ASTVผู้จัดการรายวัน - ทาทาสตีลฯวางกลยุทธ์ 2 แนวทางพลิกฟื้นกำไรฯ โดยหาพันธมิตรเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตโรงเหล็กเอ็น.ที.เอส.จากที่ผลิตอยู่ 5 แสนตัน/ปีหรือ60%เป็น 90% คาดได้ข้อสรุป 6เดือนนี้ และเล็งขายโรงถลุงเหล็กเตาหลอม (MBF)ภายใน 1ปี เพื่อลดภาระค่าเสื่อมราคาปีละ 230 ล้านบาท
นายปิยุช กุปต้า กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทาทาสตีล (ประเทศไทย) จำกัด(มหาชน) (TSTH) เปิดเผยว่า บริษัทฯได้วาง 2 กลยุทธ์ที่จะพลิกฟื้นบริษัทฯให้กลับมามีกำไรสุทธิอีกครั้งหลังขาดทุนต่อเนื่อง3ปี โดยจะหาพันธมิตรทางธุรกิจที่เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีเพื่อช่วยเพิ่มกำลังการผลิตโรงงานเหล็กเอ็น.ที.เอส.สตีลกรุ๊ปจากปัจจุบันที่ใช้กำลังการผลิตอยู่ 5 แสนตัน/ปี หรือคิดเป็น 60%ของกำลังการผลิตเป็น 90%ของกำลังการผลิต และการย้ายโรงเตาถลุงเหล็กหลอมเหลว (MBF)ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่เดียวกับเอ็น.ที.เอส.สตีลกรุ๊ปโดยขายMBFให้กับผู้ที่สนใจ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจา
การตัดสินใจขายโรงเตาถลุงเหล็กหลอมเหลวนั้น เพื่อต้องการลดภาระบริษัทฯที่ต้องแบกค่าเสื่อมราคาปีละ 230 ล้านบาท ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้บริษัทฯประสบปัญหาการขาดทุน เนื่องจากบริษัทฯได้หยุดเดินเครื่องโรงเตาถลุงเหล็กหลอมเหลวมาตั้งแต่ก.ค. 2554 หลังจากเปิดเดินเครื่องจักรได้เพียง 1ปี 9เดือน แต่ประสบปัญหาราคาวัตถุดิบผันผวนสวนทางราคาผลิตภัณฑ์เหล็กซึ่งการขายโรงเตาถลุงเหล็กหลอมเหลวแล้วย้ายไปติดตั้งโรงงานใหม่จำเป็นต้องอยู่ใกล้แหล่งวัตถุดิบ อาทิ แอฟริกาใต้ และอินเดีย ไม่จำเป็นต้องขายให้กับกลุ่มทาทาสตีล ซึ่งขณะนี้บริษัทฯอยู่ระหว่างการเจรจา คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายใน 1 ปี
สำหรับการหาพันธมิตรเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตโรงเหล็กเอ็น.ที.เอส. ที่มีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีมากกว่าด้านแหล่งเงิน เนื่องจากโรงงานดังกล่าวมีเครื่องจักรที่สามารถผลิตเหล็กได้หลากหลายทั้งเหล็กลวดคาร์บอนสูง เหล็กลวดคาร์บอนต่ำ เหล็กเส้น ฯลฯ โดยบริษัทฯมุ่งหวังทีจะให้โรงงานนี้ผลิตเหล็กเกรดพิเศษ ซึ่งขณะนี้ได้มีการเจรจากับผู้ที่สนใจหลายรายทั้งญี่ปุ่น เกาหลีและอินเดีย ซึ่งเดิมเป็นผู้ส่งออกเหล็กมาไทยอยู่แล้ว รวมทั้งบริษัทเทรดเดอร์ก็สนใจด้วยเช่นกัน คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายใน 6 เดือนนี้ สาเหตุที่ไม่ดึงทาทาสตีลกรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทแม่ที่อินเดียเข้ามานั้น เนื่องจากบริษัทแม่มีความเชี่ยวชาญด้านเหล็กแผ่น แต่ไม่เชี่ยวชาญด้านเหล็กลวด รวมถึงเหล็กเกรดพิเศษที่บริษัทฯผลิตอยู่
ทั้งนี้ บริษัทฯลงทุนโรงเตาถลุงเหล็กหลอมเหลวและโรงไฟฟ้าใช้เงิน 3.8 พันล้านบาท ซึ่งทันทีที่ขายโรงเตาถลุงเหล็กฯได้ก็จะหยุดบันทึกค่าเสื่อมราคาได้ทันที หรือหาพันธมิตรเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตโรงเหล็กเอ็น.ที.เอสให้เป็น 90%ของกำลังผลิตได้ ไม่ว่าแนวทางใดสำเร็จก่อนก็จะทำให้บริษัทฯมีกำไรสุทธิได้ทันที
นายกุปต้า กล่าวถึงผลการดำเนินงานไตรมาส 2 (ก.ค.-ก.ย.2555)ว่า การผลิตจะปรับตัวเพิ่มขึ้น20%จากไตรมาส1 ที่ผลิตอยู่ 2.51 แสนตัน และมีปริมาณการขายเพิ่มขึ้น 15%จากไตรมาส1 ที่ขายอยู่ 2.58 แสนตัน โดยจะรักษากำไรที่เป็นตัวเงิน (Cash Profit) และกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อม(EBITDA)เป็นบวกต่อเนื่องจากไตรมาสแรกปีนี้
ทั้งนี้ บริษัทฯได้ทำหนังสือแจ้งกระทรวงพาณิชย์เพื่อออกมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดเหล็กลวดโดยผสมโครเมียมและโบรอน เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีนำเข้า5%ทำให้เหล็กนำเข้า 5 เดือนแรกปีนี้เพิ่มขึ้น 13%
นายปิยุช กุปต้า กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทาทาสตีล (ประเทศไทย) จำกัด(มหาชน) (TSTH) เปิดเผยว่า บริษัทฯได้วาง 2 กลยุทธ์ที่จะพลิกฟื้นบริษัทฯให้กลับมามีกำไรสุทธิอีกครั้งหลังขาดทุนต่อเนื่อง3ปี โดยจะหาพันธมิตรทางธุรกิจที่เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีเพื่อช่วยเพิ่มกำลังการผลิตโรงงานเหล็กเอ็น.ที.เอส.สตีลกรุ๊ปจากปัจจุบันที่ใช้กำลังการผลิตอยู่ 5 แสนตัน/ปี หรือคิดเป็น 60%ของกำลังการผลิตเป็น 90%ของกำลังการผลิต และการย้ายโรงเตาถลุงเหล็กหลอมเหลว (MBF)ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่เดียวกับเอ็น.ที.เอส.สตีลกรุ๊ปโดยขายMBFให้กับผู้ที่สนใจ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจา
การตัดสินใจขายโรงเตาถลุงเหล็กหลอมเหลวนั้น เพื่อต้องการลดภาระบริษัทฯที่ต้องแบกค่าเสื่อมราคาปีละ 230 ล้านบาท ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้บริษัทฯประสบปัญหาการขาดทุน เนื่องจากบริษัทฯได้หยุดเดินเครื่องโรงเตาถลุงเหล็กหลอมเหลวมาตั้งแต่ก.ค. 2554 หลังจากเปิดเดินเครื่องจักรได้เพียง 1ปี 9เดือน แต่ประสบปัญหาราคาวัตถุดิบผันผวนสวนทางราคาผลิตภัณฑ์เหล็กซึ่งการขายโรงเตาถลุงเหล็กหลอมเหลวแล้วย้ายไปติดตั้งโรงงานใหม่จำเป็นต้องอยู่ใกล้แหล่งวัตถุดิบ อาทิ แอฟริกาใต้ และอินเดีย ไม่จำเป็นต้องขายให้กับกลุ่มทาทาสตีล ซึ่งขณะนี้บริษัทฯอยู่ระหว่างการเจรจา คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายใน 1 ปี
สำหรับการหาพันธมิตรเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตโรงเหล็กเอ็น.ที.เอส. ที่มีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีมากกว่าด้านแหล่งเงิน เนื่องจากโรงงานดังกล่าวมีเครื่องจักรที่สามารถผลิตเหล็กได้หลากหลายทั้งเหล็กลวดคาร์บอนสูง เหล็กลวดคาร์บอนต่ำ เหล็กเส้น ฯลฯ โดยบริษัทฯมุ่งหวังทีจะให้โรงงานนี้ผลิตเหล็กเกรดพิเศษ ซึ่งขณะนี้ได้มีการเจรจากับผู้ที่สนใจหลายรายทั้งญี่ปุ่น เกาหลีและอินเดีย ซึ่งเดิมเป็นผู้ส่งออกเหล็กมาไทยอยู่แล้ว รวมทั้งบริษัทเทรดเดอร์ก็สนใจด้วยเช่นกัน คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายใน 6 เดือนนี้ สาเหตุที่ไม่ดึงทาทาสตีลกรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทแม่ที่อินเดียเข้ามานั้น เนื่องจากบริษัทแม่มีความเชี่ยวชาญด้านเหล็กแผ่น แต่ไม่เชี่ยวชาญด้านเหล็กลวด รวมถึงเหล็กเกรดพิเศษที่บริษัทฯผลิตอยู่
ทั้งนี้ บริษัทฯลงทุนโรงเตาถลุงเหล็กหลอมเหลวและโรงไฟฟ้าใช้เงิน 3.8 พันล้านบาท ซึ่งทันทีที่ขายโรงเตาถลุงเหล็กฯได้ก็จะหยุดบันทึกค่าเสื่อมราคาได้ทันที หรือหาพันธมิตรเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตโรงเหล็กเอ็น.ที.เอสให้เป็น 90%ของกำลังผลิตได้ ไม่ว่าแนวทางใดสำเร็จก่อนก็จะทำให้บริษัทฯมีกำไรสุทธิได้ทันที
นายกุปต้า กล่าวถึงผลการดำเนินงานไตรมาส 2 (ก.ค.-ก.ย.2555)ว่า การผลิตจะปรับตัวเพิ่มขึ้น20%จากไตรมาส1 ที่ผลิตอยู่ 2.51 แสนตัน และมีปริมาณการขายเพิ่มขึ้น 15%จากไตรมาส1 ที่ขายอยู่ 2.58 แสนตัน โดยจะรักษากำไรที่เป็นตัวเงิน (Cash Profit) และกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อม(EBITDA)เป็นบวกต่อเนื่องจากไตรมาสแรกปีนี้
ทั้งนี้ บริษัทฯได้ทำหนังสือแจ้งกระทรวงพาณิชย์เพื่อออกมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดเหล็กลวดโดยผสมโครเมียมและโบรอน เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีนำเข้า5%ทำให้เหล็กนำเข้า 5 เดือนแรกปีนี้เพิ่มขึ้น 13%