้รอดูดีกว่า ”
ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อนายสรยุทธ์ ออกจากห้องพิจารณาคดีแล้วพบว่ามีสื่อรอสัมภาษณ์ นายสรยุทธ์ ก็พูดขึ้นว่า "จะสัมฯอะไรผมอีก ผมไม่ใช่นักข่าวแล้ว พวกคุณยัดเยียดให้ผมออกจากความเป็นสื่อกันเองนะ"
ด้านนายเอนก เพิ่มวงศ์เสนีย์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ที่ผ่านมา อสมท ได้นำส่งผลการชี้มูลความผิดของ ป.ป.ช. เกี่ยวกับบริษัทไร่ส้มที่มีต่อ อสมท ไปให้กับทางช่อง 3 แล้ว ในฐานะที่กำกับดูแลช่อง3 และบริษัท ไร่ส้มจำกัดก็มีการดำเนินงานกับช่อง 3 ในขณะนี้
โดยที่ อสมท. ไม่มีอำนาจที่จะไปสั่งการอะไรกับช่อง3ให้ดำเนินการอะไรกับทางบริษัทไร่ส้มได้ อีกทั้งเรื่องนี้ก็ยังอยู่ในกระบวนการพิจารณาของศาลด้วย ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ผ่านมาเราไม่ควรไปซ้ำเติม และควรดำเนินการตามครรลองการไปซ้ำเติมก็ดูจะมากเกินไป อย่างไรก็ตามในเรื่องของการประพฤติมิชอบรวมทั้งปัญหาเรื่องการทุจริตที่เกิดขึ้น อสมท ก็ได้มีการตรวจสอบ และต้องจัดระบบการทำงานด้วยความโปร่งใส เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีกในอนาคต