xs
xsm
sm
md
lg

รอวัน..พันธมิตรฯ ชุมนุม!?

เผยแพร่:   โดย: ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

มีหลายคนเฝ้ารอว่าเมื่อไหร่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะได้จัดชุมนุมอีกครั้งหนึ่ง!?

โดยเฉพาะในยามที่รัฐบาลและรัฐตำรวจกำลังฮึกเหิม ย่ามใจมากขึ้น และฉลองชัยที่คิดว่าตัวเองได้รับชัยชนะในการทำให้การชุมนุมขององค์การพิทักษ์สยาม เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 และรัฐบาลคงคิดว่าจะใช้บรรทัดฐานที่เกิดขึ้นครั้งนี้จะสามารถใช้ได้กับทุกการชุมนุมที่ต่อต้านรัฐบาลในวันข้างหน้า

และเป็นวันตอกย้ำว่าการเมืองที่เป็นอยู่ในปัจจุบันในระบบล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง เพราะไม่ว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้านซึ่งนำโดยพรรคประชาธิปัตย์จะดีเพียงใด ก็ไม่สามารถเอาชนะในระบบการเมืองแบบนี้ได้เลย แม้ต่อให้ยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ก็มีคดีทุจริตท่วมท้นจนอายุความขาดไปแล้วหลายต่อหลายคดี

ความจริงแล้ว เงื่อนไขการชุมนุมที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 2/2555 เมื่อวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2555 ซึ่งระบุเอาไว้ในข้อที่ 3 ว่า:

“3. เราขอยืนยันว่าการชุมนุมครั้งใหญ่นั้นพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยยังคงมีความจำเป็นต้องใช้การชุมนุมเพื่อเคลื่อนไหวต่อไป ภายใต้เงื่อนไขดังต่อไปนี้ คือ

3.1 มีการดำเนินการใดๆ ก็ตาม ไม่ว่าจะแก้ไขรัฐธรรมูญหรือออกกฎหมายอื่นใด ที่มีความชัดเจนว่าจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างสถาบันพระมหากษัตริย์หรือลดพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์

3.2 มีการดำเนินการใดๆ ก็ตามไม่ว่าจะแก้ไขรัฐธรรมูญหรือออกกฎหมายอื่นใด ที่มีความชัดเจนว่าจะนำไปสู่การนิรโทษกรรมให้กับนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร และพวก

3.3 เมื่อเหตุการณ์บ้านเมืองเข้าสู่สถานการณ์ความเหมาะสมที่ประชาชนต้องการการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยครั้งใหญ่

ภายใต้เงื่อนไข 3 ประการดังกล่าวข้างต้น เกิดขึ้นเมื่อใด พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยพร้อมจัดให้มีการชุมนุมใหญ่โดยทันที”

มติดังกล่าวนั้นได้จากการประชุมระดมความคิดเห็นของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยทั่วประเทศ และมีการแจกแบบสอบถามเพื่อระดมความเห็นและนำมาประมวลผล จึงได้ออกแถลงการณ์ฉบันนี้โดยได้รับฉันทานุมัติจากพี่น้องประชาชนอีกด้วย

มติดังกล่าวไม่ได้แปลว่าพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะละเลยในเรื่องอื่นๆ ที่เคยต่อสู้มา เช่น ปัญหาการทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวง ปัญหาอธิปไตยของชาติ ปัญหาหนี้สาธารณะ ปัญหาการทวงคืน ปตท. เพียงแต่ปัญหาเหล่านี้สามารถต่อสู้ได้ด้วยวิธีอื่น ในการทำความจริงให้ปรากฏผ่านสื่อในเครือของ ASTV-ผู้จัดการบ้าง การยื่นเรื่องฟ้องร้องต่อศาลหรือ ป.ป.ช.บ้าง ฯลฯ ซึ่งไม่ได้แปลว่าการต่อสู้จะจำกัดอยู่แต่เพียงการชุมนุมอย่างเดียวเสมอไป

และเพราะตระหนักดีว่าการชุมนุมในวันข้างหน้ามีความสุ่มเสี่ยงต่อชีวิตผู้ชุมนุมเพิ่มมากขึ้น จึงจำเป็นต้องพลิกแพลงกลยุทธ์ตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ดังนั้นการชุมนุมจะต้องมีความรอบคอบ รัดกุม และมีพัฒนาการยิ่งกว่าเดิม โดยเฉพาะในรัฐบาลที่นิยมใช้ความรุนแรงในการเข้าปราบปรามประชาชน

ประชาชนจำนวนไม่น้อยพร้อมที่จะเสียสละแม้เอาชีวิตเข้าแลกได้ หากรู้ว่าหากเกิดเงื่อนไขการชุมนุมทั้งการตรากฎหมายเพื่อเปลี่ยนแปลงหรือลดพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์เกิดขึ้น หรือมีการตรากฎหมายทำลายหลักนิติรัฐล้างความผิดให้กับทักษิณและพวกเกิดขึ้น เพราะอย่างน้อยประชาชนเหล่านี้แม้จะรู้ว่ามีความเสี่ยงแต่ทั้งสองเงื่อนไขเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นค่อนข้างแน่นอน หากเกิดการเปลี่ยนขั้วอำนาจตรงกันข้ามกับระบอบทักษิณ (ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลประชาธิปัตย์ หรือรัฐบาลเผด็จการทหาร)

แต่ก็เชื่อว่าประชาชนอีกจำนวนไม่น้อยเช่นกันที่อาจจะพร้อมพลีชีพเพื่อต่อสู้กับการทุจริตของนักการมือง แต่แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก็คงจะไม่นำมวลชนเข้าร่วมชุมนุมที่มีความสุ่มเสี่ยงต่อชีวิตเพื่อต่อสู้ในประเด็นนักการเมืองที่ฉ้อราษฎร์บังหลวงขั้วหนึ่ง แล้วเล็งเห็นได้อยู่แล้วว่าอีกนักการเมืองขั้วหนึ่งรอเข้าสู่อำนาจแทนเพื่อจะโกงบ้านกินเมืองเหมือนต่อจากรัฐบาลที่ถูกโค่นล้มไป

หรือแม้แต่หากพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยออกชุมนุมในสถานการณ์ที่มีความสุ่มเสี่ยงเพื่อขับไล่รัฐบาลเพราะตรากฎหมายสร้างหนี้โดยไม่ผ่านกระบวนการตามงบประมาณปกติ แล้วเล็งเห็นอยู่แล้วว่ารัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ก็เคยทำแบบเดียวกันมาแล้วเหมือนกัน ก็คงไม่เกิดประโยชน์ในการชุมนุมอย่างคุ้มค่าเช่นกัน

บางคนที่อาจจะเข้าใจผิดว่าเหตุใดพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเคยต่อสู้เรื่องอธิปไตยของชาติผ่าน MOU 2543 ทำไมถึงไม่ชุมนุมต่อต้านขับไล่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่กำลังยอมรับอำนาจศาลโลก คำตอบก็คือในเวลานี้สถานการณ์อธิปไตยของชาติได้เลยเรื่อง MOU 2543 ไปแล้ว และกลายเป็นการยอมรับอำนาจศาลโลก ทั้งจากรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ทั้งจากรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์

ดังนั้น ถ้าพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยนำการชุมนุมแบบยอมเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อขับไล่รัฐบาลชุดหนึ่งที่ไปยอมรับอำนาจศาลโลกแล้วก็จะได้รัฐบาลอีกชุดหนึ่งที่ยอมรับอำนาจศาลโลกเหมือนกันก็คงไม่คุ้มค่าเช่นกัน ซึ่งโอกาสจะชุมนุมแล้วหวังว่าจะมีรัฐบาลที่ขึ้นมาปกป้องอธิปไตยของชาติมันได้จบสิ้นไปแล้วตั้งแต่การชุมนุมกดดันและเรียกร้องต่อรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ในปี 2554 อีกทั้งพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ทำหน้าที่ของตัวเองครบถ้วนสมบูรณ์แล้วในการยื่นต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ศาลปกครอง ฯลฯ ดังนั้นพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จึงไม่มีเรื่องอะไรที่ต้องติดค้างอีก

จึงรอเวลาสุกงอมเมื่อใกล้เวลาวินิจฉัยหรือวันวินิจฉัยตีความของศาลโลกในปี 2556 ถึงเวลานั้นถ้าประชาชนชาวไทยมีความหวงแหนรักอธิปไตยของชาติจริง ก็คงได้เห็นความล้มเหลวของนักการเมืองทั้งระบบในวันดังกล่าว ถึงเวลานั้นหากประชาชนเห็นคุณค่าและตระหนักในการต่อสู้เรื่องอธิปไตยของชาติโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจริง ค่อยมาตัดสินใจประเมินสถานการณ์อีกครั้งก็ย่อมทำได้เช่นกัน

สำหรับความล้มเหลวทางการเมืองที่ผ่านมาในรอบหลายปี อาจกล่าวได้ว่า แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ก้าวข้ามการต่อสู้เพื่อทำลายนักการเมืองที่ชั่วร้ายขั้วหนึ่ง เพื่อให้อีกขั้วหนึ่งที่เลวร้ายเข้าสู่อำนาจแทน นับตั้งแต่การรณรงค์ให้ประชาชนไปเลือกตั้งแล้วกากบาทในช่องไม่ประสงค์จะลงคะแนนเมื่อปี 2554

จนบางคนอาจเข้าใจผิดคิดว่า “เราเป็นพวกเดียวกัน” จึงต้องสามัคคีกันเพื่อช่วยล้มระบอบทักษิณเสียก่อน ก็ต้องขอแสดงความเสียใจกับหลายคนที่คิดอย่างนั้น เพราะแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเห็นว่าปัญหาของชาติไม่ใช่แค่ระบอบทักษิณอย่างเดียวอีกต่อไป แต่ทั้ง “นักการเมืองในระบอบทักษิณ” และ “นักการเมืองฝ่ายตรงกันข้ามระบอบทักษิณ” ต่างเป็นปัญหาของแผ่นดินทั้งคู่

ด้วยเหตุผลนี้เองเหตุผลในข้อที่ 3.3 ในแถลงการณ์ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยฉบับที่ 2/255 ลงวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2555 จึงได้ระบุเงื่อนไขการชุมนุมว่า

“เมื่อเหตุการณ์บ้านเมืองเข้าสู่สถานการณ์ความเหมาะสมที่ประชาชนต้องการการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยครั้งใหญ่”

คำว่า “สุกงอม” ของแต่ละคนอาจจะมีนิยามและมุมมองที่ไม่เหมือนกัน แต่จากแถลงการณ์ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยนี้ ย่อมแสดงให้เห็นว่า คำว่า “สุกงอม” ไม่ได้หมายความว่า “มีประชาชนกลุ่มเล็กกลุ่มหนึ่งตื่นรู้มากกว่าประชาชนส่วนใหญ่” เพราะแม้หากโค่นล้มรัฐบาลได้ก็จะต้องมีการต่อสู้กันเองระหว่าง “ประชาชนที่ตื่นรู้แล้ว” กับ “ประชาชนที่ยังไม่ตื่นรู้” ที่ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะที่รังแต่จะมีแต่การสูญเสียระหว่างประชาชนด้วยกันเอง ในขณะที่นักการเมืองหรือทหารที่ถือขั้วอำนาจต่างเอาประโยชน์กลับเข้าสู่ตัวเองและพรรคพวกของตัวเองหรือสมยอมในประโยชน์กับขั้วอำนาจฝ่ายตรงกันข้าม และไม่เคยคำนึงประโยชน์ที่แท้จริงของประชาชน

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในยามที่สื่อมวลชน และสื่อที่เป็นเครื่องมือทางการเมืองขยายตัวไปอย่างกว้างขวางและไร้ขอบเขต จนประชาชนยากที่จะแยกแยะออกได้ว่า “อะไรคือข้อเท็จจริง” และ “อะไรคือการโฆษณาชวนเชื่อ”

ด้วยเหตุผลนี้เอง พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จึงไม่ได้นิยามคำว่า “สุกงอม” ว่าหมายถึง “มีประชาชนกลุ่มหนึ่งตื่นรู้มากกว่าประชาชนส่วนใหญ่” แต่เห็นคำว่า “สุกงอม” น่าหมายถึง “ประชาชนจำนวนมาก (หรือส่วนใหญ่) รับรู้และอาจรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดจึงเห็นพ้องต้องกันที่ต้องการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่”

“ประชาชนจำนวนมากรับรู้และอาจรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดจึงเห็นพ้องต้องกันที่ต้องการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่” แม้จะเป็นประโยคที่หลายคนอาจจะมองว่าเป็นเรื่องยาก และไม่ทันใจ แต่ความเป็นจริงเป็นวิธีเดียวที่จะมีการสูญเสียของประชาชนน้อยที่สุด ประโยชน์ในการเคลื่อนไหวจะตกอยู่กับประชาชนมากที่สุด และเป็นหนทางเดียวที่ประชาชนจะปลดแอกจากการเป็นทาสความคิดของนักการเมืองในขั้วอำนาจได้ดีที่สุด

คิดในเชิงคณิตศาสตร์ถ้าเรายังอยู่ในวังวนของ “ขั้วอำนาจ” เรากำลังพูดถึงประชาชนฝ่ายทักษิณ 15 ล้านคน และฝ่ายต่อต้านทักษิณ 12 ล้านคน ซึ่งยากที่จะมีใครชนะแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดได้ แม้มีทหารทำการรัฐประหารโดยไม่กล้าหาญและเปลี่ยนแปลงเพื่อประโยชน์ของประชาชนอย่างแท้จริง ก็ยากที่จะได้รับชัยชนะในสงครามขั้วอำนาจแบบนี้ได้

ด้วยเหตุผลนี้พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจึงได้เดินสายสัญจรไปทั่วประเทศ ให้ความรู้กับประชาชนโดยยึดเอาประโยชน์ของประชาชนเป็นตัวตั้ง มากกว่าการอยู่ในวังวนของขั้วอำนาจ และรอเวลาสถานการณ์ที่เรียกว่า “สุกงอม”

สถานการณ์ “สุกงอม” จะเริ่มเห็นการ “เริ่มสุก” ของสถานการณ์ชัดเจนมากขึ้น ตั้งแต่ปี 2556 เป็นต้นไป ทั้งปัญหาการจำนำข้าวที่ล้นจนเละ ปัญหาสถานภาพของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มสูงขึ้น ปัญหาหนี้สาธารณะที่กำลังทะยานสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ และคำวินิจฉัยของศาลโลกในคดีปราสาทพระวิหาร ปัญหาการเปิดสัมปทานปิโตรเลียมรอบที่ 21 ปัญหาการแสวงหาผลประโยชน์ในธุรกิจพลังงานของนักการเมือง ฯลฯ

สิ่งเหล่านี้เป็น “เหตุ” ที่อาจนำไปสู่เงื่อนไขที่ทำให้เกิด “ผล” ของสถานการณ์ “สุกงอม” ได้ทั้งสิ้น หากรัฐบาลไม่สามารถเดินหน้าจำนำข้าวได้ต่อไป การเพิ่มภาษีบุคคลธรรมดาหรือภาษีมูลค่าเพิ่มเพราะการใช้เงินมือเติบของรัฐบาล มีคนตกงานเพิ่มมากขึ้นจากมาตรการค่าแรงขั้นต่ำหรือไม่สามารถเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำตามสัญญาได้ การสูญเสียอธิปไตยของชาติบริเวณรอบปราสาทพระวิหารจากคำวินิจฉัยของศาลโลก การขึ้นราคาก๊าซหุงต้มที่ทะยานเพิ่มสูงขึ้นอย่างอำมหิตโหดเหี้ยม ฯลฯ ทั้งหมดนี้เป็นปัญหาที่กระทบถึงตัวของประชาชนโดยตรง ที่อาจก่อให้เกิดความสุกงอมได้

ไม่ต้องพูดถึงสถานการณ์ที่ยังมองไม่เห็น แต่อาจเกิดขึ้นจากมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาที่กำลังจะเข้ามามีบทบาทที่รัฐบาลอาจจะต้องประเคนอธิปไตยหรือประโยชน์ของชาติให้กับต่างชาติเพื่อแลกกับผลประโยชน์ส่วนตนให้กับคนในรัฐบาลหรือนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร ที่อาจเป็นเงื่อนไขที่ทำให้เกิดการ “รวมชาติ” ได้

แต่สถานการณ์ “สุกงอม” ไม่ได้เกิดขึ้นโดยการ “รอ” แต่เพียงอย่างเดียว ดังนั้นการเดินสายให้ความรู้กับประชาชนของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยโดยการถ่ายทอดสดผ่าน ASTV จึงเสมือนเป็นการเตรียมความพร้อมในการลุกขึ้นเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศครั้งใหญ่ ประกอบกับการเคลื่อนไหวของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่จะต้องมีขึ้นอย่างแน่นอนเพื่อเร่งปฏิกิริยาให้ประชาชนได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารให้เร็วที่สุด

โดยเฉพาะการช่วงชิงผลประโยชน์ของ “ประชาชน 65 ล้านคน” ให้กลับคืนมาจาก “นักการเมืองไม่กี่ร้อยคน” ย่อมเป็นการเคลื่อนไหวที่ไม่มีสี ไม่มีขั้ว ไม่มีสงครามระหว่างประชาชน และเป็นการเปิดโปงตัวตนที่แท้จริงของนักการเมืองทุกขั้วอำนาจที่ไม่เคยเห็นแก่ประโยชน์ของประชาชนอย่างแท้จริง

มีคนถามว่ารัฐบาลมีรัฐตำรวจมีความฮึกเหิม และจะลุแก่อำนาจและได้ใจเพิ่มมากขึ้นในการใช้ความรุนแรงกับประชาชน พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะไปสู้ได้อย่างไร?

คำตอบก็น่าจะยึดแนวทางในคำพูดของ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง คือ... “ทุกอย่างขึ้นอยู่กับสถานการณ์”

เพราะการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยไม่เคยตายตัว มีพัฒนาการตลอดเวลา ยากแก่การคาดเดา ไม่เป็นเป้านิ่ง ไม่ได้กลัวอะไรทั้งสิ้น และประสบผลสำเร็จการชุมนุมมาโดยตลอดทุกรอบ และเมื่อเห็นบทเรียนจากการชุมนุมขององค์การพิทักษ์สยามวันที่ 24 พฤศจิกายน 2555 ก็ยิ่งทำให้เรามั่นใจได้ว่าการเคลื่อนไหวของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยนับแต่นี้จะต้องเดินหน้าและวางแผนต่อไปอย่างไร เพื่อให้ได้รับชัยชนะอย่างแท้จริง

เมื่อถึงวันนั้นเราจะพบกันอีกครั้งบนท้องถนน และได้รับชัยชนะของประชาชนอีกครั้งอย่างแน่นอน!!!
กำลังโหลดความคิดเห็น