“จารุพงศ์” โยนทุจริตงบยาฆ่าแมลงเกิดช่วงยุค รบ.ปชป. “ชัชชาติ” ปัดญาติเอี่ยวงาบงบน้ำท่วม อ้างนามสกุลไม่แหมือน ด้าน “บิ๊กโอ๋” แจงไฟใต้ระอุแค่ในพื้นที่ 15% ไม่ร้ายอย่างที่คิด อ้างปฏิบัติการเชิงรุกน้อยเพราะกำลังไม่พอ
วันนี้ (27 พ.ย.) ผู้สี่อข่าวรายงานว่า การอภิปรายทั่วไปเพื่อไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ในช่วงค่ำตั้งแต่เวลา 19.00 น. บรรดารัฐมนตรีได้ทยอยลุกขึ้นชี้แจง โดยนายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รมว.มหาดไทยชี้แจงว่า กรณีการใช้เงินสำรองด้านศัตรูพืชระบาด เรื่องนี้มีการระบาด 12 จังหวัดด้วยกัน โดย พล.ต.อ.วิโรจน์ เปาอินทร์ กรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบพบความจริงว่ามีการจ่ายเงินงบประมาณ 3 ช่วงเวลาที่ระบุว่ามีการทุจริต คือช่วงปีงบประมาณ 2553 วงเงิน 638 ล้าน ปีงบประมาณ 2554 จำนวน 2,669 ล้านบาท รวมทั้งสิ้น 3,307 ล้านบาท ซึ่งอยู่ในช่วงของพรรคประชาธิปัตย์ทั้งสิ้น ทั้งนี้ในส่วนของพรรคเพื่อไทยงบประมาณปี 2555 ในส่วนของเงินทดลองราชการนั้น สำนักงบประมาณยังไม่อนุมัติวงเงิน
“ต้องขอบคุณ ส.ส.ประชาธิปัตย์ที่เปิดเผยการทุจริตช่วงรัฐบาลของท่านเอง อย่างไรก็ตามรัฐบาลนี้ไม่นิ่งนอนใจการตรวจสอบทุจริต หากพบก็จะสอบสวนต่อไป มูลเหตุของการทุจริตเกิดขึ้นได้เป็นเพราะไม่มีระเบียบวิธีปฏิบัติ โดยเริ่มในปี 2552 ที่ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดใช้เงินทดรองราชการได้ 50 ล้านบาท ซึ่งเป็นในช่วงรัฐบาลประชาธิปัตย์เช่นกัน แต่ในขณะนี้รัฐบาลได้ปรับลดการใช้เงินทดรองราชการของจังหวัดลงเหลือ 10 ล้าน และถ้าจำเป็นจริงๆ ก็ให้ใช้วงเงินไม่เกิน 20 ล้านบาท”
จากนั้น นายปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวชี้แจงกรณีการใช้งบของกรมทรัพยากรน้ำ และกรมทรัพยากรน้ำบาดาล ว่าในเรื่องนี้หาก สตง.ส่งเรื่องมาก็พร้อมตรวจสอบ ซึ่งตนได้สั่งการให้มีระบบตรวจสอบทางเว็บไซต์ของกรมทรัพยากรน้ำ ถ้าหากมีข้อสงสัยก็เข้าไปตรวจสอบได้ และหากต้องการลงพื้นที่ตรวจสอบตนก็พร้อมลงไปด้วย
ด้าน พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม ยืนยันว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาสถานการณ์ชายแดนภาคใต้ โดยคำสั่งนายกรัฐมนตรีได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการ ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ภาคใต้โดยมอบหมายให้ตนมารับผิดชอบเรื่องความมั่นคงและ ถือเป็นวาระเร่งด่วน หมู่บ้านที่มีปัญหาเกิดเหตุมีจำนวน 324 แห่ง คิดเป็น 15% ถือว่าไม่เลวร้ายกว่าที่คิด ทางหน่วยงานด้านความมั่นคงและ ศอ.บต.ได้ลงไปพัฒนาทำงานคู่กันทั้งเชิงรุกและรับ ในเชิงรุกเรื่องการออกไปไล่ล่าน้อยกินไป เพราะเราห่วงงานเชิงรับมากเนื่องจากไม่มีหน่วยงานอื่นมารับผิดชอบแทนได้ จึงต้องใช้เวลาให้คนมาเปลี่ยน รออีกนิดถ้ามีคนมาเปลี่ยนอาจจะเป็น ตร. หรือ อส.ที่มีขีดความสามารถ
ส่วนผู้ก่อเหตุร้ายนั้นคือองค์กรลับไม่เคยประกาศเวลาทำอะไร มีโครงสร้างที่ซับซ้อน มียุทธศาสตร์สำคัญคืออยากให้เหตุร้ายไปสู่ประชาคมโลกภายนอก โดยมีแกนนำ 2 พันคน ฝ่ายปฏิบัติการ 7 พันคน แต่ยืนยันรัฐบาลมีนโยบายชัดเจน จะพยายามเชิงรุกมากขึ้น เพียงแต่ไม่มีกำลังคนพอเท่านั้น
