xs
xsm
sm
md
lg

จินตภาพการพัฒนาภาคใต้ : ต้องยั่งยืนและเป็นธรรม

เผยแพร่:   โดย: ประสาท มีแต้ม


​ผมได้รับเชิญให้บรรยายนำการเสวนาที่เกี่ยวกับสิทธิชุมชนกับแผนพัฒนาภาคใต้ หัวข้อที่ผมได้รับมอบหมายคือ “จินตภาพ นครศรีธรรมราชยั่งยืน” แต่เพื่อให้เหมาะกับท่านผู้อ่านทั่วไปและให้มีเนื้อหารัดคุมยิ่งขึ้น ผมจึงขอปรับมาเป็น “จินตภาพการพัฒนาภาคใต้ : ต้องยั่งยืนและเป็นธรรม”

​ขอเรียนตามตรงว่าเป็นหัวข้อที่ค่อนข้างยากสำหรับผม ทั้งๆ ที่ผมเป็นคนภาคใต้ แต่ที่ยากนั้นไม่ใช่เพราะไม่มีข้อมูล แต่เป็นเพราะแนวคิดและหลักการที่นำไปสู่ “จินตภาพ” ซึ่งมีผู้ให้ความหมายว่า “ภาพที่เกิดจากความนึกคิดหรือที่คิดว่าควรจะเป็นเช่นนั้น” เป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลาในการถกเถียงแลกเปลี่ยน

​ส่วนหนึ่งในความนึกคิดหรือจินตภาพของผมนั้นปรากฏอยู่แล้วในภาพข้างบนซึ่งถ่ายโดยคุณวันชัย พุทธทอง (ขอถือโอกาสขอบคุณด้วย)

​ผมชอบภาพนี้มาก เพราะนอกจากเยาวชนซึ่งเป็นตัวแทนของความยั่งยืนที่มีสีหน้าสดใสร่าเริงแล้ว ยังมีข้อความว่า “ปลาคือชีวิต (Fish for Life)” พวกเขาร่วมกันชูภาพนี้ขึ้นมาก็เพื่อที่จะแสดงจินตภาพของตนให้พวกพ่อค้าและนักการเมืองตลอดจนสาธารณะชนที่ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวว่า พ่อค้าพลังงานข้ามชาติกำลังจะมาขุดเจาะน้ำมันในพื้นที่ซึ่งเป็นแหล่งอาหารของพวกเขาตลอดจนคนทั่วไปที่กินปลาด้วย

​เหตุผลที่ผมต้องปรับเปลี่ยนหัวข้อมาเป็น “ต้องยั่งยืนและเป็นธรรม” ก็เพราะว่าการขุดเจาะปิโตรเลียมหรือน้ำมันดิบนั้นถือเป็นกิจกรรมหรือธุรกิจที่ “ไม่ยั่งยืนและไม่เป็นธรรม” เอาเสียเลย

​ภาคใต้เคยขุดดีบุกส่งออกมากเป็นอันดับสองของโลก (ยอดส่งออกรวม 1.5 ล้านตัน) ผู้ขุดเป็นบริษัทต่างชาติ นอกจากเจ้าของประเทศได้รับค่าภาคหลวงในราคาต่ำมากแล้ว เรายังถูกหลอกเอาแร่แทนทาลัมซึ่งปนมากับดีบุกไปด้วย ในวันนั้น (2522) เราขายปนกันไปในราคากิโลกรัมละประมาณ 30 บาท ในวันนี้แทนทาลัมอย่างเดียวกิโลกรัมละ 3 พันบาทถึง 1.5 หมื่นบาท ดีบุกกิโลกรัมละ 6 ร้อยบาท

​เมื่อชาวภูเก็ตโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่หาดป่าตอง (แหล่งท่องเที่ยวสำคัญของโลก) ได้ลุกขึ้นมาประท้วง รัฐมนตรีอุตสาหกรรมในขณะนั้นได้ออกมาต่อว่าชาวบ้านว่า “จะเก็บชายหาดไว้ให้ฝรั่งแก้ผ้าเดินกระนั้นหรือ!”

​นับว่าโชคดีมากที่เสียงเรียกร้องของชาวภูเก็ตและกระแสสังคมไทยในวันนั้นสามารถรักษาหาดป่าตองเอาไว้ได้ ปัจจุบันธุรกิจท่องเที่ยวทางธรรมชาติได้สร้างรายได้ให้กับประเทศจำนวนมหาศาล แม้รายได้จะกระจุกตัวอยู่กับเจ้าของธุรกิจขนาดใหญ่ แต่ชาวบ้านก็ยังสามารถสอดแทรกเข้าไปรับส่วนแบ่งได้บ้างระดับหนึ่ง

​ที่สำคัญมากกว่ารายได้ก็คือ ความยั่งยืนของทรัพยากรธรรมชาติที่ไม่มีวันสิ้นสุด

​สำหรับการกระจายรายได้ แม้ว่าธุรกิจการท่องเที่ยวจะยังไม่เป็นธรรมมากนัก แต่ก็ยังดีกว่าการขุดเจาะน้ำมันซึ่งนอกจากชาวบ้านจะไม่ได้รับส่วนแบ่งใดๆ แล้วยังส่งผลเสียหายต่อแหล่งอาหารสำคัญของประเทศด้วย

​ตัวอย่างชัดเจนที่ชาวประมงพื้นบ้านสามารถยืนยันได้ก็คือ บริเวณอำเภอสะทิงพระ จังหวัดสงขลา กี่ปีกี่ชาติที่ผ่านมา พื้นดินท้องทะเลแถบนั้นเป็นที่อยู่ของปลา พื้นดินสะอาด แต่หลังจากมีการขุดเจาะน้ำมันได้เพียง 2-3 ปี พื้นท้องทะเลก็กลายเป็นดินโคลน เหนียวและมีกลิ่นเหม็น ปลาไม่สามารถอาศัยอยู่ได้ ชาวประมงบางส่วนจึงต้องอพยพไปหากินที่ทะเลอันดามัน

​ที่เล่ามานี้สะท้อนปัญหาที่ “ไม่ยั่งยืนและไม่เป็นธรรม”

​อาจมีคนบางส่วนแย้งว่า ประเทศก็ต้องการพัฒนา ประชาชนก็ต้องใช้ก๊าซธรรมชาติและน้ำมัน รัฐบาลก็ได้ภาษีไปบริหารประเทศ ดังนั้นประชาชนในพื้นที่ซึ่งเป็นคนส่วนน้อยก็ต้องเสียสละ

​ช่างเป็นคำแย้งที่ดูดีครับ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ข้อแย้งดังกล่าวมีความจริงอยู่เพียงนิดเดียวเท่านั้น แถมยังมีหลักคิดที่ผิดพลาดและไม่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญที่คุ้มครองสิทธิชุมชนด้วย

​ความจริงก็คือว่า (1) น้ำมันดิบที่ขุดได้ (โดยเฉพาะในอ่าวไทย) เขาส่งออกเป็นส่วนใหญ่ โดยที่ส่งออกในราคาที่ต่ำกว่าที่ขายให้คนไทย (2) ไฟฟ้าที่ผลิตได้จากก๊าซธรรมชาติ เกินครึ่งก็เพื่อป้อนให้กับอุตสาหกรรมส่งออก (ซึ่งก็ไม่ใช่ของคนไทยอีก) (3) ค่าภาคหลวงและภาษีเงินได้จากธุรกิจปิโตรเลียม ประเทศเราได้น้อยมากเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน ไม่ว่าจะเป็น พม่า มาเลเซีย เวียดนาม และ เขมร ที่ดูล้าหลังกว่าเรา

​โดยสรุปคือการปล้นประเทศ ไม่ต่างจากกรณีดีบุก เหมืองทองคำ และแร่โปรแตสที่นายทุนข้ามชาติกำลังรุกอย่างหนักหน่วงในภาคอีสาน

​เขียนมาถึงตรงนี้ก็ทำให้นึกถึงคำพูดของ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ที่ญาติผู้ใหญ่ของผมเคยเล่าให้ฟังว่า “ประเทศไทยนั้นอุดมสมบูรณ์มาก หากไม่มีการคอร์รัปชันเสียอย่างเดียว เราสามารถเอาทองคำมาทำถนนได้เลย”

​ในจินตภาพของผม ผมเห็นด้วยกับการพัฒนาแต่การพัฒนานั้นจะขาดสองสิ่งไปไม่ได้ คือ “ต้องยั่งยืนและเป็นธรรม”

​ที่ผมเล่ามาแล้วส่วนมากเป็นแค่ตัวอย่าง ต่อไปนี้ผมจะนำเสนออีก 3 สิ่งที่เป็นหลักการ คือ (1) ภาพรวมของความไม่เป็นธรรม (2) การพัฒนาแบบใดที่นำไปสู่ความยั่งยืนและเป็นธรรม รวมถึงตัวชี้วัด และ (3) ทำอย่างไรให้กระบวนการพัฒนาในข้อที่สองเป็นจริง

ภาพรวมของความไม่เป็นธรรม

​ข้างล่างนี้คือกราฟแสดงรายได้ต่อหัวของคนในบางจังหวัดตั้งแต่ปี 2538-2553

​เส้นบนสุดคือรายได้ต่อหัวของชาวจังหวัดระยองซึ่งเป็นรายได้ที่สูงที่สุดในประเทศนี้ เส้นที่สองเป็นของจังหวัดภูเก็ต (อันดับ 10 ของประเทศ) สำหรับเส้นที่ 3 และ 4 (สีแดงล่างสุด) คือค่าเฉลี่ยของประเทศ และนครศรีธรรมราช (อันดับที่ 32) ตามลำดับ

​ก่อนที่จะอ่านต่อไป ลองตรวจสอบตัวเองสักนิดนะครับ ถ้าท่านมีรายได้ไม่ถึงปีละ 1.6 แสนบาท (หรือเดือนละ 13,379 บาท) แสดงว่าท่านมีรายได้ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศ และนี่คือค่าเฉลี่ยนะครับ คือนับรวมถึงคนที่ยังไม่มีรายได้ในครอบครัวเราด้วยนะ อ้อ คนระยองท่านใดมีรายได้ปีละ 1.225 ล้านบาทบ้างครับ

​มีสิ่งที่น่าสนใจ 2 อย่างอยู่ในกราฟนี้ครับ คือ

(1) เมื่อเปรียบเทียบความเหลื่อมล้ำรายได้ของคนระยองกับค่าเฉลี่ยของคนทั้งประเทศ พบว่า ได้เพิ่มขึ้นจาก 3.9 เท่า ในปี 2538 เป็น 7.6 เท่า ในปี 2553 นักวิชาการหลายสำนักสรุปตรงกันว่า ความเหลื่อมล้ำในสังคมคือต้นตอบ่อเกิดของความชั่วร้ายทั้งปวง

นั่นแปลว่าทิศทางการพัฒนาของประเทศเรากำลังเดินไปสู่ความเหลื่อมล้ำหรือไปสู่ความชั่วร้ายมากมาย ไม่ว่า ปัญหายาเสพติด ปัญหาท้องก่อนวัยอันควร รวมถึงสิ่งที่ไม่น่าเชื่อคือโรคอ้วนในเด็ก ต่างก็มาจากความเหลื่อมล้ำ

(2) เมื่อเจอวิกฤตสึนามิ รายได้ของคนภูเก็ตลดลง และเมื่อเจอวิกฤตซับไพรม์ในสหรัฐอเมริกาและวิกฤตยุโรป รายได้ของคนระยองลดลงอย่างมาก นั่นแปลว่า เศรษฐกิจของคนระยองขึ้นต่ออย่างมากกับเศรษฐกิจโลก

ผมเชื่อมั่นว่า การนำเศรษฐกิจของประเทศไปผูกติดกับเศรษฐกิจโลกอย่างแน่นหนาเช่นนี้ เป็นสิ่งที่ไม่ดีอย่างแน่นอน เศรษฐกิจที่ดีต้องเป็นเศรษฐกิจของคนท้องถิ่น เพื่อท้องถิ่นที่เป็นอิสระ

ในทางตรงกันข้าม เราจะเห็นจากกราฟว่า รายได้เฉลี่ยของคนทั้งประเทศและคนนครศรีธรรมราชมีผลกระทบน้อยมากในปี 2552 ในขณะที่ชาวระยองโดนกระหน่ำอย่างรุนแรง

นี่คือจินตภาพการพัฒนาของผมครับซึ่งจะขยายความในตอนท้ายอีกครั้งหนึ่ง ยังมีข้อมูลที่สำคัญแต่ไม่อยู่ในกราฟนี้คือ

(1) จังหวัดที่มีรายได้น้อยที่สุดคือ อำนาจเจริญ 29,144 บาท คิดเป็น 1 ใน 42 เท่าของคนระยอง มันเป็นไปได้อย่างไรครับ ข้อมูลนี้มาจากสภาพัฒน์ครับ

(2) คนใน 6 จังหวัด คือ ระยอง ชลบุรี สมุทรสาคร สมุทรปราการ ปราจีนบุรี พระนครศรีอยุธยาซึ่งมีรายได้สูงสุดเรียงลงมา มีประชากรรวมกัน 8% ของทั้งประเทศ แต่มีรายได้รวมกันถึง 27%

(3) กรุงเทพมหานครมีรายได้สูงเป็นอันดับ 7 ถ้านับรวมกับอีก 6 จังหวัดข้างต้นมีประชากร 18.7% แต่มีรายได้รวมกันถึง 56% ถ้าคิดคร่าวๆ (เพื่อให้ง่ายต่อการจดจำ) คนรวย 20% มีรายได้รวมกันถึง 60% มากกว่า 2551 ถึงประมาณ 4-5% นับว่าเป็นปรากฏการณ์ที่อันตรายมากครับ

ลองจินตนาการถึงขนมชั้นครับ ถ้ามีคนในครอบครัวอยู่ 5 คน มีขนมชั้นอยู่ 1 ชิ้น แต่ 5 ชั้น ถ้าเป็นธรรมจริงก็แบ่งกันกินคนละ 1 ชั้น เท่าๆ กัน แต่ในครอบครัวนี้ พี่คนโตคนเดียวลอกไปกินเสียถึง 3 ชั้น (60%) น้องๆ ที่เหลืออีก 4 คน (80%) จะรู้สึกอย่างไร?

(4) ในปี 2538 คน กทม. มีรายได้ใกล้เคียงกับคนระยองคือ 1 ต่อ 1.1 แต่ในปี 2553 กลายมาเป็น 1: 2.7

(5) จังหวัดที่มีรายได้น้อยที่สุดของภาคใต้คือพัทลุง ติดอันดับที่ 48 ของประเทศไทย(แต่ผมทราบเป็นการส่วนตัวว่าคนพัทลุงอายุยืนมาก)

การพัฒนาแบบใดที่นำไปสู่ความยั่งยืนและเป็นธรรมรวมถึงตัวชี้วัด

​เขียนมาถึงตอนนี้ชักรู้สึกเกรงใจท่านผู้อ่านครับ แต่เนื่องจากเป็นเรื่องสำคัญก็กรุณาอดทนกันหน่อยครับ (นึกถึงเพลงของสุรชัย จันทธิมาธร ฉันคือประชาชนต้องอดทนได้ทุกอย่าง แม้นปัญหามันคับคั้ง ประเดประดั่งอยู่ในใจ …ฉันคือประชาชนที่ผอมโซเหมือนซังหญ้า แต่ประชาชนเราไม่ค่อยอดทนในการอ่านบทความ ดีๆ)

​การพัฒนาต้องตั้งอยู่บนหลักการสำคัญสองอย่างคือความยั่งยืนและเป็นธรรม ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว สำหรับเรื่องความยั่งยืนนั้น ในฐานะที่ผมได้ติดตามเรื่องนโยบายพลังงานมายาวนานจึงได้ข้อสรุปว่า

นโยบายพลังงานของประเทศไทยได้ถูกกำหนดโดยข้าราชการประจำระดับสูงหลายกระทรวงทั้งพลังงาน การคลัง มหาดไทย ฯลฯ ที่ถักทอโยงใยกันเป็นเครือข่ายที่เข้มแข็งและมีอำนาจเบ็ดเสร็จ โดยการสนับสนุนของกลุ่มพ่อค้าพลังงานผูกขาดและนักการเมือง นโยบายดังกล่าวได้ออกแบบให้ประเทศไทยต้องวิ่งไปสู่กับดักหรือไปสู่โศกนาฏกรรมใน 2 ทิศทางและในเวลาเดียวกัน คือ

(1) นำความทันสมัยของประเทศไปขึ้นต่อหรือผูกติดกับแหล่งพลังงานที่พ่อค้าได้รับสัมปทานคือแหล่งปิโตรเลียมซึ่งมีจำนวนจำกัด (Limit) มีจำนวนน้อย ราคาแพงขึ้นและนับวันจะหมดไป ขณะเดียวกันก็หันหลังให้กับแหล่งพลังงานที่มีศักยภาพจำนวนมหาศาล คือ พลังงานจากดวงอาทิตย์ซึ่งยังไม่มีใครได้รับสัมปทานและไม่มีวันหมด ไม่ว่าจะเป็นพลังงานลม แสงอาทิตย์ และชีวมวล เป็นต้น

(2) นำไปสู่ขีดจำกัดเชิงนิเวศ (Ecological Limit) ซึ่งหมายความว่าหากของเสียที่เกิดจากการเผาพลังงานฟอสซิลเกินกว่าระดับขีดจำกัดดังกล่าว ก็จะเกิดผลกระทบต่อระบบนิเวศน์ทั้งในระดับโลกและระดับท้องถิ่นซึ่งจะส่งผลให้เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างรุนแรงและอย่างคาดไม่ถึง กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือว่า ต่อให้โลกนี้มีน้ำมันจำนวนมากและราคาถูกเหมือนราวกับน้ำทะเลก็ไม่สามารถนำมาใช้ในอัตราที่มากกว่านี้อีกต่อไปแล้ว

​ทางออกจากปัญหานี้สามารถสรุปได้ดังแผนภาพข้างล่าง คือการออกแบบเมืองแบบใหม่ที่สามารถพึ่งตนเองได้ ในด้านอาหารทะเล ภาคใต้มีมากมายนอกจากจะเลี้ยงคนนอกพื้นที่แล้วยังสามารถเป็นครัวของโลกได้อีกด้วย
ในด้านพลังงาน ก็โดยการนำพลังงานหมุนเวียนมาใช้ซึ่งในภาคใต้เรามีมากมายเช่นกัน รวมทั้งน้ำเสียในภาคอุตสาหกรรมการเกษตรก็สามารถนำมาผลิตกระแสไฟฟ้าได้ด้วย

​ในปี 2550 จังหวัดนครศรีธรรมราชใช้ไฟฟ้าทั้งหมดในทุกภาคส่วนจำนวน 1,559 ล้านหน่วย (ประมาณ 1% ของทั้งประเทศ) หากคิดเป็นขนาดโรงไฟฟ้าก็ประมาณ 250 เมกะวัตต์ แต่ในขณะนี้กำลังมีแผนการจะก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินขนาด 800 เมกะวัตต์จำนวน 2 โรง เพื่อนำไปป้อนภาคอุตสาหกรรมต่างๆ ที่กำลังจะมีขึ้น

​ถ้าสร้างจินตภาพอย่างบูรณาการก็สามารถสรุปได้ว่า ภาคใต้โดยเฉพาะอย่างยิ่งนครศรีธรรมราชกำลังจะเป็นดั่งมาบตาพุด จังหวัดระยองนั่นเอง

​อย่างไรก็ตาม การพึ่งตนเองก็ไม่ได้หมายความว่า ทุกอย่างจะไม่มีการนำเข้า อะไรที่จำเป็นก็สามารถนำเข้ามาใช้ได้ แต่เน้นการพึ่งตนเองเป็นสำคัญ

​เพื่อยืนยันว่าขณะนี้ในพื้นที่ภาคใต้กำลังถูกทุนต่างชาติรุกคืบอย่างหนักทั้งนิคมอุตสาหกรรม ท่าเรือ เขื่อน การขุดเจาะน้ำมัน ปิโตรเคมี ผมจึงได้นำเอกสารส่วนหนึ่งที่สภาพัฒน์ ได้ว่าจ้างให้บริษัทเอกชนศึกษามาลงให้ดูครับ ค่อยๆ อ่านครับ

ตัวชี้วัดการพัฒนา

​ประเทศไทยก็เหมือนกับประเทศอื่นๆ ในโลก ที่ถูกหลอกให้ใช้รายได้หรือจีดีพีเป็นตัวชี้วัดการพัฒนา แต่ก็
อย่างที่เราทราบๆ กัน ชาวระยองป่วยเป็นโรคมะเร็งและโรคทางเดินหายใจกันเป็นจำนวนมาก แม้จะมีรายได้มากเป็นอันดับหนึ่งก็จริง แต่นั่นคือการนำรายได้ของเจ้าของโรงงานมาเป็นตัวหารด้วย

​ประเทศที่ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่ม “กำลังพัฒนาหรือด้อยพัฒนา” อย่างประเทศภูฏาน เขาให้ความสำคัญกับรายได้น้อยมาก แต่เขาให้ความสำคัญกับความสุขมวลรวม (Gross National Happiness) ของประชาชนทั้งประเทศ

​ดัชนีชีวัดความสุขของชาวภูฏานประกอบด้วย 9 ปัจจัยๆ ที่สำคัญที่สุดคือ การใช้เวลา และน้อยที่สุดคือ การศึกษา ส่วนที่เหลืออีก 7 ปัจจัยคือ ความมีธรรมาภิบาล ความเป็นชุมชน วัฒนธรรม สุขภาพ สภาวะทางจิตใจ มาตรฐานการครองชีพและระบบนิเวศน์ของชุมชนโดยแต่ละปัจจัยมีความสำคัญไล่เลี่ยกัน

​เมื่อปี 2549 กลุ่มนักคิดที่รวมตัวกันเป็น The New Economics Foundation (NEF) ได้คิดตัวชี้วัดออกมาใหม่โดยใช้ชื่อว่า Happy Planet Index (ดัชนีความสุขร่วมกันของโลก) คือแทนที่จะวัดเฉพาะรายได้ของคนแบบจีดีพี หรือดัชนีความสุขมวลรวมแบบประเทศภูฏาน (ซึ่งคำนวณได้ยาก) พวกเขากลับคิดถึงปัจจัยสำคัญ 3 ตัว คือ (1) ความพึงพอใจ (2) จำนวนปีที่ชีวิตมีความสุข และ (3) จำนวนทรัพยากรที่บริโภค

​กลุ่มนี้เขียนเป็นสมการพีชคณิตง่ายๆ คือ

นั่นหมายถึงว่า สังคมใดใช้ทรัพยากรน้อย ดัชนีความสุขของโลกก็จะสูงขึ้น (ตัวหารเล็ก ผลลัพธ์มาก) ขณะเดียวกันถ้าจำนวนปีที่ชีวิตมีความสุขมาก (ไม่ใช่แค่อายุยืนอย่างเดียว แต่ยืนแบบช่วยเหลือตนเองได้ แข็งแรง) ดัชนีความสุขโลกก็จะสูงตามไปด้วย

​สำหรับความพึงพอใจในชีวิตนั้นค่อนข้างจะเป็นอัตวิสัย คือขึ้นอยู่กับความรู้สึก ศีลธรรม จิตวิญญาณ เป็นต้น สรุป หลักการสำคัญของตัวชี้วัดนี้คือ “ความเป็นอยู่ดีขึ้น แต่ใช้สอยน้อยลง”

ผมเชื่อว่า ดัชนีความสุขร่วมกันของโลกนี้ เป็นตัวชี้วัดที่สามารถวัดความยั่งยืนและความเป็นธรรมได้ดีทีเดียว

ทำอย่างไรให้กระบวนการพัฒนาในข้อที่สองเป็นจริง

มาถึงตอนสุดท้ายของบทความที่ค่อนข้างยาวครับ คือทำอย่างไรให้เกิดกระบวนการพัฒนาที่นำไปสู้เป้าหมายคือ ยั่งยืนและเป็นธรรม

ในฐานะอนุกรรมการสิทธิมนุษยชนด้านสิทธิชุมชน ในคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ผมได้มีโอกาสตรวจสอบตามคำร้องเรียนของชาวบ้าน ได้ลงพื้นที่ดูข้อเท็จจริง และได้ศึกษารัฐธรรมนูญฉบับ 2550 มากขึ้น พบว่า รัฐธรรมนูญในหมวดว่าด้วยสิทธิชุมชนได้บัญญัติไว้อย่างดีแล้ว ปัญหาที่เกิดขึ้นเนื่องจากหน่วยงานของรัฐไม่ปฏิบัติตาม ยังเห็นแก่ได้ ประกอบกับประชาชนเองก็ยังไม่เข้าใจในพลังที่แท้จริงของตนเองเท่าที่ควร

ข้างล่างนี้เป็นบทสรุปของ ดร.แฮร์มัน เชียร์ นักเศรษฐศาสตร์และเป็นนักสิ่งแวดล้อม เป็นประธานสมาคมพลังงานลมโลก ฯลฯ ได้รับการขนานนามจากนิตยสารไทม์ว่า “เป็นวีระบุรุษแห่งศตวรรษสีเขียว” และได้รับรางวัล “THE RIGHT LIVELIHOOD AWARDS 1999” และเป็นอดีต ส.ส.เยอรมนี ได้กล่าวไว้ก่อนที่จะเสียชีวิตไม่ถึงสัปดาห์ว่า

“วิธีเดียวที่จะทำให้สำเร็จ ความสำเร็จต่อการต่อต้านทั้งหลาย ต่อพวกกระแสหลัก ต่อผลประโยชน์ที่เห็นแก่ตัว ผลประโยชน์ที่ใหญ่โต คือการต่อสู้กับเขาเหล่านั้นในที่สาธารณะ เพื่อเอาชนะในสาธารณะ เราสามารถเอาชนะต่อโครงสร้างอำนาจได้ และพันธมิตรที่ดีที่สุดก็คือประชาชน”
กำลังโหลดความคิดเห็น