■ดัชนีราคาผู้บริโภคของฝรั่งเศสเดือน ต.ค.เพิ่มขึ้น 0.2% จากเดือนก่อน โดยส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการปรับขึ้นของราคายาสูบและมีแรงหนุนจากการปรับราคาอาหารสด
■อัตราว่างงานในอังกฤษลดลงสู่ 7.8% ในไตรมาส 3 จาก 8% ในไตรมาส 2 โดยมีผู้ตกงาน 2.51 ล้านคนในไตรมาส 3 ลดลง 49,000 คนจากไตรมาส 2 ซึ่งเป็นสัญญาณดีขึ้นแต่ยังไม่น่าพอใจ รัฐบาลจึงยังต้องทำงานหนักเพื่อให้ประชาชนกลับมามีงานทำอีกครั้ง
■ดัชนีราคาผู้ผลิตของสหรัฐฯ เดือน ต.ค.ลดลง 0.2% จากเดือน ก.ย. โดยเป็นการลดลงครั้งแรกในรอบ 5 เดือน จากราคารถยนต์และราคาพลังงานที่อ่อนแรงลง ส่วนราคาอาหารยังปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง
■ยอดค้าปลีกของสหรัฐฯ เดือน ต.ค.ลดลงเกินคาดถึง 0.3% จากผลกระทบของเฮอริเคนแซนดีที่ทำให้ร้านค้าปลีกหลายแห่งต้องปิดและมียอดขายลดลง ทั้งนี้ นักวิเคราะห์คาดว่าเดือน พ.ย.จะฟื้นตัวเนื่องจากผู้ได้รับผลกระทบจากพายุจะกลับมาซื้อเครื่องใช้ในบ้านและเสื้อผ้ามากขึ้น (ยอดค้าปลีกเป็นมาตรวัดการใช้จ่ายผู้บริโภคที่สำคัญอย่างหนึ่ง และมีสัดส่วน 2 ใน 3 ของอุปสงค์ทางเศรษฐกิจ)
■ก.การคลังสหรัฐฯ เปิดเผยว่า รัฐบาลกลางขาดดุลงบประมาณ 120 พันล้านดอลลาร์ในเดือน ต.ค. เพิ่มขึ้น 22% โดยมีรายได้ 184.3 พันล้านดอลลาร์ และมีรายจ่าย 304.3 พันล้านดอลลาร์
■ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน พ.ย.ของออสเตรเลียเพิ่มขึ้นสู่ 104.3 จาก 99.2 ในเดือน ต.ค. แตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือน เม.ย.ปีก่อน เนื่องจากผู้บริโภคเริ่มมีมุมมองที่ดีขึ้นต่อแนวโน้มเศรษฐกิจโลกและออสเตรเลียในช่วง 12 เดือนข้างหน้า และจากการที่ ธ.กลางออสเตรเลียลดอัตราดอกเบี้ยไปหลายครั้ง (ดัชนีที่สูงกว่า 100 แสดงว่าผู้บริโภคมีมุมมองเชิงบวกต่อเศรษฐกิจ)
■รายได้การคลังของจีนเดือน ต.ค.เพิ่มขึ้น 13.7% สู่ 1.0444 ล้านล้านหยวน สูงกว่าเดือน ก.ย.ที่ 11.9% เป็นผลมาจากเศรษฐกิจที่มีเสถียรภาพและตัวเลขฐานในระดับต่ำในปีที่แล้ว
■รองประธานาธิบดี ซื่อ จินผิง และรองนายกรัฐมนตรี หลี่ เค่อเฉียง ของจีนได้รับการแต่งตั้งให้กลับเข้าดำรงตำแหน่งในพรรคคอมมิวนิสต์ เพื่อปูทางสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีและนายกรัฐมนตรีคนต่อไป
■ยอดเกินดุลการค้าเดือน ต.ค.ของเกาหลีใต้เพิ่มขึ้น 3.73 พันล้านดอลลาร์ จาก 2.91 พันล้านดอลลาร์ในเดือน ก.ย. เป็นผลจากจีนมีความต้องการสินค้าอย่างแข็งแกร่ง ทำให้การส่งออกดีดตัวขึ้น ขณะที่การส่งออกไปยังกลุ่มอาเซียนและอียูก็เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ไอทีและอุปกรณ์สื่อสาร
■อัตราการว่างงานของเกาหลีใต้เดือน ต.ค.อยู่ที่ 2.8% ลดลง 0.1% จากเดือนก่อนหน้า จากการสร้างงานที่แข็งแกร่งของภาคการผลิต
■ดัชนีราคาผู้ผลิตของอินเดียเดือน ต.ค.อยู่ที่ 7.45% จาก 7.81%ในเดือนก่อนหน้า ต่ำสุดในรอบ 8 เดือนจากเศรษฐกิจที่ขยายตัวชะลอลง
■ธนาคารโลก สำนักงานประเทศไทย คาดการณ์ว่า GDP ปีหน้าจะเติบโต 5% โดยไทยจะฟื้นตัวได้อย่างเต็มที่หลังจากน้ำท่วมเมื่อปลายปีก่อน ส่วนการส่งออกจะขยายตัว 10-12% โดยผู้ประกอบการขยายฐานลูกค้าไปยังตลาดใหม่มากขึ้น และตลาดในประเทศคู่ค้าหลักก็ยังเติบโตได้ดี และคาดว่าอัตราเงินเฟ้อปีหน้าจะอยู่ที่ 3% เนื่องจากแรงกดดันจากราคาน้ำมันโลกลดลงตามความต้องการใช้น้ำมันโลกที่ชะลอตัวลงตามสภาพเศรษฐกิจ
■โตโยต้ามอเตอร์เรียกคืนรถยนต์รุ่น Prius Hybrid, Corolla Wish และรุ่นที่ผลิตในญี่ปุ่นระหว่างปี 2000 ถึงปีก่อน รวม 2.77 ล้านคันทั่วโลก เพราะพบข้อบกพร่องที่เพลาล้อซึ่งอาจก่อให้เกิดการทำงานผิดพลาด
■ธปท.เปิดเผยว่า แม้กระแสเงินทุนมีแนวโน้มไหลเข้าไทย แต่เชื่อว่ายังไม่กระทบต่อค่าเงินบาทและราคาหุ้นมากนัก เนื่องจากเศรษฐกิจของไทยและภูมิภาคแม้จะยังขยายตัวแต่ก็อยู่ในอัตราที่ชะลอตัวลง ทำให้โอกาสในการหาประโยชน์จากการลงทุนลดน้อยลง
■ผบ.ตร.เตรียมเสนอให้รัฐบาลประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ เพื่อดูแลการชุมนุมของกลุ่มองค์การพิทักษ์สยาม ซึ่งทราบว่าได้รับทุนสนับสนุนจากกลุ่มทุน 6,000 ล้านบาทให้ล้มล้างรัฐบาล
■ธปท.รายงานว่า ยอดสินเชื่อส่วนบุคคล ณ สิ้นเดือน ก.ย. มีจำนวน 9.53 ล้านบัญชี พุ่งขึ้นถึง 2.4 แสนล้านบาท โดยมียอดค้างชำระเกิน 3 เดือนทะยานขึ้นถึง 37.8% เมื่อเทียบกับปีก่อน
■SET Index ยังคงแกว่งตัวต่อเนื่องต่อจากเมื่อวานนี้ โดยผู้ลงทุนยังมีความกังวลต่อปัจจัยต่างประเทศเรื่องการแก้ปัญหา Fiscal Cliff ของสหรัฐฯ และการแก้ปัญหาหนี้ยุโรป โดยไปปิดที่ 1,279.29 จุด ลดลง 9.78 จุด หรือ 0.76% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 33,522.72 ล้านบาท ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิวันนี้ 1,568.70 ล้านบาท
■ช.การช่างได้เป็นผู้รับจ้างก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ โดย รฟม.คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ต้นปีหน้า 2556 และจะเปิดให้บริการได้ในปี 2560
■กรรมการและผู้จัดการ ตลท.ระบุว่า เศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวได้ในไตรมาส 2 ปีหน้าโดยอาศัยการเติบโตของกลุ่ม BRIC เป็นตัวขับเคลื่อน ส่วน บล.ทิสโก้มองว่าสหรัฐฯ จะฟื้นตัวได้ในปลายปีหน้า และยังขยายตัวได้ 2-3% โดยจะพ้นจากปัญหาเศรษฐกิจถดถอยได้เพราะราคาบ้านเริ่มดีขึ้น ว่างงานลดลง และ Fiscal Cliff เป็นเพียงตัวถ่วงต่อเศรษฐกิจเท่านั้น ส่วนยุโรปหลายประเทศฐานะยังไม่ดีขึ้น ต้องใช้เวลาแก้ไข และจีนถึงจุดต่ำสุดแล้วโดยจะเติบโตดีขึ้นจนขยายตัวได้ถึง 8% ส่วน GDP ไทยปีนี้ขยายตัว 5.5% และปีหน้า 4.5% โดยส่งออกจะขยายตัวได้ 7% จาก 5% ในปีนี้เพราะเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าปรับตัวดีขึ้น
■อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลเปลี่ยนแปลงในช่วงระหว่าง 0.00% ถึง 0.10% โดยผลตอบแทนของรุ่นอายุมากกว่า 7 ปีเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน