ASTVผู้จัดการรายวัน - ทาทาสตีลฯมั่นใจครึ่งหลังปี 55-56 ยอดขายเหล็กดีกว่าครึ่งปีแรก หลังตลาดก่อสร้างโตขึ้นและทำตลาดสินค้าเหล็กเกรดพิเศษต้านแรงสะเทือนแผ่นดินไหว ดันปริมาณการขายทั้งปี 1.2 ล้านตัน โต 6% ส่งผลให้ทั้งปีขาดทุนสุทธิลดลงจากปีก่อน เดินหน้าขายโรงเตาถลุงเหล็กหลอมเหลว และหาพันธมิตรหวังเพิ่มกำลังผลิตโรงเหล็กเอ็น.ที.เอส.สตีล
นายปิยุช กุปต้า กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทาทา สตีล (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (TSTH) เปิดเผยว่าแนวโน้มการดำเนินธุรกิจในปีหลังรอบปี 2555-56 บริษัทฯคาดว่ายอดขายเหล็กจะดีกว่าช่วงครึ่งปีแรกที่ขายไปแล้ว 5.58 แสนตัน เนื่องจากเป็นช่วงหน้าขาย และอุตสาหกรรมก่อสร้างโตขึ้นตามการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ อีกทั้งปีนี้ไม่ได้รับกระทบน้ำท่วม
ดังนั้นในงวดปี2555-56 ( เม.ย.55-มี.ค.56) ปริมาณการขายยังเป็นไปตามเป้าที่ตั้งไว้ 1.2 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 6% แม้ราคาเหล็กยังอ่อนตัว จากภาวะปัญหาเศรษฐกิจอียู การชะลอตัวทางเศรษฐกิจจีน และการตัดราคาขายแข่งกับเหล็กลวดเจือโบรอนจากจีนที่ดัมป์ตลาดก็ตาม มั่นใจว่างวดปี2555-56 บริษัทฯมีผลขาดทุนสุทธิลดลงจากงวดปี2554-55ที่ขาดทุนสุทธิ 1,580 ล้านบาท โดย 6 เดือนแรกปีนี้ขาดทุนสุทธิ 501 ล้านบาท
นายปิยุช กล่าวต่อไปว่า จากนโยบายการพลิกฟื้นผลการดำเนินงานให้มีกำไรขึ้นอีกครั้งนอกเหนือจากการลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตแล้ว บริษัทฯเน้นสร้างตลาดเหล็กเส้นให้แข็งแกร่งขึ้น โดยจะออกผลิตภัณฑ์เหล็กต้านแรงสั่นสะเทือนแผ่นดินไหว และเหล็กเส้นขึ้นรูป(ตัดและดัด) เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มสินค้าไฮเอนด์ขึ้น วางเป้าหมายยอดขายผลิตเหล็กเกรดพิเศษ 30%ของยอดขาย และเพิ่มขึ้นเป็น 40%ในอีก 1- 2ปีข้างหน้า เพื่อหนีปัญหาการทุ่มตลาดเหล็กจากจีน
นอกจากนี้ บริษัทฯอยู่ระหว่างการเจรจาหาพันธมิตรทางธุรกิจเข้ามาช่วยเพิ่มกำลังการผลิตโรงเหล็กเอ็น.ที.เอส.สตีลกรุ๊ปจากปัจจุบันที่ผลิตอยู่ 60%เพิ่มเป็น 90%ของกำลังการผลิต และเจรจาหาผู้ซื้อโรงเตาถลุงเหล็กหลอมเหลว (MBF)ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่เดียวกับเอ็น.ที.เอส.สตีลกรุ๊ป ทั้งนี้เพื่อลดภาระค่าเสื่อมราคาที่ต้องแบกรับปีละ 230 ล้านบาท เพราะได้หยุดเดินเครื่องโรงเตาถลุงเหล็กหลอมมาตั้งแต่กลางปี 2554 ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ทาทาสตีลฯประสบปัญหาขาดทุนอย่างที่เป็นอยู่
ทั้งนี้ บริษัทฯลงทุนโรงเตาถลุงเหล็กหลอมเหลวและโรงไฟฟ้าใช้เงิน 3.8 พันล้านบาท ทันทีที่ขายโรงเตาถลุงเหล็กฯได้ก็จะหยุดบันทึกค่าเสื่อมราคาได้ทันที หรือหากหาพันธมิตรเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตโรงเหล็กเอ็น.ที.เอสให้เป็น 90%ของกำลังผลิตได้ ไม่ว่าแนวทางใดสำเร็จก่อนก็จะทำให้บริษัทฯมีกำไรสุทธิได้ทันที
นายปิยุช กุปต้า กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทาทา สตีล (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (TSTH) เปิดเผยว่าแนวโน้มการดำเนินธุรกิจในปีหลังรอบปี 2555-56 บริษัทฯคาดว่ายอดขายเหล็กจะดีกว่าช่วงครึ่งปีแรกที่ขายไปแล้ว 5.58 แสนตัน เนื่องจากเป็นช่วงหน้าขาย และอุตสาหกรรมก่อสร้างโตขึ้นตามการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ อีกทั้งปีนี้ไม่ได้รับกระทบน้ำท่วม
ดังนั้นในงวดปี2555-56 ( เม.ย.55-มี.ค.56) ปริมาณการขายยังเป็นไปตามเป้าที่ตั้งไว้ 1.2 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 6% แม้ราคาเหล็กยังอ่อนตัว จากภาวะปัญหาเศรษฐกิจอียู การชะลอตัวทางเศรษฐกิจจีน และการตัดราคาขายแข่งกับเหล็กลวดเจือโบรอนจากจีนที่ดัมป์ตลาดก็ตาม มั่นใจว่างวดปี2555-56 บริษัทฯมีผลขาดทุนสุทธิลดลงจากงวดปี2554-55ที่ขาดทุนสุทธิ 1,580 ล้านบาท โดย 6 เดือนแรกปีนี้ขาดทุนสุทธิ 501 ล้านบาท
นายปิยุช กล่าวต่อไปว่า จากนโยบายการพลิกฟื้นผลการดำเนินงานให้มีกำไรขึ้นอีกครั้งนอกเหนือจากการลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตแล้ว บริษัทฯเน้นสร้างตลาดเหล็กเส้นให้แข็งแกร่งขึ้น โดยจะออกผลิตภัณฑ์เหล็กต้านแรงสั่นสะเทือนแผ่นดินไหว และเหล็กเส้นขึ้นรูป(ตัดและดัด) เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มสินค้าไฮเอนด์ขึ้น วางเป้าหมายยอดขายผลิตเหล็กเกรดพิเศษ 30%ของยอดขาย และเพิ่มขึ้นเป็น 40%ในอีก 1- 2ปีข้างหน้า เพื่อหนีปัญหาการทุ่มตลาดเหล็กจากจีน
นอกจากนี้ บริษัทฯอยู่ระหว่างการเจรจาหาพันธมิตรทางธุรกิจเข้ามาช่วยเพิ่มกำลังการผลิตโรงเหล็กเอ็น.ที.เอส.สตีลกรุ๊ปจากปัจจุบันที่ผลิตอยู่ 60%เพิ่มเป็น 90%ของกำลังการผลิต และเจรจาหาผู้ซื้อโรงเตาถลุงเหล็กหลอมเหลว (MBF)ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่เดียวกับเอ็น.ที.เอส.สตีลกรุ๊ป ทั้งนี้เพื่อลดภาระค่าเสื่อมราคาที่ต้องแบกรับปีละ 230 ล้านบาท เพราะได้หยุดเดินเครื่องโรงเตาถลุงเหล็กหลอมมาตั้งแต่กลางปี 2554 ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ทาทาสตีลฯประสบปัญหาขาดทุนอย่างที่เป็นอยู่
ทั้งนี้ บริษัทฯลงทุนโรงเตาถลุงเหล็กหลอมเหลวและโรงไฟฟ้าใช้เงิน 3.8 พันล้านบาท ทันทีที่ขายโรงเตาถลุงเหล็กฯได้ก็จะหยุดบันทึกค่าเสื่อมราคาได้ทันที หรือหากหาพันธมิตรเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตโรงเหล็กเอ็น.ที.เอสให้เป็น 90%ของกำลังผลิตได้ ไม่ว่าแนวทางใดสำเร็จก่อนก็จะทำให้บริษัทฯมีกำไรสุทธิได้ทันที