ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ -เมื่อวันที่ 22 พ.ย.ก่อนการชุมนุมใหญ่ 2 วัน คณะรัฐมนตรีได้ประกาศใช้พ.ร.บ.ความมั่นคง 9 วันระหว่างวันที่ 22-30 พ.ย.นี้ ในพื้นที่ 3 เขต "พระนคร-ป้องปราบฯ-ดุสิต"
เหตุผลสำคัญก็คือ การควบคุมม็อบองค์การพิทักษ์สยาม
กลัวจนขี้ขึ้นสมอง
รัฐบาลอันเป็นที่รักของประชาชน และรัฐบาลที่ดี เขากลัวกันอย่างนี้แหละ
ปัญหาก็คือ การชุมนุมของ “คนไม่เอารัฐบาล” จะทำให้เกิดอะไรขึ้น !!??
ทุกวันนี้ยังไม่มีใครตอบได้ เนื่องจากยุทธิวิธีการชุมนุมถูก “ปิดลับ” ชนิดมีไม่กี่คนเท่านั้นที่จะรู้
แต่คนที่รู้เหล่านั้นเชื่อว่า หากการชุมนุมดำเนินไปตามยุทธวิธีทางทหาร
รัฐบาลอยู่ไม่ได้
อย่างน้อยที่สุด “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ต้องลาออกจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรี
หมอนิด กิจจา ทำนายไว้ในงานเสวนา"24 พ.ย.นำไปสู่วันสิ้น รบ.หรือไม่” ว่า วันที่ 24 พ.ย. การชุมนุมไม่ใช่แค่ม้วนเดียว หรือ 2 วันจบ และบ้านเมืองจะเสียหายไม่ช้าก็เร็ว จะมีการชุมนุมรอบ 2-3 ตามมาและจะเข้มข้นมากขึ้น จะเห็นความมันส์หลังวันที่ 10 ธ.ค. เป็นต้นไปลากยาวข้ามปี จะมีการนองเลือด รัฐบาลหนีไม่พ้นแน่นอน
“หากรัฐบาลฉลาดจะมีการชิงยุบสภาเลือกตั้งใหม่ แต่ก็จะไม่มีเลือกตั้งไปอีก 5 ปี หัวเมืองจะเกิดความปั่นป่วน ทั้งนี้หากจะยุติการนองเลือดได้ ต้องอาศัยศาลมาจัดการรัฐบาลในเรื่องทุจริตคอร์รัปชั่น แต่จะทำหรือไม่ถ้าทำก็ถือว่าช่วยชาติ อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะออกหัวหรือก้อย บ้านเมืองก็จะพบกับความหายนะ หากรัฐบาลยังอยู่ประเทศก็ล้มละลาย” โหรชื่อดังรทำนายไว้
หมอนิดบอกว่า “ปี 56 จะเกิดรุนแรง 100% และเตือนด้วยว่า เดือน ม.ค. - เม.ย. 56 เป็นช่วงอันตราย จะมีการปฏิวัติประชาชนโดยแท้จริง เพราะทุกวันนี้ทหารที่ทั้งขายสีและหลอกแดกรวมอยู่ด้วย แต่ก็เชื่อว่าทหารยังมีความจงรักภักดี และหากมีการชุมนุมใหญ่ครั้งที่ 2 จะชุมนุมยืดเยื้อเป็นเดือนให้ประชาชนเตรียมข้าวปลาอาหารเก็บไว้”
เขาบอกไว้อย่างน่าสนใจว่า “ดวงของนายอภิสิทธิ์ต่อจากนี้ถึงปี 2561 ยังไม่มีทางได้เป็นรัฐบาล และรัฐบาลต่อไปจะไม่ได้มาจากพรรคการเมืองเพราะประชาชนเริ่มเบื่อ การชุมนุมระลอกใหม่จะเป็นการรวมกันของแนวร่วมทั้งองค์การพิทักษ์สยามและพันธมิตรเพื่อโค่นล้มรัฐบาล และทหารจะออกมา และบ้านเมืองก็จะไม่มีวันสงบ”
“รัฐบาลอาจโดนตุลาการภิวัฒน์ และถ้าตำรวจทำร้ายประชาชนจะใส่เครื่องแบบสีกากีไม่ได้อีกนาน และทหารก็จะขึ้นมาปกครองแล้ว อาจมีทหารเป็นนายกฯ บ้านเมืองจะวุ่นวายไปถึงปี 61 เพราะคนที่ขึ้นมาไม่ใช่คนดวงดี ดังนั้นจึงอยากขอให้ขอผู้มีอำนาจเลือกคนดีจริง ๆ อย่าเล่นพรรคเล่นพวก”หมอนิดฝากทิ้งท้าย
สอดคล้องกับคำทำนายของโหรหญิงกานธนิกา ซึ่งระบุว่า “หลัง 24 พ.ย. จะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่แบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่มีความรุนแรง และการชุมนุมก็จะเป็นไปอย่างสงบ แต่อยู่ในช่วงที่ดาวมฤตยูเคลื่อนมาทับดวงเมือง ทำให้อะไรที่คาดหวังไว้จะไม่เป็นเช่นนั้น จากนั้นดาวเสาร์จะเคลื่อนทำมุมทะแยงกับดาวราหูส่งผลให้ประเทศไทยยังมีความวุ่นวายต่อไปอีก 5 ปี ทั้งนี้การชุมนุมต่อต้านรัฐบาลจะไม่ใช่เพียงวันที่ 24 พ.ย. เพียงวันเดียว แต่จะมีการชุมนุมไปเรื่อย ๆ และจะมีเซอร์ไพรส์บางอย่าง แต่ยืนยันว่า 24 พ.ย. จะไม่มีความรุนแรง ไม่มีนองเลือด เพราะพระเกตุคุ้มครองดวงเมืองอยู่”
ที่สำคัญ ทุกฝ่ายประเมินเหมือนกันว่า การชุมนุมวันที่ 24 พ.ย. จะมีมี “ปรากฎการณ์พิเศษ” บางอย่าง
โดยเฉพาะ “ปริมาณคน”
พล.อ. บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ ประธานองค์การพิทักษ์สยามบอกว่า จำนวนคนที่แสดงตนว่าจะมาร่วมชุมนุมจากสังคมออนไลน์ต่างๆมีมากกว่า 3 ล้านคนแล้ว
“แต่คาดว่าจะมาจริงๆประมาณ 7 แสนกว่าคน โดยทีมงานได้เตรียมการ์ดไว้รักษาความปลอดภัยขณะนี้ 2,000 คน”
ในการชุมนุมนั้น จุดเวทีใหญ่จะอยู่บริเวณด้านหน้าลานพระบรมรูปทรงม้า ซึ่งหากจำนวนคนไม่ถึงบริเวณ ด้านหน้ากองทัพภาคที่ 1 จะถือว่าจำนวนไม่เป็นไปตามเป้า พล.อ.บุญเลิศประกาศว่า จะยุติการชุมนุมทันทีในเวลา 11.00 น.ของวันที่ 24 พ.ย.55
ก่อนหน้านี้องค์การพิทักษ์สยามได้ปล่อยคาราวาน รถยนต์ รถจักรยานยนต์ รถจักรยาน ออกประชาสัมพันธ์ เชิญชวนคนไทยร่วม"ปฏิวัติการเมืองไทย ด้วยอธิปไตยของปวงชน" ครอบคลุมพื้นที่กรุงเทพมหานครทั้งหมด
นอกจากนั้น พล.ร.อ.พะจุณณ์ ตามประทีป อดีตนายทหารคนสนิทของพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ ได้ตัดสินใจเข้าร่วมการชุมนุมกับกลุ่มองค์การพิทักษ์สยาม
โดยไม่เกี่ยวข้องกับพล.อ.เปรม
“พ.ต.ท.ทักษิณ อย่ามายุ่ง เพราะออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านนักการเมืองชั่ว พล.อ.เปรมไม่เกี่ยวกับเรื่องที่ตัวเองออกมาชุมนุม ภรรยาตนเองยังไม่รู้เลย ดังนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ อย่ามากล่าวหา” พล.ร.อ.พะจุณณ์บอกนักข่าวไว้
โดยก่อนหน้านี้ ทักษิณ ชินวัตร ได้โฟนอินกับกลุ่มคนเสื้อแดงบางพลี จ.สมุทปราการ โดยตั้งคำถามว่า ทำไม พล.อ.เปรม ถึงไม่ห้ามปรามคนสนิท
ขณะที่กลุ่มเสื้อแดงได้แจกจ่ายจดหมายไปยังแกนนำกลุ่มต่างๆ เพื่อวางท่าทีต่อการเคลื่อนไหวขององค์การพิทักษ์สยาม โดยเฉพาะการเตรียมอาวุธ เนื้อหาในจดหมายระบุการกำหนดแผนป้องกันรัฐประหาร
1. วันที่ 20 พย.ให้เติมน้ำมันทุกครัวเรือน 2.เตรียมความพร้อมตลอด 24 ชม. 3. เติมน้ำมันเบนซินใส่ขวดกระทิงแดงหรือขวดเครื่องดื่มชูกำลัง 4. วันที่ 21 พ.ย. เตรียมข้าวปลา อาหารแห้ง กำหนดให้สามารถบริโภคได้ 14 วันเป็นอย่างน้อย 5. สำหรับคนที่มีอาวุธให้เตรียมกระสุนให้พอใช้งาน 6. ให้เตรียมเครื่องมือสื่อสารทุกอย่างทุกชนิดในวันที่ 22-23 พ.ย. 7. ให้พี่น้องคนเสื้อแดงฟังข่าวสารทุกชนิดจากรัฐบาล 8. หากมีการรัฐประหารให้รวมตัวกันที่ศาลากลาง ที่ว่าการอำเภอ 9.ในการจัดการชุมนุมของคนเสื้อแดงให้จัดมีการชุมนุมห่างลานพระบรมรูปทรงม้า 10. วันที่ 26พ.ย. ให้ติดตามเฝ้าดูการชุมนุมของเสธ.อ้าย 11. วันที่ 27 - 30 พ.ย. เตรียมความพร้อมจนกว่าการชุมนุมของ เสธ.อ้ายจะยุติ
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 16 พ.ย. ที่ผ่านมา ก่อนหน้านี้กลุ่มเสื้อแดงอีสานได้รวมตัวต่อต้าน "องค์กรพิทักษ์สยาม" ที่สนามหน้าศาลากลางจังหวัดขอนแก่น
โดยมีแกนนำกลุ่มแนวร่วมต่อต้านประชาธิปไตยแห่งชาติ (นปช.) เช่น นางธิดา ถาวรเศรษฐ นายจตุพร พรหมพันธุ์ นายธนิก มาสีพิทักษ์ นายจักริน พัฒน์ดำรงจิตร และนายขวัญชัย ไพรพนา ประธานชมรมคนรักอุดร ขึ้นเวทีปราศรัย ท่ามกลางกลุ่มคนเสื้อแดงและกลุ่ม นปช. จากทั้ง 20 จังหวัดภาคอีสาน และ ส.ส.ของพรรคเพื่อไทย จากทุกจังหวัดร่วมกิจกรรมกว่าหมื่นคน
แต่เหตุการณ์ดังกล่าวไม่มีความหมายสำหรับคนไทยทั้งประเทศ
สิ่งที่กังวลมากกว่าก็คือ..ไม่มีใครรู้ว่าหลังวันที่ 24 พ.ย. 55 จะเกิดอะไรขึ้น ???
เช่นเดียวกับความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจสหรัฐ อันเป็นผลมาจากมาตรการทางการคลังที่หมดอายุลงของรัฐบาลสหรัฐ ทำให้หลายฝ่ายวิเคราะห์การตัดสินใจของประธานาธิบดีโอบามาไม่ถูก
มาตรการทางการคลังดังกล่าวถูกเรียกว่า “หน้าผาทางการคลัง” (Fiscal cliff) เพราะมาตรการทางการคลังชั่วคราวที่ใช้กระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงเกิดวิกฤตเศรษฐกิจนั้นกำลังสิ้นสุดลงในปลายปีนี้ โดยเป็นมาตรการเกี่ยวกับการลดภาษี การใช้จ่ายภาครัฐ รวมทั้งการจัดทำงบประมาณของรัฐบาลสหรัฐ
เหตุผลสำคัญที่ทั่วโลกต่างกังวลเกี่ยวกับ “หน้าผาทางการคลัง” เนื่องจากหากตัดสินใจผิดพลาด อาจจะนำสู่หุบเหวทางเศรษฐกิจที่อันตรายอย่างยิ่ง
นั่นภาวะถดถอยอย่างรุนแรงทางเศรษฐกิจของสหรัฐ
การเติบโตทางเศรษฐกิจอาจจะติดลบ เปรียบเสมือนกับการตกหน้าผานั่นเอง
ทั้งนี้เมื่อคำนวณตัวเลขจากมาตรการทางการคลังชั่วคราวดังกล่าว ทำให้การขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลสหรัฐในปี 2012 และปี 2013 ลดลงไปประมาณ 641,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 4% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ
คิดเป็นครึ่งหนึ่งของการขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลสหรัฐในปัจจุบัน
แต่เมื่อเทียบกับตัวเลขประมาณการอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ในปี 2013 นั้นอยู่ที่เพียงราว 2.2% ทำให้หลายฝ่ายกังวลกันว่า "การตกหน้าผาทางการคลัง" ครั้งนี้อาจส่งผลกระทบรุนแรงต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ จนถึงขั้นทำให้เศรษฐกิจถดถอยได้
แต่ประเด็นสำคัญคือ รัฐบาลสหรัฐต้องลดรายจ่ายภาครัฐลงไป โดยวางแผนลดรายจ่ายภาครัฐลดลงครึ่งหนึ่ง โดยทยอยลดลงปีละ 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ตรงกันข้ามกับรัฐบาลของไทย) เป็นระยะเวลา 10 ปี ติดต่อกัน
โดยจะเริ่มต้นตั้งปี 2013 ซึ่งก็คือปีหน้านั่นเอง
เหตุผลสำคัญที่สุดที่ทำให้รัฐบาลสหรัฐต้องตัดลงงบประมาณรายจ่ายลงก็คือ ภาระหนี้สาธารณะต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติของสหรัฐมีสัดส่วนสูงถึง 100% ของจีดีพี
การขาดดุลงบประมาณในปี 2011 มีมากถึง 9.5% ของจีดีพี
นั่นจึงทำให้สหรัฐต้องรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ด้วยการตัดลดงบประมาณรายลงทุกปี เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาหนี้สาธารณะเหมือนกลุ่มประเทศยุโรป
จนสภาคองเกรสผ่านกฎหมายควบคุมงบประมาณที่เรียกว่า Budget Control Act of 2011 เพื่อแก้ปัญหาวิกฤติหนี้สาธารณะชนเพดาน
ดังนั้น ความขัดแย้งระหว่างปัญหาหนี้สาธารณะ ซึ่งจะต้องแก้ไขด้วยการลดงบประมาณรายจ่ายลง กับหน้าผาทางการคลัง ทำให้ทั่วโลกจับตาการตัดสินใจของรัฐบาลสหรัฐ
นั่นคือเลือกระหว่างการยอมให้ภาวะเศรษฐกิจถดถอย กับการเพิ่มหนี้สาธารณะ
มีการคาดการณ์กันว่า หากรัฐบาลสหรัฐเลือกที่จะไม่ต่ออายุมาตรการการคลังชั่วคราว หรือกระโดดลงเหว จะทำให้การขาดดุลการคลังของสหรัฐในปี 2013 ลดลงเหลือ 641,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐในปี 2013 จะลดลงเหลือ -0.5% อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นเป็น 9.1% แต่หนี้สาธารณะลดลงเหลือเพียง 58% ของจีดีพี
สอดคล้องกับแผนการลดการขาดดุลการคลังลง 7.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐภายใน 10 ปีข้างหน้า
แต่หากรัฐบาลเลือกที่จะต่ออายุมาตรการทางการคลังชั่วคราวทั้งหมด จะทำให้การขาดดุลการคลังของรัฐบาลสหรัฐในปี 2013 เพิ่มขึ้นเป็น 1,037,000 ล้านดอลลาร์หสรัฐ แต่อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในปี 2013 เพิ่มขึ้นเป็น 1.7% อัตราการว่างงานลดลงเหลือ 8%
แต่หนี้สาธารณะจะเพิ่มขึ้นทันที 90% ของจีดีพี
ดังนั้น ทางสองแพร่งของหน้าผาทางการคลังของรัฐบาลสหรัฐ จึงไม่แตกต่างกับ “หน้าผาทางการเมือง” หลังวันที่ 24 พ.ย.55 แต่อย่างใด