ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ -จบสิ้นไปเรียบร้อย สำหรับการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ซึ่งมิได้เหนือความคาดหมายแต่อย่างใดว่าถึงที่สุดแล้ว น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม และ พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก รมช.มหาดไทย ก็ได้รับการลงมติผ่านฉลุย มอบความไว้วางใจให้บริหารราชการแผ่นดินต่อไป
ความเป็นจริงที่ประชาชนคนไทยต้องยอมรับและรับรู้เป็นอย่างดีก็คือ ต่อให้มีความพยายามงัดสำเนาหลักฐานชี้ให้เห็นถึงการทุจริตคอร์รัปชันเชื่อมโยงรัฐมนตรีไปถึงนายกรัฐมนตรีอย่างคาหนังคาเขาอย่างไรก็ตามที คงไม่ได้ส่งผลให้การโหวตญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรี ถึงขั้นต้องพลิกล็อกฟ้าถล่มดินทลาย
ขณะเดียวกัน ใช่ว่าจำนวนเสียงไว้วางใจถล่มทลายจะเป็นเครื่องหมายการันตีรัฐบาลยิ่งลักษณ์ขาวสะอาด สามารถบริหารบ้านเมืองได้อย่างอยู่รอดปลอดภัย และความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้อีกประหนึ่งก็คือ เพราะที่นี้คือรัฐสภาไทย ที่ยังคงนิยมในระบบพวกมากลากไปยังใช้ได้ดีเสมอมาทุกยุคทุกสมัย
แต่ประเด็นที่สำคัญก็คือ หากพิจารณาเนื้อหาการอภิปรายตลอดสามวันที่ผ่านมา ข้อมูลหลักฐานผ่ายค้านของพรรคประชาธิปัตย์ ก็ได้เปิดแผลความทุจริต ความเหลวแหลกในการบริการราชการแผ่นดิน ให้ติดตัวน.ส.ยิ่งลักษณ์ นายกรัฐมนตรีและบรรดารัฐมนตรีขี้ข้า น.ช.ทักษิณ ชินวัตร ไปไม่น้อยเลยทีเดียว
**ถล่มกลาโหมทุจริตจัดซื้อเรือ เงินทอน 1พันล้านหายไปไหน
สำหรับไฮไลท์การเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลวันแรก ศึกหนักไปตกอยู่ที่ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม ซึ่งถูกฝ่ายค้านโจมตีกรณีปล่อยปละละเลยให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชันอย่างมโหฬาร โดยเฉพาะภายในกองทัพเรือ เช่น การจัดซื้อเรือตรวจการณ์ลาดตระเวน จำนวน 3 ลำ วงเงิน 553 ล้านบาท และโครงการปรับปรุงพัฒนาระบบป้องกันภัยคุกคามเรือฟริเกต เรือหลวง (รล.) นเรศวรในระยะที่ 2 จำนวน 2,700 ล้านบาท
ทั้งนี้ นายศิริโชค อภิปรายว่า หลังจากที่มีการเจรจาต่อรองกับบริษัทต่างชาติ และสามารถเปลี่ยนแปลงสเกคได้ เหมือนการลดระดับรถเบนซ์ระดับเฟิร์สคลาส เป็น ฮอนด้า ซิตี้ รุ่นโบราณ ปรากฏว่าบริษัทเอกชนได้แถมการเคลือบสี แล้วลดให้อีก 1,000 บาท เชื่อหรือไม่ว่าโครงการราคา 2,700 ล้านบาท ต่อรองลดให้ 1,000 บาท
"แต่เรื่องจริงคือฝ่ายการเมืองสยายปีกเขมือบ 35% คนที่บงการไม่ได้อยู่ในสภา แต่เป็นเจ๊คนหนึ่งที่สนิทกับท่าน โดยมีการเปลี่ยนเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุดในโลกไปเป็นเทคโนโลยีสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ผิดเงื่อนไขทีโออาร์ชัดเจน มติ ครม.ยอมรับส่วนลด 1,000 บาท แต่มีเงินทอนที่ไม่รู้ใครรับ 1,000 ล้านบาท เพราะถ้าไม่เสนอเปลี่ยนอุปกรณ์ เงินทอนก็ไม่มา"
ด้าน พล.อ.อ.สุกำพล ชี้แจงโดยยืนยันว่า เรื่องดังกล่าวเป็นไปตามทีโออาร์ แม้จะเป็นคนละบริษัท แต่มีหนังสือรับรองการทำงานซึ่งใช้แทนกันได้ และเรื่องนี้ไม่ใช่เงื่อนไขที่จะตัดสิทธิผู้ยื่นประมูลอีกทั้ง บริษัท ซีเควส ที่เป็นผู้ยื่นร้องเรียนก็ไม่ได้ยื่นข้อเสนอให้พิจารณาใหม่เรื่องนี้กองทัพเรือได้ชี้แจงสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ไปแล้ว 6 ครั้ง รวมถึงกรรมาธิการการทหาร วุฒิสภา ได้ตรวจสอบแล้ว และมีข้อสรุปว่าการดำเนินงานถูกต้องตามกฎหมาย
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ทำเอากองทัพเรือสะดุ้งเฮือกไปเหมือนกัน เพราะฉับพลันทันทีเหล่าบรรดาตัวบิ๊กในกองอัพเรือ อาทิ พล.ร.อ.จักรชัย ภู่เจริญยศ เสนาธิการทหารเรือ ก็ออกมาแถลงว่า พล.อ.อ.สุกำพล ไม่เกี่ยวทุกเรื่องโปร่งใส ไร้การทุจริต
ที่น่าสนใจไปกว่านั้นคือ หนึ่งในสามเรื่องดังกล่าวคือ โครงการปรับปรุงเรือฟริเกต ชุดเรือหลวงนเรศวรนั้นมีชื่อ ผบ.ทร.ปัจจุบัน พล.ร.อ.สุรศักดิ์ หรุ่นเริงรมย์ เป็นประธานกรรมการดำเนินการ อีกด้วย โดยประเด็นดังกล่าว เรื่องนอนรออยู่ในสำนักงานป.ป.ช.แล้ว เช่นกัน
*ขึงพืด “ชัชจ์” ฮั้วงบน้ำท่วม 1,200 ล้าน เอื้อเจ๊ด.-คนหัวขาว
ส่วนอีกคนที่เป็นเป้าถล่ม ก็คือ พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก รมช.มหาดไทย ที่ต้องถูกขึงพืดถูกแฉกรรมเก่าสมัยที่ยังเป็น รมช.คมนาคม ในฐานะกำกับดูแลกรมเจ้าท่า โดยประเด็นดังกล่าว นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส. พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ สรุปว่างบฟื้นฟูน้ำท่วม 120,000 ล้านบาท มีการเบิกไปแต่ไม่มีการดำเนินการจริง
ทั้งนี้ นายนิพิษฐ์ เน้นย้ำว่า เกือบทุกพื้นที่ในภาคอีสาน ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ไปสุ่มตรวจ 56 สัญญา พบว่ามีการทุจริตทุกสัญญา แต่ละโครงการมีผลงานแค่ 30% ถูกคนหัวขาวหักไป 30% องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 15% จนเป็นเหตุให้ พ.ต.อ.ดุษฎี อารยวุฒิ ถูกอดีตเลขาธิการ ป.ป.ท. โยกย้าย รวม ถึงงบฟื้นฟูแหล่งน้ำของกรมทรัพยา- กรน้ำที่ จ.ขอนแก่น จำนวน 21 สัญญา วงเงิน 50.9 ล้านบาท พบทุจริตถึง 20 สัญญา มีการเบิกงบการขุดดินไปทิ้งทั้งที่ไม่มีการขุดดินไปทิ้งเลย
นายพิพิษฐ์ สรุปว่า งบฟื้นฟูน้ำท่วม 120,000 ล้านบาท จะมีการทุจริตขุดลอกแหล่งน้ำไม่ต่ำกว่า 30,000-40,000 ล้านบาท เงินจำนวนนี้ไปอยู่ที่ 2 คนคือ 1.เจ๊ ด.เด็ก 2.คนหัวขาว โดยยืนยันว่า 99% ของงบฟื้นฟูน้ำท่วม 120,000 ล้านบาท มีการทุจริตและกินหัวคิว
อย่างไรก็ตาม สำหรับ พล.ต.ท.ชัจจ์ ก็ต้องบอกว่าเสียรังวัด เพราะเล่นตอบแบบถามม้าตอบช้าง ไม่ได้แก้ตัวให้เคลียร์เสียเท่าไหร่ เนื่องจากเล่นไปหยิบยกกรณีภรรยาที่ยอมจดทะเบียนกับเขาตอนช่วงที่มาเป็นรัฐมนตรี โดยอ้างว่าภรรยาคงไม่ยอมจดทะเบียนด้วยหากทุจริต ก็เล่นตอบกลับอย่างนี้ละมัง คะแนนไม่ไว้วางใจถึงได้พุ่งกระฉูดนำมาเป็นเบอร์ 1 ในการอภิปายไม่ไว้วางใจหนนี้
**“ชูวิทย์” ปะทะ “เฉลิม” ท้าสาบานพระแก้วมรกตกลางสภาฯ
อย่างไรก็ตาม สีสันของสภาผู้แทนราษฎรคงต้องยกให้ มวยถูกคู่ระหว่าง นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย อุ้มพระแก้วมรกตจำลองท้าให้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี สาบานสร้างความฮือฮาให้แก่ผู้ชมการอภิปรายผ่านสถานีโทรทัศน์
โดยประเด็นหลักๆ ของนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย คือเรื่องของการที่ เป็ดเหลิม ปล่อยให้มี พื้นที่จังหวัดต่าง ๆ มีบ่อนการพนันเกลื่อนเมือง โดยก่อนหน้านี้เดินทางไปตรวจสอบแล้วทั้ง 77 จังหวัดทั่วประเทศ พบว่ามีบ่อนการพนันทุกจังหวัด และยังถล่มโครงการก่อสร้างสถานีตำรวจ (ทดแทน) 396 หลังงบ 5,848 ล้านบาท ที่เริ่มโครงการตั้งแต่วันที่ 26 มิ.ย. 2554 สิ้นสุดสัญญา 17 มิ.ย. 2555 แต่มีการขยายเวลาไปถึง 13 ม.ค. 2556 รวมใช้เวลา 660 วัน แต่ขณะนี้ เหลือเวลาเพียง 43 วัน จะสิ้นสุดโครงการสถานีตำรวจทั่วประเทศยังไม่แล้วเสร็จ กลับมีทั้งการทิ้งงานปล่อยพื้นที่รกร้าง และหลายแห่งยังไม่เริ่มก่อสร้าง
การถามตอบระหว่างนายชูวิทย์ กับร.ต.อ.เฉลิม เป็นไปอย่างดุเดือด มีการพาดพิงถึงทั้งธุรกิจอาบอบนวด และบุตรชายของร.ต.อ.เฉลิม กระทั่งมีการท้าสาบานและท้าให้มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจด้วย โดยวาทะเด็ดก็คือ ร.ต.อ.เฉลิม ท้าสาบานว่า ถ้านักการเมืองคนไหนเกี่ยวข้องกับการเปิดบ่อน เล่นการพนัน ขอให้หายนะ7 ชั่วโคตร ตกนรกหมกไหม้ ไม่ได้ผุดได้เกิด ซึ่งถือเป็นสีสีนการเมืองในสภาแบบไทยที่คุ้นตา
ตบท้ายด้วย ประเด็นคาใจ กรณีสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ส.ส.บัญชีรายชื่อ ปชป. อภิปรายรัฐบาลละเลยไม่ถอดยศ นช.ทักษิณ ชินวัตร เมื่อเทียบกับกรณีอดีตนายตำรวจรายอื่นที่มีความผิดโดนถอดยศถ้วนหน้า เกมนี้ เป็ดเหลิม รีบชิ่ง ไม่อธิบายหลักข้อกฎหมายมากนักแต่ท่องคาถาเดิม นช.ทักษิณโดนทหารยึดอำนาจ จึงไม่มีความผิด ถอดยศไม่ได้ ... กี่มาตรฐานก็ใช้วิจารณญาณกันเอาเอง
**ลากไส้บูรณาโกงจำนำข้าว แผลใหญ่ รัฐบาลขี้ข้าทักษิณ
สำหรับไฮไลท์ของการอภิปรายไม่ไว้วางในวันที่สอง ต้องเรียกว่างานหินโดยแท้สำหรับรัฐบาล เมื่อฝ่ายค้านนวดรัฐบาลด้วยข้อมูลงุบงิบทำเอ็มโอยูขายข้าว 3 แสนตัน ระหว่าง สยามอินดิก้า กับบูล็อก อินโดนีเซีย ขยายภาพสยามอินดิก้าเชื่อมโยงกับบริษัท เพรซิเด้นอะกริเทรดดิ้ง สร้างความเสียหายในอดีต ตอกอีกดอกกรณีขายข้าวจีทูจีกับรัฐบาลจีนเชื่อมโยง “เสี่ยเปี๋ยง” เจ้าของบริษัท เพรสซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง เคยถูก ป.ป.ช. ชี้มูลทุจริตจำนำข้าวสมัยปี 2546-2547 แต่เหนืออื่นใดการจัดลำดับขั้นตอนแจกแจงสายสัมพันธ์ทั้งหมด ฝ่ายค้านต้องการชี้ให้เห็นกระบวนการเช่นนี้หรือไม่ ที่ทำให้รัฐบาลพยายามปกปิดไม่เปิดเผยสัญญาการซื้อข้าวจีทูจีกับประเทศจีน และขยายภาพให้เห็นว่าบริษัทคู่ค้าในประเทศจีนตามที่รัฐบาลยืนยันนั้น ไม่มีจริง แต่เป็นบริษัทผีที่ตั้งขึ้นมารับข้าว หาทางลงให้โครงการและมีการเอื้อผลประโยชน์กัน แถมด้วยภาพถ่าย "เสี่ยเปี๋ยง"กับ นช.ทักษิณ โดยอ้างว่าเป็นภาพที่ถ่ายร่วมกันที่ฮ่องกง เมื่อวันที่4-5 ต.ค.2555 เท่ากับตอกย้ำความสัมพันธ์ของสยามอินดิก้าที่แนบแน่นกับรัฐบาล
ด้าน นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รมว.พาณิชย์ อภิปรายตอบกลับในแบบฉบับเดิม ปฏิเสธว่าเงินไปตกกับโรงสี เป็นการกล่าวหาที่ไม่จริง เพราะเงินทั้งหมดตกไปถึงมือเกษตรกรโดยตรง จีทูจีไม่ได้มีเบื้องหน้าเบื้องหลัง เป็นการใช้จินตนาการเกินจริง แถมตบท้ายด้วยการออกโรงเป็นพระเอกป้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายข้าว(กนข.) ที่ต้องรับผิดชอบเรื่องนี้ไปเต็มๆ เรียกว่าตอบแทนเก้าอี้รัฐมนตรีที่นายใหญ่มอบมาให้ตามบัญชา เจ๊ด.แบบไม่เปลืองข้าวสุกเลยทีเดียว แต่ภาพรวมของการแก้ตัวในประเด็นดังกล่าวก็ฟังไม่ค่อยจะขึ้นอีกต่างหาก
** “ชัชชาติ” โดน 2 เด้ง “ญาติ-เลขาฯ” เอี่ยวบริษัทรับงาน
นอกเหนือจากกรณีจำนำข้าวที่ต้องถือว่าเป็น “ผลงานชิ้นโบแดง” ของพรรคประชาธิปัตย์ที่กระซวกกล่องดวงใจของ “นายบุญทรง เตริยาภิรมย์” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เข้าเต็มๆ แล้ว ดูเหมือนว่า อีกหนึ่งรัฐมนตรีที่สาหัสไม่แพ้กันคือ “นายชัชชาติ สิทธิพันธ์” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
เพราะงานนี้ถูกพรรคประชาธิปัตย์แฉกลางสภาผู้แทนราษฎรถึง 2 เรื่องด้วยกัน
เรื่องแรก คือกรณีการประมูลในงบฟื้นฟูน้ำท่วมมูลค่า 1.2 แสนล้านบาทที่เกิดขึ้นในสำนักทรัพยากรน้ำ ภาค 3 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งดูแลรับผิดชอบจังหวัดในแถบภาคอีสาน
กรณีดังกล่าว นายนิพนธ์ บุญญามณี ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่า สำนักทรัพยากรน้ำ ภาค 3 ได้รับการจัดการโครงการ 171 โครงการ แต่พบว่า “ห้างหุ้นส่วน พิตรพิบูล จำกัด” สามารถคว้างานได้ถึง 43 โครงการในพื้นที่ 5 จังหวัดคือ จังหวัดมุกดาหาร 26 โครงการ จังหวัดเลย 8 โครงการ จังหวัดอุดรธานี 5 โครงการ จังหวัดสกลนครและจังหวัดนครพนม อย่างละ 2 โครงการ ทั้งๆ ที่มีทุนจดทะเบียนแค่ 1 ล้านบาทแต่รับงานมูลค่ารวมกันกว่า 100 ล้านบาท
แถมห้างหุ้นส่วนพิตรพิบูลนั้น ก็เพิ่งจดทะเบียนได้เดือนเดียวคือมกราคม พอเดือนกุมภาพันธ์ก็ได้งานทันที 43 โครงการ
แต่ที่สำคัญไปกว่านั้น เห็นจะเป็นการที่นายนิพนธ์ตรวจพบข้อมูลว่า 1 ในผู้ถือหุ้น 2 คนของห้างหุ้นส่วนพิตรพิบูลคือ “นางนิลรัตน์ สิทธิพันธ์” เป็นญาติกับ “นายชัชชาติ สิทธิพันธ์”
นี่คือประเด็นที่น่าสนใจยิ่ง เพราะนายชัชชาติเองยอมรับว่า นางนิลรัตน์เป็นญาติของตนเองจริง โดยเป็นภรรยาของลูกพี่ลูกน้อง แต่ก็ปฏิเสธว่า เป็นญาติที่ห่างกันมากและแทบจะไม่เคยได้เจอหรือรู้จักกันเลย หลังจากที่ก่อนหน้านี้ในระหว่างการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายชัชชาติได้ชี้แจงต่อต่อว่าไม่เคยรู้จักและไม่เคยได้ยินชื่อตึ้งแต่เกิดมา แถมยังระบุด้วยว่าจะเป็นญาติหรือเหล่าไม่แน่ใจเพราะนามสกุลเขียนไม่เหมือนกัน
เรื่องที่สองคือโครงการยกระดับถนนสาย นย 2011 จังหวัดนครนายก งบประมาณ 47 ล้านบาทเศษ
กรณีนี้ นายวิรัช ร่มเย็น ส.ส.ระนอง พรรคประชาธิปัตย์ ที่นำข้อมูลไปเปิดเผยในสภาว่า เดิมโครงการดังกล่าวอยู่ในงบของกระทรวงมหาดไทย แต่มีการส่งไปที่งบกรมทางหลวงชนบท มีการทำราคากลางกิโลเมตรละ 5 ล้านบาท แต่ทำจริงเฉลี่ยกิโลเมตรละ 2.7 ล้านบาท และยังมีการใช้วิธีพิเศษเพื่อคนพิเศษเรียกผู้รับเหมาที่พอใจมาคุยตกลงราคา โดยมีผู้ยื่นซองประกวดราคา 2 ราย ทว่า สุดท้ายแล้ว “ห้างหุ้นส่วนวิสิทธิชัย จำกัด” สามารถคว้างานไปครอง
แต่ที่ต้องขีดเส้นใต้เอาไว้ก็คือ ห้างหุ้นส่วนวิสิทธิชัยนั้นนั้น ครั้งหนึ่งเคยปรากฏชื่อ “เสี่ยแหมะ” นายสิทธิชัย กิตติธเนศวร ส.ส.นครนายก พรรคเพื่อไทย และเคยปรากฏชื่อ “นายเกรียงไกร กิตติธเนศวร” ลูกชายของเสี่ยแหมะที่วันนี้นั่งเก้าอี้ผู้ช่วยเลขานุการของนายชัชชาติเป็นผู้ถือหุ้น
แม้วันนี้ทั้งเสี่ยแหมะและลูกชายมิได้เป็นผู้ถือหุ้นห้างหุ้นส่วนวิสิทธิชัย จำกัดแล้ว แต่ก็ต้องยอมรับว่า ผู้ที่ปรากฏชื่อเป็นผู้ถือหุ้นบริษัทนี้ในปัจจุบันก็ล้วนแล้วแต่เป็นวงศ์ว่านวานเครือของเสี่ยแหมะทั้งสิ้น และเสี่ยแหมะเองก็ยอมรับในประเด็นนี้ เพียงแต่ว่า ในทางกฎหมายแล้ว คงไม่สามารถเอาผิดได้ ทว่า ก็สามารถสะท้อนข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี
**ซารางเฮโย จ่าประสิทธิ์-รังสิมา ปาหี่น้ำเน่าการเมืองไทย
นับเป็นข่าวดังที่สื่อมวลชนทุกสำนักนำเสนออย่างครึกโครมเลยทีเดียว ในประเด็นทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวด์ กรณีขณะที่ น.ส.รังสิมา รอดรัศมี ส.ส.สมุทรสงคราม พรรคประชาธิปัตย์ อภิปราย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เรื่องการใช้งบประมาณแก้ไขปัญหาน้ำท่วม 1.2 แสนล้านบาทไม่โปร่งใส ซึ่ง จ.ส.ต.ประสิทธิ์ลุกขึ้นประท้วงว่า “ในสภาต้องนำความจริงมาพูด นำความฝันมาอภิปรายถอดถอนไม่ได้ ถ้าผมฝันว่าได้นอนกับคุณรังสิมาบ้างจะว่าอย่างไร”
ฉับพลันการพูดของจ่าประสิทธิ์ ทำให้ ส.ส.ประชาธิปัตย์ได้ลุกขึ้นประท้วง โดยเฉพาะบรรดา ส.ส.หญิง ที่ให้ถอนคำพูด เพราะไม่สุภาพและหยาบคายต่อสตรีซึ่งถือเป็นเพศแม่ นอกจากนี้ยังให้ขอโทษ น.ส.รังสิมาด้วย นอกเหนือจากการถอนคำพูดอย่างเดียว ทั้งนี้ หลังที่ข่าวดังเผยแพร่ออกไป โซเซียลมีเดียรวมทั้งประชาชนจำนวนมากต่างวิจารณ์กันอย่างหนัก ทางตัวแทนจากหลายองค์กรก็เคลื่อนไหว เรียกร้องความรับผิดชอบ ต่อพฤติกรรมหยาบคาบ หมิ่นเกียรติ ไร้วัฒนธรรม ของ ส.ส. พรรคเพื่อไทยรายนี้กันยกใหญ่
ที่เด็ดไปกว่านั้นก็คือ ส.ส.รังสิมา รอดรัศมียังได้เปิดใจถึงเบื้องลึกพฤติกรรมไร้วัฒนธรรมของ จ่าประสิทธิ์ ว่า ส.ส.เพื่อไทยรายนี้เคยเข้ามาพูดคุยกับเธอทำนองว่า อยากมีเรื่องกับตนเพราะอยากออกสื่ออยากเป็นข่าวเพื่อจะได้เป็นที่รู้จัก
" เขาเคยมาคุยกับเราว่า คุณรังสิมา..ผมขอบคุณคุณมากนะ ผมมีเรื่องกับคุณ ผมได้ลงหนังสือพิมพ์หน้า 1 ผมได้ออกทีวี เพราะผมเป็น ส.ส.ใหม่ ฉะนั้น คุณอย่าโกรธผมนะ คุณเป็นดาวสภาคนรู้จักคุณทั่วประเทศ ฉะนั้น ผมจะได้มีคนรู้จักทั่วประเทศ เวลาคุณขึ้นพูดผมก็จะมีเรื่องกับคุณ เพื่อที่จะโปรโมตตัวเอง" ส.ส. รังสิมา เล่าถึงข้อเท็จจริงกรณีที่กำลังเป็นข่าวดัง
แต่แล้วใครจะไปคาดคิดว่า หลังจากฟาดฝีปากดุเดือดเลือดพล่านกันกลางสภาฯ รวมไปถึงเกิดเรื่องราวใหญ่โตบานปลาย จะเกิดภาพอันหวานชื่น ที่ทั้งคู่ได้ไปออกรายการร่วมกันทางช่องเนชั่น แชลแนล โดยรายการดังกล่าว ปรากฏภาพของ น.ส.รังสิมากับจ่าประสิทธิ์ กำลังทำท่าซารางเฮโยร่วมกันราวกับว่าเป็นส.ส.พรรคเดียวกันก็ไม่ปาน ราวกับว่ามิเคยทะเลาะเบาะแว้งกันมาสดๆร้อนๆในสภาผู้แทนเลยด้วยซ้ำ
..คงต้องถามว่านี่น่ะหรือโกรธกันจะเป็นจะตายกลางสภาฯ แล้วภาพที่ปรากฏอยู่มันเรียกว่าอะไร
ถ้าเรื่องมันจบแบบแฮปปี้เอนดิ้งด์ เช่นนี้แล้ว คงไม่ต้องให้บรรดาส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ออกมาแถลงให้เมื่อยตุ้ม เนื่องจากก่อนหน้านี้นางผุสดี ตามไท ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ได้ยื่นหนังสือต่อนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร พร้อมกับแถลงข่าวร่วมกับ น.ส.รังสิมา รอดรัศมี น.ส.พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ เพื่อให้ตรวจสอบจริยธรรมและลงโทษตามระเบียบข้อบังคับ
สุดท้ายแล้วปรากฏการณ์ซาราเฮโยที่ได้เกิดขึ้นของทั้งสองคน ทำให้ตอกย้ำวลีที่ว่า ไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร ทางการเมืองได้เป็นอย่างดี ส่วนประชาชน ชาวไทยชาตินี้ก็คงได้แต่ดูปาหี่การเมืองน้ำเน่าต่อไปนั้นเอง
* แรงเงาถอยไป "ปูนิ่ม"แรงโพยมาแล้ว
อย่างไรก็ตาม ไฮไลท์อีกเรื่องหนึ่งที่ประชาชนคนไทย ต้องเอามือก่ายหน้าผากไปตามๆกัน เห็นจะเป็นคิวการชี้แจงกลับการอภิปรายของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านอภิปราย ที่พุ่งเป้าที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ นายกรัฐมนตรี และเธอก็ไม่ได้ทำให้กองเชียร์รวมไปถึงแฟนพันธ์แท้เธอผิดหวังเช่นเคย โดยตลอดการชี้แจงกว่า 40 นาทีของน.ส.ยิ่งลักษณ์ นั้นมีการโชว์แผ่นชาร์ตแสดงประกอบการอภิปราย รวมถึงมีการเตรียมกระดาษโน้ตมาชี้แจง ท่ามกลางการลุ้นของรัฐมนตรีที่นั่งอยู่ข้างๆ อาทิ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรีและรมว.ศึกษาธิการ เป็นต้น
ทั้งนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ อาศัย"โพย" หรือบทพูดที่ทีมงานเขียนให้ เตรียมให้ ประกอบแผ่นชาร์ท ช่วยให้นายกฯ ลุกขึ้นพูดตามบทที่เตรียมตัวไว้แล้ว โดยไม่สนใจว่าฝ่ายค้านจะอภิปรายในประเด็นตรวจสอบเรื่องอะไร อย่างไรตั้งหน้าตั้งตาพูดในสิ่งที่ตนเองเตรียมมาที่สำคัญก็คือแทบไม่ตอบประเด็นที่ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจเลย กลับพรรณนาโวหารยกยอตัวเองสารพัดเรื่อง ขนาดมีลายมือเขียนใส่กระดาษมาให้อ่าน แต่ยังปรากฏว่านายกฯ ยิ่งลักษณ์อ่านผิดๆ ถูกๆ สลับคำ เว้นวรรคผิด ความหมายเพี้ยน ตามสไตล์ของเธอเช่นเดิม
และคงต้องบอกว่าน่าเสียใจแทน "ธงไชย" เจ้าของลายมือเขียน ที่สื่อมวลชนแอบจับภาพ ลายมือจากกระดาษบนโต๊ะนายกฯ แล้วนำออกมาประจานผ่านโซเชียลมีเดียเสียจริง ส่วนปฏิบัติการยิ่งลักษณ์ใช้ความนิ่งสยบความเคลื่อนไหวกลางสภา ถึงจะผ่านศึกซักฟอกด้วยจำนวนเสียงสวยงามแต่มีรอยแผลเป็นติดตัว รอวันระเบิดเท่านั้นเอง
**ภูมิใจไทยลายออก รอวันรวมก๊วนรัฐบาล
ขณะเดียวกัน แม้ว่าจะไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นสาหรับผลการลงมติศึกซักฟอกเมื่อฝ่ายรัฐบาลชนะการลงมติ ด้วยเสียงท่วมท้นตามระบบสภาฝักถั่วที่อาศัยพวกมากลากไปก็ตามที แต่ที่สุดแล้วก็มีนัยการเมืองให้จับตาอยู่เช่นกันในผลการลงคะแนนที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ผลการลงมติที่ออกมา นายกฯปูนิ่ม ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้คะแนน ไว้วางใจมากที่สุดในบรรดารัฐมนตรีที่ถูกยื่นญัตติซักฟอกโดยได้ 308 เสียง ไม่ไว้วางใจ 159 เสียง งดออกเสียง 4 และไม่ลงคะแนน 9 ส่วน ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บารุง รองนายกฯ ได้คะแนนไว้วางใจ 287 เสียง ไม่ไว้วางใจ 159 เสียง งดออกเสียง 25 และไม่ลงคะแนน 11 พล.อ.อ.สุกาพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม ได้คะแนนไว้วางใจ 284 เสียง ไม่ไว้วางใจ 160 เสียง งดออกเสียง 25 ไม่ลงคะแนน 11 พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก รมช.มหาดไทย ได้คะแนนไว้วางใจ 284 เสียง ไม่ไว้วางใจ 182 เสียง งดออกเสียง 5 และไม่ลงคะแนน 10
ที่ต้องขีดเส้นใต้ก็คือคะแนนไว้วางใจเมื่อนับรวมแล้วกลับมีคะแนนของฝ่ายค้านไปสนับสนุนฝั่งรัฐบาล ตรวจสอบพบว่าเป็นคะแนนของทางฝั่งพรรคภูมิใจไทย ซึ่งต้องบอกว่ามีนัยทางการเมืองที่น่าจับตาโดยเฉพาะจุดยืนธาตุแท้ ของพรรคภูมิใจไทย
ยิ่งหากกลับไปดูกระแสข่าวก่อนหน้านี้ก็ดูจะปะติดปะต่อได้ไม่ยากเช่นกัน อาทิ หัวเรือใหญ่อย่าง เสี่ยหนู นายอนุทิน ชาญวีรกูล เคยบินไปเพื่อขอพบ นช.ทักษิณ หลายครั้งเพื่อปรับความเข้าใจ หรือแม้แต่ นายชัย ชิดชอบ บิดานายเนวิน ชิดชอบ ก็เคยบินไปพบ นช.ทักษิณ เช่นกันท่ามกลางข่าวลือสะพัดว่าเพื่อขอให้ยกโทษให้กับลูกชาย หรือจะเป็นช่วงก่อนการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ อยู่ดีๆ พรรคภูมิใจไทยก็ขอถอนตัวจากการร่วมลงชื่อในญัตติไม่ไว้วางใจอย่างกะทันหันในวินาทีสุดท้ายด้วยซ้ำ
ว่ากันว่าช่วงหลัง นช.ทักษิณ เริ่มใจอ่อนเพราะต้องการเดินเกมดูด สส.จากทุกพรรคให้มาร่วมกับพรรคเพื่อไทยให้ได้มากที่สุดหวังโดดเดี่ยวพรรคประชาธิปัตย์ แต่ที่สำคัญ เพื่อปูทางให้พรรคเพื่อไทยคุมฝ่ายนิติบัญญัติให้ได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดโดยพรรคเดียวจนสามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือออกกฎหมายได้ตามความพอใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการผลักดัน กฎหมายเพื่อฟอกความผิดให้สามารถกลับบ้านแบบเท่ๆ นั้นเอง