xs
xsm
sm
md
lg

ดัชนีชีวิตที่ดีกว่า (Better Life Index) : ตัวชี้วัดใหม่ของการพัฒนา

เผยแพร่:   โดย: ประสาท มีแต้้ม

​ในขณะนี้ประเทศไทยของเรากำลังมีโครงการที่เรียกว่า “พัฒนา” จำนวนเยอะมากกระจายอยู่ทั่วทุกภาคของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ภาคใต้ของประเทศที่เป็นทางผ่านเชื่อมต่อไปสู่ประเทศต่างๆ ทั่วทุกภูมิภาคของโลกอีกจำนวนมาก คนส่วนใหญ่อาจจะรู้สึกยินดีกับโครงการดังกล่าว เพราะพวกเขาได้รับการโฆษณาหรือล้างสมองให้ยอมรับมาอย่างต่อเนื่อง แต่ถ้าเรารู้จักตั้งคำถามว่า “พัฒนา” คืออะไรและจะวัดผลสำเร็จของการพัฒนาดังกล่าวด้วยอะไรหรือตัวชี้วัดด้วยดัชนีใด คราวนี้แหละ ความเห็นของคนส่วนใหญ่อาจเริ่มแตกต่างกันออกไป

​ถ้าเราไปดูรายงานการศึกษา การพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้ ซึ่งจัดทำโดยสภาพัฒน์ (19 ธันวาคม 2554) เราจะพบว่า การพัฒนามีความหมายเพียงแค่ “การก่อสร้าง” ไม่ว่าจะเป็นท่าเรือน้ำลึก ถนน นิคมอุตสาหกรรม โรงไฟฟ้า เขื่อน และนิคมอุตสาหกรรมปิโตรเคมี เป็นต้น

​ผมลองให้คอมพิวเตอร์ค้นหาคำว่า “คุณภาพชีวิต” ในรายงาน (ขนาด 49 หน้า) ฉบับนี้ พบว่ามีอยู่ 4 ที่ สองที่เป็นคำในรัฐธรรมนูญ (ซึ่งไม่เกี่ยวแผนการพัฒนา) อีกสองที่เป็นแค่การ “พึมพำ” ถึงคุณภาพชีวิตของคนในเขตชายแดน คือกล่าวไปอย่างนั้นแหละ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันที่จะพัฒนาคุณภาพชีวิต

​แม้ในตอนท้ายของรายงานฉบับนี้ได้เสนอทิศทางในการพัฒนาไว้ 3 กรณี แต่ก็ยังหนีไม่พ้นข้อสรุปที่ว่า “การพัฒนาคือการก่อสร้างวัตถุ” ที่ประกอบด้วยอิฐ หิน ปูนทราย เหล็กและน้ำมันเท่านั้น แต่ไม่ให้ความสนใจในด้านความรู้สึกนึกคิดที่เป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนามนุษย์ที่ทำให้คนแตกต่างจากสัตว์หรือต้นหมากรากไม้เลย

​คราวนี้มาถึงเรื่อง ตัวชี้วัดผลของการพัฒนาบ้าง

​ประเทศไทยเราก็เหมือนกับประเทศอื่นๆ อีกเป็นจำนวนมากในโลกที่ถูกหลอกให้ใช้รายได้ประชาชาติ (หรือจีดีพี) และอัตราการเติบโตของจีดีพีเป็นตัวชี้วัด มาเป็นเวลานาน

​นายกรัฐมนตรีบางคนถึงกับสั่งให้เลขาธิการสภาพัฒน์ แก้ไขตัวเลขอัตราการเติบโตของจีดีพี เพราะเขาจะรู้สึกเสียหน้ามากหากทำได้ไม่ถึงเป้า

​โรเบิร์ต เอฟ เคนเนดี ได้แสดงความเห็นต่อเรื่องจีดีพีไว้ก่อนจะถูกลอบสังหาร (พ.ศ.2511) ในอีก 3 เดือนต่อมาว่า

“รายได้ประชาชาติไม่อาจวัดเรื่องสุขภาพ คุณภาพการศึกษา และความสนุกสนานในการเล่นของเด็กๆ ได้ จีดีพีไม่สามารถวัดความไพเราะของบทกวีหรือความยั่งยืนของชีวิตสมรส ไม่อาจวัดปัญญาของการถกเถียงในประเด็นสาธารณะ รวมถึงความซื่อสัตย์ของเจ้าหน้าที่ของรัฐได้ ไม่สามารถวัดเชาว์ปัญญา ความกล้าหาญ ภูมิปัญญาและการเรียนรู้ ความกรุณา ความเสียสละต่อประเทศของเรา ถ้าจะกล่าวโดยสรุปแล้ว จีดีพีวัดได้ทุกอย่างยกเว้นสิ่งที่ทำให้ชีวิตมีคุณค่า จีดีพีบอกเราทุกอย่างเกี่ยวกับอเมริกา ยกเว้นว่าทำไมเราจึงมีความภูมิใจในความเป็นอเมริกัน”

ผมคิดว่าในแง่หนึ่งเป็นความโชคดี โรเบิร์ต เคนเนดี ที่ถูกลอบสังหารเสียก่อน มิฉะนั้นคำปราศรัยที่ดีและแหลมคมเช่นนี้จะไม่มีใครจดจำนำมาอ้าง ผมคิดเอาเองนะครับว่า ถ้าเขามีชีวิตอยู่ต่อไป เขาคงไม่ได้ทำตามที่เขาพูด

ผมเคยชื่นชมกับคำปราศรัยของประธานาธิบดีบารัค โอบามา ในวันเข้ารับตำแหน่งสมัยแรก โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับนโยบายพลังงานและสันติภาพ จนคณะกรรมการรางวัลโนเบลต้องมอบรางวัลสาขาสันติภาพให้ด้วยเหตุผล (ที่เข้าใจได้ยาก) ว่า “ถึงยังไม่ได้ลงมือทำแต่ก็ถือว่ามีเจตนาที่ดี”

เราไม่เห็นว่า แนวคิดที่เป็นคำปราศรัยของ โรเบิร์ต เคนเนดี ได้มีผลในทางปฏิบัติของดัชนีชี้วัดความสำเร็จของการพัฒนาประเทศสหรัฐอเมริกาหรือประเทศในกลุ่มบริวาร แต่แนวคิดเดียวกันนี้ (ย้ำแนวคิดเดียวกัน ไม่ได้บอกว่าใครคิดก่อนคิดหลัง) กลับไปเป็นตัวชี้วัดของประเทศภูฏานครับ

ภูฏานใช้ดัชนีความสุขมวลรวมแห่งชาติ (Gross National Happiness จีเอ็นเอซ) เป็นตัวชี้วัดครับ โดยมีองค์ประกอบ 9 ด้านและมีน้ำหนักเป็นร้อยละกำกับ คือ (1) การใช้เวลาสำคัญที่สุดมีน้ำหนัก 13% (2) ความมีธรรมาภิบาล 12% ซึ่งโรเบิร์ต เคนเนดี ใช้คำว่าความซื่อสัตย์ของเจ้าหน้าที่รัฐ (3) ความเหนียวแน่นในวัฒนธรรม 12% (4) ความเข้มแข็งของชุมชน 12% (5) สุขภาพ 12% (6) สุขภาวะทางจิต 11% (7) มาตรฐานการครองชีพ 11% (8) ความสมบูรณ์ของระบบนิเวศ 10% และ (9) การศึกษาซึ่งมีน้ำหนักน้อยที่สุดคือ 7% เท่านั้น (แต่คนไทยยอมขายทุกอย่างเพื่อการศึกษา รวมถึงซื้อปริญญาบัตร)

ตัวชี้วัดการพัฒนาที่น่าสนใจอีกตัวหนึ่งมีชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า “Happy Planet Index” ซึ่งผมขออนุญาตแปลให้สอดคล้องกับความหมายที่แท้จริงว่า “ดัชนีความสุขร่วมกันของโลกและมนุษย์” ผู้คิดค้นดัชนีตัวนี้มาจากกลุ่มที่ชื่อว่า “The New Economics Foundation, NEF” (มูลนิธิเศรษฐกิจใหม่)

เป้าหมายของดัชนีตัวนี้ ต้องการให้มนุษย์ใช้ทรัพยากรธรรมชาติให้น้อยลง แต่มีความสุขเพิ่มขึ้นด้วย ขณะเดียวกันก็เพื่อให้โลกมีความสุขด้วย ไม่ใช่ล้างผลาญทรัพยากร ขุด เจาะ ไถ จนแหว่ง โล่ง เตียนไปทั่วโลก โดยไม่คำนึงถึงอนาคตของคนรุ่นลูกหลานว่าเขาจะอยู่กันได้อย่างไร

ดัชนีตัวนี้ สามารถเขียนเป็นสมการสั้นๆ ง่ายๆ ดังนี้คือ

​สาระสำคัญที่วัดความสุขร่วมกันของโลกมี 3 ส่วนคือ (1) ความมีอายุยืนยาวโดยวัดกันที่จำนวนปีที่ชีวิตมีความสุข ไม่ใช่เป็นคนพิการในช่วง 10 ปีสุดท้าย (2) ความพึงพอใจในชีวิตและ (3) จำนวนทรัพยากรที่ใช้

​โดยส่วนตัว ผมชอบดัชนีตัวนี้มากกว่าตัวอื่นๆ เพราะง่ายดีและคำนึงถึงทรัพยากรซึ่งสรุปว่า “เป็นอยู่ดีขึ้น ใช้สอยน้อยลง”

​ยังมีตัวชี้วัดอีกตัวหนึ่งครับ เป็นของกลุ่มประเทศที่มีชื่อย่อว่า “OECD (Organisation for Economic Co-operation and Development, องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา)” ซึ่งในปี 2554 มีสมาชิก 42 ประเทศ (ได้แก่ ออสเตรเลีย บราซิล ชิลี เดนมาร์ก กรีซ อิสราเอล ญี่ปุ่น เกาหลี นิวซีแลนด์ ตุรกี อังกฤษจนถึงสหรัฐอเมริกา) ประเทศไทยเราไม่ได้เป็นสมาชิกด้วย

​ผมไม่ทราบว่าเขาเอาจริงเอาจังกับดัชนีชี้วัดผลการพัฒนาตัวนี้มากน้อยแค่ไหน แต่เขาเรียกว่า “ดัชนีชีวิตที่ดีกว่า (Better Life Index)” โดยพิจารณาถึง 11 องค์ประกอบ คือ ที่อยู่อาศัย รายได้ งาน ชุมชน การศึกษา สิ่งแวดล้อม ความมีพันธะผูกพันของพลเมือง สุขภาพ ความพึงพอใจในชีวิต ความปลอดภัย และความสมดุลระหว่างงานกับชีวิต (Work-Life Balance) โดยแต่ละด้านมีคะแนนอยู่ระหว่าง 0 ถึง 10

​ในดัชนีชี้วัดตัวนี้มีสิ่งที่น่าสนใจหลายอย่าง แต่ในที่นี้ผมอยากจะนำมาเล่าเพียงบางอย่างเดียวนะครับ

​ประเทศกรีซ ซึ่งเราทราบกันดีแล้วว่ากำลังเกิดวิกฤตรุนแรง ในด้านความพอใจในชีวิตของประประชาชนได้ลดลงจาก 5.8 ในปี 2553 ลงเหลือเพียง 1.5 ในปี 2554 ในขณะที่ญี่ปุ่นได้ลดลงจาก 6.1 เหลือเพียง 3.9 (คงเนื่องจากสึนามิ) เกาหลีใต้เพิ่มจาก 6.1 เป็น 7.0 ข้างล่างนี้คือการจัดอันดับความพึงพอใจในชีวิตของกลุ่มสมาชิก ที่ต่ำที่สุดคือประเทศฮังการี (0) ในขณะที่ประเทศเดนมาร์กสูงที่สุด 10 คะแนนเต็ม

​ประเทศเกาหลีใต้น่าสนใจมากครับ ในช่วง 50 ปีมานี้ อายุเฉลี่ยของคนเกาหลีใต้เพิ่มขึ้นจากเดิมถึง 27.9 ปี มาอยู่ที่ 80.3 ปีในปี 2552 ซึ่งความมีอายุยืน (และมีความสุข) เป็นเป้าหมายที่สำคัญของการพัฒนาตามแนวคิดของกลุ่ม NEF ในขณะที่ญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกาเพิ่มมา 15 และ 8.2 ปี มาเป็น 83 (สูงที่สุด) และ 78 ปี ตามลำดับ

​น่าเสียดายที่ประเทศไทยเรา ไม่ค่อยได้คิดถึงเรื่องเหล่านี้กัน แต่ข้อมูลชิ้นหนึ่งต่อไปนี้คงจะบอกอะไรเราได้บ้าง แม้จะเป็นเพียงรายเดียวแต่ก็อาจจะสะท้อนภาพรวมได้

​ในขณะที่รัฐบาลไทยในยุคหลังนี้ได้หันไปใช้นโยบายประชานิยมกันมากขึ้นเพื่อเอาใจประชาชนพร้อมกับการก่อหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้น ได้ส่งผลให้จำเป็นต้องตัดงบสวัสดิการด้านสุขภาพกับคนบางกลุ่ม บางประเภท

​ข้าราชการบำนาญคนหนึ่งกินบำนาญเดือนละหมื่นกว่าบาท เธอป่วยเป็นโรคไวรัสตับอักเสบชนิดซีมาหลายปีแล้ว เดิมเธอได้รับการฉีดยาตัวหนึ่งค่ายาเข็มละ 5 พันบาท โดยไม่ต้องจ่ายเงิน แต่ในระยะหลังมีความจำเป็นต้องปรับยาตัวใหม่ ต้องฉีดสัปดาห์ละ 1 เข็มๆ ละ 1 หมื่นบาทรวม 48 เข็ม แต่ไม่สามารถเบิกจากงบสวัสดิการได้ ข่าวว่าเธอต้องประกาศขายที่ดิน

​สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับข้าราชการบำนาญท่านนี้ พี่ชายผมคนหนึ่งซึ่งเป็นข้าราชการบำนาญและป่วยเป็นโรคเดียวกันยืนยันว่า เมื่อ 10 ปีที่แล้วรัฐบาลไทยอนุญาตให้เบิกได้ นอกจากกรณีดังกล่าวแล้ว ยังมีเกิดขึ้นกับบุคคลอื่นที่ไม่ใช่กลุ่มข้าราชการด้วย

​นี่เป็นตัวชี้วัดดัชนีตัวหนึ่งที่บอกว่า ความไม่พอใจในชีวิตของคนไทยภายใต้ทิศทางการพัฒนาที่ผ่านมาได้ลดลงมาอีกระดับหนึ่งแล้วครับ

​และที่น่ากลัวกว่านั้น การล่มสลายของประเทศต่างๆ ที่ต้องพึ่งพิงตลาดต่างประเทศรวมทั้งตลาดหุ้นเป็นหลักนั้นสามารถพังได้ง่ายนิดเดียว เช่นเดียวกับประเทศกรีซที่พึ่งเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกไปได้ไม่นาน ระวังให้ดีนะจะบอกให้
กำลังโหลดความคิดเห็น