โดย วรวรรณ ธาราภูมิ
และทีมจัดการกองทุน บลจ.บัวหลวง
•อัตราการว่างงานของอังกฤษช่วงเดือน มิ.ย.-ส.ค. แตะระดับต่ำสุดในรอบ 15 เดือน มาอยู่ที่ 7.9% จากเดิม 8.1% โดยเป็นผู้ว่างงาน 2.53 ล้านคน ลดลง 50,000 คนจาก 3 เดือนก่อนหน้า ส่วนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานลดลง 4,000 คน จากเดือน ส.ค. ซึ่งเป็นผลมาจากกีฬาโอลิมปิกทำให้มีการจ้างงานเพิ่มขึ้น
•เยอรมนีปรับลดคาดการณ์ GDP ปี 2013 จาก 1.6% เหลือ 1.0% เนื่องจากภาคการส่งออกได้รับผลกระทบจากวิกฤตหนี้ยุโรป รวมถึงความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจและภาคครัวเรือนลดลง ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจในปีนี้ก็ชะลอตัวลง
•ดัชนีความแข็งแกร่งของฐานะการเงินออสเตรเลียเพิ่มขึ้นสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2010 สู่ 109.0 จาก 105.6 ในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา เนื่องจากภาคครัวเรือนมีการออมมากขึ้นและหนี้สินลดลง
•ตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านของสหรัฐฯ เดือน ก.ย. เพิ่มขึ้น 15% สู่ 872,000 ยูนิต ขยายตัวเร็วที่สุดในรอบกว่า 4 ปี ส่งสัญญาณว่าภาคอสังหาริมทรัพย์ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง โดยการเริ่มสร้างบ้านสำหรับครอบครัวเดี่ยวเพิ่มขึ้น 11% ไปอยู่ที่ 603,000 ยูนิต ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือน ส.ค. 2551 ส่วนการเริ่มสร้างบ้านสำหรับครอบครัวขยายเพิ่มขึ้น 25.1%
•นักเศรษฐศาสตร์จากแบงก์ออฟคอมมิวนิเคชันส์ของจีนคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจจีนจะฟื้นตัวในช่วง 3 เดือนสุดท้ายของปีนี้ ซึ่งเป็นผลจากการเพิ่มสต๊อกของบริษัทต่างๆ จากการฟื้นตัวในตลาดต่างประเทศ และจากอัตราการลงทุนที่ฟื้นตัว ส่วนการส่งออกในไตรมาส 4 จะทำได้ดีกว่าช่วงครึ่งแรกของปีนี้จากความต้องการของตลาดต่างประเทศ รวมถึงนโยบายกระตุ้นการค้าของจีน และยอดส่งออกที่เพิ่มขึ้นตามฤดูกาลในช่วงใกล้สิ้นปี
•ยอดการใช้ไฟฟ้าของจีนเดือน ก.ย.ขยายตัวลดลงเหลือ 2.9% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า เนื่องจากกิจกรรมและผลผลิตภาคอุตสาหกรรมอ่อนแอมากขึ้น และภาวะเศรษฐกิจอยู่ในช่วงขาลง
•นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นสั่งให้กระทรวงต่างๆ ร่างแผนเศรษฐกิจครั้งใหม่เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่ซบเซาและกระตุ้นความต้องการภายในประเทศให้ฟื้นตัวอย่างมีเสถียรภาพอีกครั้ง ก่อนจะขึ้นภาษีการบริโภคในปี 2557-2558 ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่อาจกดดันการขยายตัวทางเศรษฐกิจ หลังเจอผลกระทบเชิงลบจากเงินเยนที่แข็งค่าและภาวะขาลงของโลกจากวิกฤตหนี้สาธารณะในยุโรป
•ธปท.เตรียมลดเป้าหมายการขยายตัว GDP ปี 2556 ลงจากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัว 7% หลังจากประเมินว่าเศรษฐกิจโลกมีความไม่แน่นอนสูงขึ้น และอาจส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกในภูมิภาค รวมถึงประเทศไทย ซึ่งจะส่งผลชัดเจนมากขึ้นในปีหน้า
Equity Market
•SET Index ปิดที่ 1,301.28 จุด เพิ่มขึ้น 13.79 จุด หรือ 1.07% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 38,029 ล้านบาท และนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 556 ล้านบาท โดยดัชนีเคลื่อนไหวทิศทางเดียวกับตลาดในภูมิภาคที่คลายความกังวลต่อวิกฤตหนี้สาธารณะในยูโรโซน และตอบรับ กนง.ที่ลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% เพื่อกระตุ้นการส่งออกและอุปสงค์ในประเทศ
•ดร.สมจินต์ ศรไพศาล นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน กล่าวว่า เงินลงทุนต่างประเทศยังคงไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น และจะไม่ไหลออกแม้ค่า P/E ตลาดหุ้นไทยจะอยู่ที่ 14 เท่า เพราะหากมองในปีหน้าจะอยู่ที่ 12 เท่า มีผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ 3.5% จึงยังไม่แพง และผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนไทยก็เติบโตดี
•สมชาย เอนกทวีผล ผอ.ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวว่า ตลาดยังรอปัจจัยใหม่และคาดหวังกับการประชุมอียู 18-19 ต.ค.นี้ โดยเฉพาะความคืบหน้าของสเปนและกรีซ ส่วนการลดอัตราดอกเบี้ยไทยจะเป็นผลบวกต่อกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ เช่าซื้อ และยานยนต์
•ตลาดหุ้นไทยและฟิลิปปินส์อาจให้ผลตอบแทนสูงสุดในอาเซียนปีนี้ เนื่องจากการเมืองที่คลี่คลายช่วยทำให้บรรยากาศการลงทุนดีขึ้น โดยดัชนี PSE ปรับขึ้นมาแล้ว 29% ขณะที่ SET ปรับเพิ่มขึ้น 33% ส่วนดัชนี MSCI ภูมิภาคอาเซียนเพิ่มขึ้นเพียง 2%
•ในไตรมาส 3 Goldman Sachs ธนาคารใหญ่อันดับ 5 ของสหรัฐฯ มีกำไรสุทธิ 1.51 พันล้านดอลลาร์ หรือ 2.85 ดอลลาร์ต่อหุ้น ในขณะที่ช่วงดียวกันของปีที่แล้วขาดทุน โดยสาเหตุหลักมาจากรายได้จากอัตราแลกเปลี่ยนและการค้าสินค้าโภคภัณฑ์ที่สูงขึ้นถึง 28%
•AIS, DTAC, TRUE จะเปิดขาย iphone 5 พร้อมกันในวันที่ 2 พ.ย.นี้ โดยทั้ง 3 ค่ายใหญ่ได้เตรียมระบบรับจอง รวมทั้งจองสถานที่สำหรับเปิดตัวไว้เรียบร้อยแล้ว
Fixed Income Market
•กนง.ลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% จากเดิม 3.00% เหลือ 2.75% โดยยืนยันว่าไม่ได้ส่งสัญญาณไปยังตลาดเงินว่าอัตราดอกเบี้ยเป็นขาลงหรือขาขึ้น แต่ลดลงเนื่องจากจะใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายเพื่อรองรับความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลก และรักษาแรงส่งของอุปสงค์ในประเทศที่อาจจะอ่อนแรงลงในระยะต่อไปเป็นหลัก
•อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลเปลี่ยนแปลงอยู่ระหว่าง -0.11% ถึง -0.22% สำหรับวันนี้มีการประมูลพันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย อายุ 2 ปี วงเงิน 40,000 ล้านบาท
•นิวัฒน์ กาญจนภูมินทร์ กรรมการผู้จัดการสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย กล่าวว่า การที่ กนง.ลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นเนื่องจากต้องการทำให้เงินบาทอ่อนลงเพื่อกระตุ้นยอดส่งออกจากปัจจุบันที่ติดลบ และจะไม่ทำให้เงินไหลออกเนื่องจากอัตราดอกเบี้ยของไทยที่ 2.75% ยังสูงกว่าดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ซึ่งเป็น 0.25% อยู่ 2.25% จึงคาดว่าเม็ดเงินต่างประเทศจะยังคงไหลเข้ามาลงทุนระยะสั้นในตลาดหุ้นไทยอยู่ ซึ่งจะได้รับผลตอบแทนค่าเงินบาทอีกด้วย ทั้งนี้ คาดว่าปีนี้ต่างชาติจะซื้อสุทธิตราสารหนี้ไทยกว่า 3 แสนล้านบาทเพราะมีเงินจำนวนมากจากมาตรการ QE ของสหรัฐฯ โดยปัจจุบันนี้ได้ซื้อตราสารหนี้ไทยสุทธิรวม 2.9 แสนล้านบาท ซึ่งสูงกว่าหลายปีที่ผ่านมา และถือครองตราสารหนี้ไทย 7.1 แสนล้านบาท แบ่งเป็นตราสารหนี้ระยะยาว 63% หรือประมาณ 4 แสนล้านบาท และเป็นตราสารหนี้ระยะสั้น 27% ทั้งนี้ มองแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยระยะยาวว่าจะอยู่ที่ 3.5% และระยะสั้นในปีหน้าคงจะมีการปรับตัวลดลงไม่มากจากปีนี้ หากไม่มีสถานการณ์รุนแรงเกิดขึ้นในเรื่องวิกฤตยุโรป และอเมริกา ฯลฯ
และทีมจัดการกองทุน บลจ.บัวหลวง
•อัตราการว่างงานของอังกฤษช่วงเดือน มิ.ย.-ส.ค. แตะระดับต่ำสุดในรอบ 15 เดือน มาอยู่ที่ 7.9% จากเดิม 8.1% โดยเป็นผู้ว่างงาน 2.53 ล้านคน ลดลง 50,000 คนจาก 3 เดือนก่อนหน้า ส่วนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานลดลง 4,000 คน จากเดือน ส.ค. ซึ่งเป็นผลมาจากกีฬาโอลิมปิกทำให้มีการจ้างงานเพิ่มขึ้น
•เยอรมนีปรับลดคาดการณ์ GDP ปี 2013 จาก 1.6% เหลือ 1.0% เนื่องจากภาคการส่งออกได้รับผลกระทบจากวิกฤตหนี้ยุโรป รวมถึงความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจและภาคครัวเรือนลดลง ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจในปีนี้ก็ชะลอตัวลง
•ดัชนีความแข็งแกร่งของฐานะการเงินออสเตรเลียเพิ่มขึ้นสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2010 สู่ 109.0 จาก 105.6 ในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา เนื่องจากภาคครัวเรือนมีการออมมากขึ้นและหนี้สินลดลง
•ตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านของสหรัฐฯ เดือน ก.ย. เพิ่มขึ้น 15% สู่ 872,000 ยูนิต ขยายตัวเร็วที่สุดในรอบกว่า 4 ปี ส่งสัญญาณว่าภาคอสังหาริมทรัพย์ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง โดยการเริ่มสร้างบ้านสำหรับครอบครัวเดี่ยวเพิ่มขึ้น 11% ไปอยู่ที่ 603,000 ยูนิต ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือน ส.ค. 2551 ส่วนการเริ่มสร้างบ้านสำหรับครอบครัวขยายเพิ่มขึ้น 25.1%
•นักเศรษฐศาสตร์จากแบงก์ออฟคอมมิวนิเคชันส์ของจีนคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจจีนจะฟื้นตัวในช่วง 3 เดือนสุดท้ายของปีนี้ ซึ่งเป็นผลจากการเพิ่มสต๊อกของบริษัทต่างๆ จากการฟื้นตัวในตลาดต่างประเทศ และจากอัตราการลงทุนที่ฟื้นตัว ส่วนการส่งออกในไตรมาส 4 จะทำได้ดีกว่าช่วงครึ่งแรกของปีนี้จากความต้องการของตลาดต่างประเทศ รวมถึงนโยบายกระตุ้นการค้าของจีน และยอดส่งออกที่เพิ่มขึ้นตามฤดูกาลในช่วงใกล้สิ้นปี
•ยอดการใช้ไฟฟ้าของจีนเดือน ก.ย.ขยายตัวลดลงเหลือ 2.9% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า เนื่องจากกิจกรรมและผลผลิตภาคอุตสาหกรรมอ่อนแอมากขึ้น และภาวะเศรษฐกิจอยู่ในช่วงขาลง
•นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นสั่งให้กระทรวงต่างๆ ร่างแผนเศรษฐกิจครั้งใหม่เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่ซบเซาและกระตุ้นความต้องการภายในประเทศให้ฟื้นตัวอย่างมีเสถียรภาพอีกครั้ง ก่อนจะขึ้นภาษีการบริโภคในปี 2557-2558 ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่อาจกดดันการขยายตัวทางเศรษฐกิจ หลังเจอผลกระทบเชิงลบจากเงินเยนที่แข็งค่าและภาวะขาลงของโลกจากวิกฤตหนี้สาธารณะในยุโรป
•ธปท.เตรียมลดเป้าหมายการขยายตัว GDP ปี 2556 ลงจากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัว 7% หลังจากประเมินว่าเศรษฐกิจโลกมีความไม่แน่นอนสูงขึ้น และอาจส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกในภูมิภาค รวมถึงประเทศไทย ซึ่งจะส่งผลชัดเจนมากขึ้นในปีหน้า
Equity Market
•SET Index ปิดที่ 1,301.28 จุด เพิ่มขึ้น 13.79 จุด หรือ 1.07% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 38,029 ล้านบาท และนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 556 ล้านบาท โดยดัชนีเคลื่อนไหวทิศทางเดียวกับตลาดในภูมิภาคที่คลายความกังวลต่อวิกฤตหนี้สาธารณะในยูโรโซน และตอบรับ กนง.ที่ลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% เพื่อกระตุ้นการส่งออกและอุปสงค์ในประเทศ
•ดร.สมจินต์ ศรไพศาล นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน กล่าวว่า เงินลงทุนต่างประเทศยังคงไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น และจะไม่ไหลออกแม้ค่า P/E ตลาดหุ้นไทยจะอยู่ที่ 14 เท่า เพราะหากมองในปีหน้าจะอยู่ที่ 12 เท่า มีผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ 3.5% จึงยังไม่แพง และผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนไทยก็เติบโตดี
•สมชาย เอนกทวีผล ผอ.ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวว่า ตลาดยังรอปัจจัยใหม่และคาดหวังกับการประชุมอียู 18-19 ต.ค.นี้ โดยเฉพาะความคืบหน้าของสเปนและกรีซ ส่วนการลดอัตราดอกเบี้ยไทยจะเป็นผลบวกต่อกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ เช่าซื้อ และยานยนต์
•ตลาดหุ้นไทยและฟิลิปปินส์อาจให้ผลตอบแทนสูงสุดในอาเซียนปีนี้ เนื่องจากการเมืองที่คลี่คลายช่วยทำให้บรรยากาศการลงทุนดีขึ้น โดยดัชนี PSE ปรับขึ้นมาแล้ว 29% ขณะที่ SET ปรับเพิ่มขึ้น 33% ส่วนดัชนี MSCI ภูมิภาคอาเซียนเพิ่มขึ้นเพียง 2%
•ในไตรมาส 3 Goldman Sachs ธนาคารใหญ่อันดับ 5 ของสหรัฐฯ มีกำไรสุทธิ 1.51 พันล้านดอลลาร์ หรือ 2.85 ดอลลาร์ต่อหุ้น ในขณะที่ช่วงดียวกันของปีที่แล้วขาดทุน โดยสาเหตุหลักมาจากรายได้จากอัตราแลกเปลี่ยนและการค้าสินค้าโภคภัณฑ์ที่สูงขึ้นถึง 28%
•AIS, DTAC, TRUE จะเปิดขาย iphone 5 พร้อมกันในวันที่ 2 พ.ย.นี้ โดยทั้ง 3 ค่ายใหญ่ได้เตรียมระบบรับจอง รวมทั้งจองสถานที่สำหรับเปิดตัวไว้เรียบร้อยแล้ว
Fixed Income Market
•กนง.ลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% จากเดิม 3.00% เหลือ 2.75% โดยยืนยันว่าไม่ได้ส่งสัญญาณไปยังตลาดเงินว่าอัตราดอกเบี้ยเป็นขาลงหรือขาขึ้น แต่ลดลงเนื่องจากจะใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายเพื่อรองรับความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลก และรักษาแรงส่งของอุปสงค์ในประเทศที่อาจจะอ่อนแรงลงในระยะต่อไปเป็นหลัก
•อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลเปลี่ยนแปลงอยู่ระหว่าง -0.11% ถึง -0.22% สำหรับวันนี้มีการประมูลพันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย อายุ 2 ปี วงเงิน 40,000 ล้านบาท
•นิวัฒน์ กาญจนภูมินทร์ กรรมการผู้จัดการสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย กล่าวว่า การที่ กนง.ลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นเนื่องจากต้องการทำให้เงินบาทอ่อนลงเพื่อกระตุ้นยอดส่งออกจากปัจจุบันที่ติดลบ และจะไม่ทำให้เงินไหลออกเนื่องจากอัตราดอกเบี้ยของไทยที่ 2.75% ยังสูงกว่าดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ซึ่งเป็น 0.25% อยู่ 2.25% จึงคาดว่าเม็ดเงินต่างประเทศจะยังคงไหลเข้ามาลงทุนระยะสั้นในตลาดหุ้นไทยอยู่ ซึ่งจะได้รับผลตอบแทนค่าเงินบาทอีกด้วย ทั้งนี้ คาดว่าปีนี้ต่างชาติจะซื้อสุทธิตราสารหนี้ไทยกว่า 3 แสนล้านบาทเพราะมีเงินจำนวนมากจากมาตรการ QE ของสหรัฐฯ โดยปัจจุบันนี้ได้ซื้อตราสารหนี้ไทยสุทธิรวม 2.9 แสนล้านบาท ซึ่งสูงกว่าหลายปีที่ผ่านมา และถือครองตราสารหนี้ไทย 7.1 แสนล้านบาท แบ่งเป็นตราสารหนี้ระยะยาว 63% หรือประมาณ 4 แสนล้านบาท และเป็นตราสารหนี้ระยะสั้น 27% ทั้งนี้ มองแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยระยะยาวว่าจะอยู่ที่ 3.5% และระยะสั้นในปีหน้าคงจะมีการปรับตัวลดลงไม่มากจากปีนี้ หากไม่มีสถานการณ์รุนแรงเกิดขึ้นในเรื่องวิกฤตยุโรป และอเมริกา ฯลฯ