xs
xsm
sm
md
lg

Good Morning News 16 พฤศจิกายน 2555

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

General News

• GDP ประจำไตรมาส 3 ของยูโรโซนชะลอตัวลง 0.1% หลังจากที่ชะลอตัวลง 0.2% ในไตรมาสก่อนหน้า ส่งผลให้ยูโรโซนเข้าสู่ภาวะถดถอยเป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 4 ปี เนื่องจากวิกฤตหนี้ได้ส่งผลกระทบไปยังประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ในภูมิภาค โดย GDP ไตรมาส 3 ของเยอรมนีและฝรั่งเศสขยายตัวเพียง 0.2% ในขณะที่สเปนและอิตาลีชะลอตัวลง 0.3% และ 0.2% ตามลำดับ

• อัตราเงินเฟ้อรายปีของยูโรโซนในเดือน ต.ค. อยู่ที่ 2.5% ลดลงเล็กน้อยจากเดือน ก.ย.ที่เป็น 2.6% แต่เมื่อเทียบเป็นรายเดือนแล้วอัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น 0.2% โดยมีเหตุมาจากราคาพลังงานที่ลดลง ประกอบกับอุปสงค์ของภาคเอกชนที่อยู่ในระดับต่ำ

• ผลผลิตอุตสาหกรรมของยูโรโซนในเดือน ก.ย.ลดลง 2.5% เมื่อเทียบกับเดือน ส.ค. ในขณะที่สหภาพยุโรป (EU) ปรับตัวลดลง 2.3% ในทุกประเภทผลผลิต โดยเฉพาะสินค้าอุปโภคบริโภค โดยไอร์แลนด์เป็นประเทศที่ผลผลิตลดลงสูงที่สุดถึง 12.6%

• คนงานทั่วทวีปยุโรปรวมตัวกันประท้วงแสดงความไม่พอใจต่อวิกฤตการเงินที่ยืดเยื้อและ ต่อต้านมาตรการรัดเข็มขัดของรัฐบาล ที่ลดเงินเดือน สวัสดิการ บำเหน็จบำนาญ และขึ้นภาษี ส่งผลให้สถานที่ราชการหลายแห่งต้องปิดทำการ รวมถึงเที่ยวบินกว่า 700 เที่ยวต้องระงับการบิน

• ธ.กลางอังกฤษ (BOE) ลดคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจในปี 2556 ลงมาอยู่ที่1% จากเดิม 2% โดยจะยังไม่สามารถกลับไปอยู่ในระดับก่อนเกิดวิกฤตได้จนกระทั่งปี 2558 ซึ่งเป็นผลมาจากความเปราะบางของเศรษฐกิจโลกและปัญหาในยูโรโซน

• Moodys’ เตรียมลดอันดับความน่าเชื่อถือของอังกฤษจาก Aaa ซึ่งเป็นระดับสูงสุด เนื่องจากเศรษฐกิจมีทิศทางชะลอลงต่อเนื่อง และรัฐบาลมีแนวโน้มใช้นโยบายลดการขาดดุลงบประมาณต่อ

• ยอดค้าปลีกของอังกฤษในเดือน ต.ค.ลดลง 0.8% หลังจากเพิ่มขึ้น 0.6% ในเดือน ก.ย. เนื่องจากผู้บริโภคลดการจับจ่ายอาหารและเสื้อผ้าเพราะกังวลเรื่องเศรษฐกิจ ทำให้ส่งผลลบต่อ GDP ในไตรมาส 4 ได้

• ผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกของสหรัฐฯ ในรอบสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 10 พ.ย. เพิ่มขึ้น 78,000 ราย มาอยู่ที่ 439,000 ราย สูงที่สุดในรอบ 18 เดือน เนื่องจากผลกระทบของเฮอริเคนแซนดี ทั้งนี้ นักเศรษฐศาสตร์คาดว่าตัวเลขดังกล่าวอาจเพิ่มขึ้นต่อเนื่องหลายสัปดาห์ต่อจากนี้ และอาจใช้เวลา 3-4 สัปดาห์จึงจะเห็นผลของพายุที่มีต่อจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานอย่างเต็มที่

• ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐฯ ในเดือน ต.ค.เพิ่มขึ้น 0.1% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า โดยหากตัดราคาอาหารและพลังงานออกไปแล้วจะทำให้ขึ้น 0.2% อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันที่ลดลงก็ช่วยหักลบกับราคาอาหารและค่าเช่าที่พักอาศัยที่ปรับตัวสูงขึ้น เป็นสัญญาณว่าเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ยังคงอยู่ภายใต้การควบคุม

• รายงานการประชุม FOMC วันที่ 23-24 ต.ค. ระบุว่า คณะกรรมการเห็นควรให้ FED เพิ่มวงเงินในการเข้าซื้อพันธบัตรในปีหน้าเพื่อทดแทนมาตรการ Operation Twist (การถือครองพันธบัตรระยะยาวแทนพันธบัตรระยะสั้นเพื่อกดให้อัตราดอกเบี้ยระยะยาวอยู่ในระดับต่ำ) ที่กำลังจะสิ้นสุดในสิ้นปีนี้ นอกจากนี้ QE3 ได้ช่วยผ่อนคลายสถานการณ์ทางการเงินและสนับสนุนการฟื้นตัวในภาคอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐฯ ในช่วงที่ผ่านมาได้

• ไปรษณีย์สหรัฐฯ ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีการจ้างงานมากที่สุดในภาครัฐ ประกาศผลขาดทุนในปีงบประมาณ 2555 รวม 15.9 พันล้านดอลลาร์ เนื่องจากปริมาณการส่งไปรษณีย์แบบเก่าลดลงและการแข่งขันจากภาคเอกชนสูงขึ้น ทำให้คาดว่าในปีหน้าจะประสบปัญหาสภาพคล่องจนไม่มีเงินจ้างพนักงานหรือไม่สามารถเปิดให้บริการต่อไปได้ เนื่องจากได้มีการกู้ยืมเงินจนเต็มเพดานแล้ว

• ที่ประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีนมีมติให้ สี จิ้นผิง ดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรค และเตรียมขึ้นเป็น ปธน.ของจีนในเดือน มี.ค. 2556 ต่อจาก หู จิ่นเทา ซึ่งนับเป็นการถ่ายโอนอำนาจในรอบ 10 ปีของจีน

• ก.พาณิชย์ยืนยันว่า โครงการรับจำนำข้าวไม่ขัดต่อหลักการ WTO และไม่ส่งผลกระทบด้านราคาจนทำให้ประเทศผู้ส่งออกข้าวรายอื่นสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน เนื่องจากไทยไม่ได้ขายข้าวในราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาด แต่กลับส่งผลให้ประเทศเหล่านั้นสามารถขายข้าวได้มากขึ้นเนื่องจากราคาถูกกว่าโดยเปรียบเทียบ

Equity Market

• SET Index ปรับตัวอยู่ในแดนลบตามตลาดต่างประเทศจากการที่นักลงทุนยังคงมีความกังวลต่อปัจจัยต่างประเทศเรื่อง Fiscal Cliff ของสหรัฐฯ การแก้ปัญหาหนี้ยุโรป รวมถึงปัจจัยทางการเมืองในประเทศที่จะมีการชุมนุมทางการเมือง โดยไปปิดที่ 1,274.02 จุด ลดลง 5.27 จุด หรือ -0.41% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 35,355.86 ล้านบาท และนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1,331.01 ล้านบาท

Fixed Income Market

• อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลเปลี่ยนแปลง -0.03% ถึง -0.01% จากการเข้าซื้อพันธบัตรระยะสั้นและยาวของต่างชาติ สำหรับวันนี้มีการประมูลพันธบัตร ธปท. 14 วัน 35,000 ล้านบาท

Gold Corner

• สภาทองคำโลกรายงานว่า อุปสงค์ทองคำทั่วโลกในไตรมาส 3 ลดลง 11% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว จนมาอยู่ที่ 1,084.6 ตัน โดยมีเหตุหลักจากปริมาณการใช้ทองคำในจีนที่ลดน้อยลงท่ามกลางเศรษฐกิจที่ชะลอตัว อย่างไรก็ตาม อุปสงค์ในทองคำของจีนมีแนวโน้มดีขึ้นในไตรมาส 4 เนื่องจากเป็นเทศกาลเฉลิมฉลองซึ่งจีนนิยมให้ทองเป็นของขวัญแก่กัน

Guru Corner : Marc Faber

ทุกรัฐบาลในประวัติศาสตร์มาจนถึงทุกวันนี้ควบคุมประชาชนได้ด้วยการทำให้คนต้องพึ่งการให้อย่างใจกว้างของรัฐ รัฐบาลจึงเพิ่มจำนวนคนที่ต้องพึ่งพาผลประโยชน์ที่รัฐให้ ด้วยการให้ที่มากขึ้นไปเรื่อยๆ และขยายการให้ไปยังกลุ่มคนที่มีจำนวนเพิ่มขึ้น

ของฟรีพวกนี้แหละที่ทำให้ประชาชนถูกมอมเมาจนยอมให้รัฐบาลมีขนาดใหญ่ขึ้นทุกทีเมื่อเทียบกับขนาดเศรษฐกิจทั้งหมด (หมายถึงสัดส่วนการใช้จ่ายภาครัฐ)

คนรับเชื่อในเรื่องของฟรี และนักธุรกิจใหญ่ๆ คนระดับบนๆ ก็รู้ว่าจะทำกำไรได้มหาศาลเพียงใดจากการเติบโตของรัฐบาล แล้วในที่สุดมันก็จะถึงจุดที่ระบบพี่เลี้ยงเด็กจะเลี้ยงทารกไม่ไหวแล้ว และการจะขึ้นภาษีเพื่อนำเงินมาแจกของฟรีอีกก็เป็นปัญหา

แต่โชคดีของหลายๆ รัฐบาล ที่มีกระทรวงการคลัง และ/หรือ ธนาคารกลางที่พิมพ์เงินออกมาช่วย

ผมคิดว่าในที่สุดระบบการเงินของทั้งโลกจะต้องถูก Reset ใหม่ ซึ่งไม่ใช่โดยธนาคารกลาง แต่จะโดน Reset ด้วยตลาดอัตราแลกเปลี่ยน หรือตลาดพันธบัตร หรือตลาดหุ้น ที่แตกระเบิด มันจะเกิดขึ้นแน่ๆ ในวันหนึ่งข้างหน้า และเมื่อถึงเวลานั้นเราจะโชคดีเอามากๆ ถ้ามูลค่าของสินทรัพย์ที่เราถืออยู่นี้มีค่าเหลือถึงครึ่งหนึ่งของมูลค่ามันในวันนี้ แล้วจะมีความเจ็บปวดเกิดขึ้น มันจะเจ็บปวดมาก

คำถามก็คือ เราจะยอมรับความเจ็บปวดที่น้อยกว่าในวันนี้ด้วยการรัดเข็มขัด หรือเราจะขอเสี่ยงต่อด้วยการเลื่อนปัญหาออกไปเพื่อไปเจอกับสภาพที่ทั้งสังคมจะล่มสลายอย่างสมบูรณ์ แบบภายใน 5 ถึง 10 ปีข้างหน้า

แต่น่าเศร้าใจที่ด้วยระบอบประชาธิปไตยนั้นคนไม่ยอมรับความเจ็บปวดในวันนี้ เขาจะปัดสวะไปให้พ้นๆ แล้วเราก็จะพบกับปัญหาที่มีแต่จะสะสมจนใหญ่ขึ้นไปทุกที และหนักหนาสาหัสจนเกินจะแก้ไขได้

ผมไม่คิดว่าที่ตลาดหุ้นตกในช่วงนี้เป็นเพราะปัญหากรีซ หรือ Fiscal Cliff เพราะมันจะไม่เกิด Fiscal Cliff ที่หุ้นตกเป็นเพราะว่าผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนจะเริ่มแย่ลงกว่าที่คนคาดไว้ เศรษฐกิจโลกปีหน้าจะขยายตัวได้ยากหรืออาจจะถึงขั้นติดลบ นั่นละคือเหตุผลที่ผมมองว่าดัชนี S&P จะตกจากจุดสูง 1,470 จุดในเดือนกันยายนปีนี้ลงมาได้อีกอย่างน้อย 20%”


กำลังโหลดความคิดเห็น