ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ทีแรกนึกว่าพี่น้อง 2 สาวตระกูลชินวัตร “เอม-พินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ ” และ “อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร”จะรักสวยรักงามควักเศษเงินขงป๊ะป๋านักโทษชายหนีคดี “ทักษิณ ชินวัตร” มาทำธุรกิจเพื่อสนองความปรารถนาของตัวเองตามประสามหาเศรษฐีเพียงแค่เปิดร้านทำเล็บระดับเฟิร์สคลาส “The Sisters Nails & More” อยู่ที่ชั้น 2 ของสยามพารากอนเท่านั้น แต่ทำไปทำมาปรากฏว่าพี่น้อง 2 สาวคิดการณ์ใหญ่บุกตะลุยเข้าไปในแวดวง “ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์” ด้วย
แถมยังไม่ใช่ธุรกิจที่เป็นรากฐานของตระกูลชินวัตรอย่าง “บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน)” อีกต่างหาก หากแต่รุกขยายเปิดบริษัทขึ้นมาชนิดใหม่เอี่ยมถอดด้ามกันเลยทีเดียว
ทั้งนี้ บริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่ “เอม” และ “อุ๊งอิ๋ง” เปิดขึ้นมาใหม่มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า “เรนด์ ดีเวลอปเม้นท์”
แน่นอน ในยาม “ขาขึ้น” ของครอบครัวที่สามารถกลับมาเถลิงอำนาจการปกครองประเทศได้สำเร็จ นี่คือการฉวยจังหวะทางธุรกิจที่ชาญฉลาดยิ่งสมกับเป็นลูกสาวของมหาเศรษฐีที่ขายหุ้นโดยไม่เสียภาษีให้กับประเทศชาติ
บริษัทนี้มีรองประธานเจ้าหน้าที่บริหารชื่อ “อุ๊งอิ๋ง”
เป็นอุ๊งอิ๋งคนเดียวกับอุ๊งอิ๋งที่จบปริญญาตรีรัฐศาสตร์ จุฬาฯ จบปริญญาโทด้านอินเตอร์เนชั่นแนล โฮเทลแมเนจเมนต์ จาก University of Surrey ประเทศอังกฤษ และกรรมการบริษัทบริษัทเอสซี แอสเสทฯ
“เชื่อไหมคะ ตอนแรกแม้แต่คำว่าตารางเมตร ก็ยังไม่รู้เลยว่าหมายถึงอะไร คำนวณยังไง ธุรกิจอสังหาฯมีคำศัพท์เทคนิคเยอะมาก คำว่า อีไอเอ ก็งงแล้ว หลังจากเรียนจบมีโอกาสได้เรียนรู้งานจากอาปู(ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) สมัยที่คุณอายังไม่ได้เป็นนายกฯ ก็ได้คุณอาช่วยสอนอยู่ตลอด โดยเฉพาะเรื่องธุรกิจอสังหาฯ”อุ๋งอิ๋งให้สัมภาษณ์ประชาชาติธุรกิจ
โอ้แม่เจ้า อาปูยิ่งลักษณ์เจ้าของลีลาเด็ด WOMAN’C TOUCH สะท้าน 3 โลกดอกหรือนี่ที่เป็นผู้ประสิทธิ์ประศาสตร์วิชาให้กับตะละแม่สองหลานสาว
อย่างไรก็ตาม คำถามที่ตามมามีอยู่ว่า การทำธุรกิจของเรนด์ ดีเวลลอปเม้นท์จะแตกต่างจากเอสซี แอสเสทฯ ที่ตรงไหน เพราะเป็นธุรกิจที่อยู่ในไลน์เดียวกัน
จากการตรวจสอบข้อมูลที่ ฯพณฯ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารให้สัมภาษณ์พบว่า ทั้ง 2 บริษัทจะแบ่งเซกเมน์กันอย่างชัดเจน กล่าวคือเอสซี แอสเสทฯ จะพุ่งเป้าไปที่การพัฒนาโครงการประเภทที่อยู่อาศัย ได้แก่ บ้านและคอนโดมิเนียม โดยเมื่อขายแล้วก็จะโอนกรรมสิทธิ์หรือที่เรียกว่าขายขาด
ส่วนเรนด์ ดีเวลลอปเม้นท์จะลงทุนอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นออฟฟิศบิลดิ้ง สนามกอล์ฟ อีเวนต์ฮอลล์ บูติคโฮเต็ล ไปจนถึงโรงแรมลักเซอรี่ คอมมิวนิตี้มอลล์...
เรียกว่าแต่ละธุรกิจที่สองสาวสยายปีกเข้าไปล้วนแล้วแต่จับกลุ่มลูกค้าผู้มีอันจะกินทั้งสิ้น และมิได้พุ่งเป้าไปที่กลุ่มลูกค้าระดับรากหญ้าหรือชนชั้นไพร่เสื้อแดงแต่ประการใด เพราะคงไม่มีศักยภาพเพียงพอที่จะเข้าใกล้เป้าหมายของเอมและอุ๊งอิ๋งได้ ยกเว้นไพร่ที่กลายร่างเป็นอำมาตย์เท่านั้นถึงจะมีสิทธิ
เมื่อครั้งที่เปิด “The Sisters Nails & More” อุ๊งอิ๊งให้เหตุผลว่า เป็นเพราะมักทำเล็บร่วมกันอยู่เป็นประจำมาตั้งแต่สมัยมัธยม จนถึงขั้นตระเวนหาซื้อสีทาเล็บแปลกใหม่ และลายเพนต์ที่ไม่ซ้ำแบบใครจากต่างแดนติดไม้ติดมือกลับมาด้วยเสมอ ดังนั้น จึงตัดสินใจเปิดร้านทำเล็บแห่งนี้ขึ้นมา เพื่อแชร์ความแปลกใหม่และความสนุกในการทำเล็บให้กับคนที่มีไลฟ์สไตล์ใกล้เคียงกัน
“เรา 2 คนคลุกคลีอยู่ในวงการนี้มานาน รู้จักผลิตภัณฑ์ทำเล็บทุกอย่าง ถือว่านี่คือไลน์ความงามที่เราถนัดที่สุด จะให้ไปเปิดสถาบันลดความอ้วนก็ไม่ใช่”อิ๊งเล่า
ขณะที่สำหรับเรนด์นั้น อุ๊งอิ๋งให้เหตุผลว่า “ใจชอบบริการ เวลามีโอกาสไปพักตามโรงแรม จะชอบไปเคาะ ๆ ผนัง เพดาน แล้วก็วิเคราะห์ว่าใช้วัสดุอะไร หนาบางเท่าไหร่ รู้สึกและสัมผัสได้ว่าอสังหาริมทรัพย์เป็นอะไรที่มีเสน่ห์ เวลาไปใช้บริการแต่ละแห่งก็จะคอยสังเกตว่า เจ้าหน้าที่ให้บริการยังไง จุดเด่นจุดขายแต่ละสถานที่เป็นอย่างไร รู้สึกสนุก และเริ่มจะอิน และอยากทำธุรกิจด้านนี้
“ห้างที่ไปเดินบ่อย ๆ คือเทอร์มินัล 21 ชอบไอเดีย ชอบการตกแต่ง ถ้ามีโอกาสได้ทำก็อยากจะทำออกมาคล้าย ๆ แบบนี้ คือเป็นคนลงทุนสร้างตัวตึกพร้อมตกแต่งร้านค้า ผู้เช่าเพียงแค่นำสินค้ามาวางในร้าน แต่ละช็อปร้านค้าหน้าตาไม่ซ้ำกัน โดนใจค่ะ...”
“อิ๊งอาจจะโชคดีกว่าคนอื่นที่คุณพ่อคุณแม่มีทุนประเดิมที่ดีมาก ๆ ให้อยู่แล้ว แต่ในฐานะคนรุ่นใหม่ที่มีโอกาสมากกว่าคนอื่น ก็มีเป้าหมายของตนเองว่า ถ้าได้ทำแล้วก็จะทำให้ดีที่สุด ไม่ใช่แค่ทำแล้วเบื่อก็เลิก แต่จะต้องทำให้ถึงที่สุด เพราะถึงตอนนั้นอยากจะภูมิใจว่า นี่คือผลงานของเราจริง ๆ”
ด้านเอมเสริมว่า ในช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ มีเวลาก็ต้องพากันไปดูไซต์งาน และที่ดิน มีโปรเจ็กต์ที่ขึ้นใหม่หลายที่ทั้งโรงแรมบนเขาใหญ่ และกลางเมืองที่ถนนเพลินจิต
“ตอนนี้มีโปรเจ็กต์น่ารักๆ ที่เขาใหญ่ เลยปาลิโอไปนิดหนึ่ง กำลังก่อสร้างโรงแรมขนาด 60 ห้อง รูปแบบเป็นหลังๆ คาดว่าจะใช้เวลาสร้างประมาณ 1 ปี จะพยายามทำให้เสร็จ” เอมและอิ๊งช่วยกันเสริม
อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบข้อมูลพบว่า สำหรับโครงการก่อสร้างโรงแรมที่เขาใหญ่นั้น หลายคนอาจจะไม่คุ้นเคยว่าอยู่ ณ แห่งหนตำบลไหน แถมเมื่อเอ่ยชื่อ “ปาลิโอ” มา หลายคนก็อาจทำหน้างงๆ เข้าไปอีก เพราะไม่คุ้นชื่อ แต่ถ้าหากเอ่ยชื่อ “โรงแรมจุลดิศ เขาใหญ่” ทุกคนย่อมรู้จักกันดี เนื่องจากเป็นโรงแรมเก่าแก่ที่เก่าแก่บนเขาใหญ่ และถ้าให้ชัดเข้าไปอีกก็ต้องบอกว่า ปาลิโอที่สองสาวเอ่ยถึงก็คือชื่อใหม่ของโรงแรมจุลดิศ เขาใหญ่ เพียงแต่เมื่อ “ตระกูลมาลีนนท์” เข้ามาเทกโอเวอร์ จึงได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็นปาลิโอ
แน่นอน โครงการดังกล่าวย่อมต้องใช้เม็ดเงินลงทุนไม่น้อย เฉกเช่นเดียวกับโรงแรมที่สองสาวจะสร้างขึ้นที่ถนนเพลินจิต เพราะเป็นที่รับรู้กันว่า ที่ดินในย่านนั้นมีราคาค่างวดสูงลิบลิ่วเพียงใด
แต่ก็อย่างว่า ในทัศนะของเอมและอิ๊งแล้ว น่าจะเป็นเรื่องธรรมดา ขึ้นชื่อว่าลูกมหาเศรษฐีนักโทษชายหนีคดีแล้ว เงินทองแค่นี้มัน “จิ๊บๆ” มากสำหรับป๊ะป๋าและหม่าม๊าที่จะควักกระเป๋าให้ลูก
นอกจากนี้ ถ้าสังเกตให้ดีก็จะเห็นว่า เวลานี้มีโรงแรมของบิ๊กเนมแห่งระบอบทักษิณปรากฏตัวอยู่บนเขาใหญ่อย่างน้อยถึง 3 แห่งคือ โบนันซ่าของไพวงศ์ เตชะณรงค์ พ่อของสงกรานต์ เตชะณรงค์ สามีของแอฟ-ทักษอร เตชะณรงค์ ปาลิโอของตระกูลมาลีนนท์และล่าสุดคือโรงแรมของเอมและอุ๊งอิ๊ง
ที่น่าสนใจก็คือ เมื่อวิเคราะห์ข้อมูลของทั้งเอสซี แอสเสทฯ และเรนด์ฯ ก็จะพบว่า ณ บัดนี้ได้มีการผ่องถ่ายอำนาจการบริหารมาสู่ทายาทรุ่นใหม่เรียบร้อยแล้ว โดยแอสซี แอสเสทฯ มี "ณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์" สามี "เอม-พินทองทา (ชินวัตร) คุณากรวงศ์" เป็นผู้บริหารหลัก ขณะที่เรนด์ก็มีสาวพี่น้องมีอำนาจเต็มในการบริหารจัดการ
น่าสนใจยิ่งนักว่านี่น่าจะเป็นการผ่องถ่ายอำนาจของตระกูลชินวัตรจากรุ่นพ่อมาสู่รุ่นลูก
จะมีก็เพียง “เสี่ยโอ๊ค พานทองแท้ ชินวัตร” เท่านั้นที่ดูเหมือนจะไม่สนใจธุรกิจของตระกูล เพราะทำท่าว่าจะหันไปเอาดีทางทางการเมืองด้วยการเปิดฉากโจมตีศัตรูของนักโทษชายหนีคดีผ่านเฟซบุ๊กกันอย่างสนุกปากแทบทุกวันมากกว่า
ขอบคุณ....ข้อมูลจากประชาชาติธุรกิจ