ในทัศนะของผู้เขียน ปรากฏการณ์ เสธ.อ้าย เป็นพัฒนาการต่อเนื่องของปรากฏการณ์สนธิ และจะเป็นตัวแปรสำคัญในการขับเคลื่อนการต่อสู้ของภาคประชาชนในรูปของการทำ “สงครามมวลชน”
ณ วันนี้ ขบวนการการเมืองภาคประชาชนได้ขยายตัวออกมาอย่างเป็นรูปธรรม การนำมวลชนลุกขึ้นสู้ ในรูปของการชุมนุมใหญ่ทางการเมือง เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม ที่ผ่านมา โดยองค์การพิทักษ์สยามและภาคีเครือข่าย หากมองด้วยสายตาประวัติศาสตร์ ก็คือการสืบเนื่องของกระบวนการพัฒนาพลังอำนาจของขบวนการการเมืองภาคประชาชนนำโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่กำหนดเป้าหมายไว้อย่างชัดเจนว่า จะทำการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย ด้วยการทำ “สงครามมวลชน”
อีกนัยหนึ่ง “ปรากฏการณ์ เสธ.อ้าย” ก็คือการต่อเนื่องของ “ปรากฏการณ์สนธิ”
การปรากฏตัวของพลเอก บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ หรือ “เสธ.อ้าย” ในฐานะผู้นำการชุมนุมครั้งสำคัญนี้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลเฉพาะตัวหรือมีความเป็นมาอย่างไร ในทางประวัติศาสตร์ เขาก็ได้กลายเป็น “วีรบุรุษ” ผู้นำอีกคนหนึ่ง ที่ชูธง “เปลี่ยนแปลงประเทศไทย” และจะสามารถยึดมั่นในจุดยืนนี้ตลอดไป ตราบใดที่เขายังมีคุณสมบัติของความเป็น “คนจริง” และตระหนักในวิกฤติใหญ่ที่ประเทศชาติกำลังเผชิญหน้าอยู่
ยิ่งกว่านั้น ผมมั่นใจอย่างยิ่งในพลังอำนาจของ “มวลชนตื่นรู้” โดยเฉพาะชาวพันธมิตรฯ ที่ได้หล่อหลอมตัวเองเป็นแกนหลักของขบวนการเมืองภาคประชาชน ภายใต้การนำของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยมาร่วมเจ็ดปีเต็ม ว่าจะเป็น “ผู้โอบอุ้ม” พลเอก บุญเลิศให้ก้าวไปในทิศทางเดียวกันกับชาวพันธมิตรฯ ดำเนิน “สงครามมวลชน” ต่อสู้จนบรรลุชัย
ณ วันนี้ ผมเชื่อมั่นอย่างยิ่งในอานุภาพของ “ปัญญาตื่นรู้” เมล็ดพันธุ์แห่งการสร้างชาติไทยยุคใหม่ ที่ชาวพันธมิตรฯได้รับการปลูกฝังมาอย่างต่อเนื่อง ว่าจะสามารถ “จุดประกาย” ความคิดของพลเอก บุญเลิศ ให้มองทะลุมายาภาพของการเมืองในระบบรัฐสภา เข้าถึงแก่นแท้ของภารกิจที่ชาวพันธมิตรฯยึดมั่น และถือเอาพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเป็น “เพื่อนแท้” ในยามที่ประเทศชาติกำลังต้องการคนไทย “ทุกฝ่าย” มาร่วมกันกอบกู้ ให้พ้นจากอำนาจครอบงำของกลุ่มทุนสามานย์ในระบอบทักษิณ “ปลดปล่อย”คนไทยให้พ้นจากการเมือง “ซื้อเสียงเลือกตั้ง” แล้วสถาปนาอำนาจกำหนดทางการเมืองของประชาชนขึ้นแทนที่
อีกนัยหนึ่ง “ปัญญาตื่นรู้” คืออาวุธอันศักดิ์สิทธิ์ของ “มวลชน” และ “มวลชนตื่นรู้” คือ ปัจจัยค้ำจุนผู้นำอย่างยั่งยืน
ในปลายปี 2548 เมื่อครั้งคุณสนธิ ลิ้มทองกุล ชักธงรบ “จุดเทียนปัญญา” เปิดโปงความชั่วร้ายของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็ใช่ว่าจะมีแนวคิด “เปลี่ยนแปลงประเทศไทย” ตั้งแต่เริ่มแรก (คำขวัญ “เปลี่ยนแปลงประเทศไทย” ถูกเสนอออกมาในระหว่างการชุมนุมใหญ่ “193 วัน” ปี 2551) แต่เมื่อขบวนการการเมืองภาคประชาชนนำโดยพันธมิตรฯยกระดับขึ้นสู่ความเป็น “มวลชนตื่นรู้” รู้จริงในปมปัญหาของประเทศชาติ รู้คิดที่จะแก้ไขปมปัญหาของประเทศชาติ และรู้ทำในสิ่งที่ถูกต้องในท่ามกลางการเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างต่อเนื่องยาวนาน คุณสนธิ ลิ้มทองกุลก็ประกาศจุดยืนที่จะนำมวลชนชาวพันธมิตรฯ ต่อสู้จนถึงที่สุด “เจ๊งเป็นแจ๊ง ตายเป็นตาย”
อีกนัยหนึ่ง เมื่อมวลชนไม่ทิ้งคุณสนธิ คุณสนธิก็ไม่ทิ้งมวลชน !
ด้วยตรรกะเดียวกัน การระเบิดตัวออกมาของเสธ.อ้าย ก็ไม่จำเป็นว่า เขาจะต้องมีแนวคิดสอดคล้องต้องกันกับพันธมิตรฯในทุกๆเรื่องตั้งแต่เริ่มต้น เพราะเขาก็ “เพิ่งมา” แต่ด้วยสิ่งที่เขาให้สัมภาษณ์แก่สื่อมวลชนอย่างเปิดเผยครั้งแล้วครั้งเล่าว่า “ไม่เอาการนักการเมือง ไม่เอาการเปลี่ยนขั้วอัปรีย์ไป จัญไรมา” ทำให้เขาได้รับ “ฉันทานุมัติ”จากมวลชนตื่นรู้ ถูกยกขึ้นเป็น “วีรบุรุษ” ผู้นำมวลชน ลุกขึ้นสู้นำการเปลี่ยนแปลง การชุมนุมที่สนามม้านางเลิ้ง จึงคลาคล่ำไปด้วย “มวลชนตื่นรู้”
อีกนัยหนึ่ง ในสายตามวลชนตื่นรู้ เขามาถูกทางแล้ว !
ด้วยอานุภาพของ “ปัญญาตื่นรู้” ของมวลชนจำนวนมหาศาลทั่วทั้งประเทศ และนับวันเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จะทำให้พลเอก บุญเลิศ ยืนหยัดอยู่ในฐานะ “ผู้นำ” คนสำคัญของขบวนการการเมืองภาคประชาชนต่อไปได้ ไม่ว่าการชุมนุมครั้งที่สองจะมีผลเป็นประการใด เพราะผู้นำที่ดี ย่อม “เชื่อฟัง” มวลชนเสมอ
นั่นหมายถึงว่า ในกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของประเทศไทยครั้งยิ่งใหญ่นี้ พลังอำนาจของ “มวลชนตื่นรู้” คือตัวกำหนดเอก !
พลเอกบุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ จะดำรงความเป็นผู้นำใน “สงครามมวลชน” ได้อย่างยั่งยืน ก็ด้วยอำนาจกำหนดของมวลชนตื่นรู้ ที่เขาได้สัมผัสและยอมรับ หากมิใช่ตัวเลขการชุมนุมครั้งที่สองว่าจะถึงล้านหรือไม่
นี่คือ “กฎ”สำคัญประการหนึ่งของ “สงครามมวลชน” ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างมวลชนกับผู้นำ
อันเป็นกฎที่แตกหน่อต่อจาก“กฎพื้นฐาน” ในสงครามมวลชนอันยิ่งใหญ่นี้ ซึ่งก็คือ “มวลชนตื่นรู้” คือผู้กำหนด !
กล่าวอย่างเป็นรูปธรรม ก็คือ มวลชนตื่นรู้ เป็นผู้กำหนดตัวผู้นำ !
ทั้งคุณสนธิ ลิ้มทองกุล พลตรี จำลองศรีเมือง และพลเอกบุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ ต่างดำรงความเป็นผู้นำบนฐานแห่ง “กฎ” นี้ทั้งสิ้น
เป็น “สัจธรรมเฉพาะ” ของการเมืองประเทศไทย !
เมื่อทุกคนยอมรับสัจธรรมทั่วไป ที่ว่า “ประวัติศาสตร์สร้างวีรบุรุษ” ได้ ก็ควรจะเข้าถึง “สัจธรรมเฉพาะ”ของเราเองได้ด้วย
ในระยะยาว สัจธรรมเฉพาะข้อนี้ จะเป็นเหตุปัจจัยสำคัญยิ่ง ในกระบวนการ “หยั่งราก” ของต้นไม้ “ประชาธิปไตยประชาชน” ในระบอบประชาธิปไตยประชาชน อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ณ วันนี้ ขบวนการการเมืองภาคประชาชนได้ขยายตัวออกมาอย่างเป็นรูปธรรม การนำมวลชนลุกขึ้นสู้ ในรูปของการชุมนุมใหญ่ทางการเมือง เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม ที่ผ่านมา โดยองค์การพิทักษ์สยามและภาคีเครือข่าย หากมองด้วยสายตาประวัติศาสตร์ ก็คือการสืบเนื่องของกระบวนการพัฒนาพลังอำนาจของขบวนการการเมืองภาคประชาชนนำโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่กำหนดเป้าหมายไว้อย่างชัดเจนว่า จะทำการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย ด้วยการทำ “สงครามมวลชน”
อีกนัยหนึ่ง “ปรากฏการณ์ เสธ.อ้าย” ก็คือการต่อเนื่องของ “ปรากฏการณ์สนธิ”
การปรากฏตัวของพลเอก บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ หรือ “เสธ.อ้าย” ในฐานะผู้นำการชุมนุมครั้งสำคัญนี้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลเฉพาะตัวหรือมีความเป็นมาอย่างไร ในทางประวัติศาสตร์ เขาก็ได้กลายเป็น “วีรบุรุษ” ผู้นำอีกคนหนึ่ง ที่ชูธง “เปลี่ยนแปลงประเทศไทย” และจะสามารถยึดมั่นในจุดยืนนี้ตลอดไป ตราบใดที่เขายังมีคุณสมบัติของความเป็น “คนจริง” และตระหนักในวิกฤติใหญ่ที่ประเทศชาติกำลังเผชิญหน้าอยู่
ยิ่งกว่านั้น ผมมั่นใจอย่างยิ่งในพลังอำนาจของ “มวลชนตื่นรู้” โดยเฉพาะชาวพันธมิตรฯ ที่ได้หล่อหลอมตัวเองเป็นแกนหลักของขบวนการเมืองภาคประชาชน ภายใต้การนำของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยมาร่วมเจ็ดปีเต็ม ว่าจะเป็น “ผู้โอบอุ้ม” พลเอก บุญเลิศให้ก้าวไปในทิศทางเดียวกันกับชาวพันธมิตรฯ ดำเนิน “สงครามมวลชน” ต่อสู้จนบรรลุชัย
ณ วันนี้ ผมเชื่อมั่นอย่างยิ่งในอานุภาพของ “ปัญญาตื่นรู้” เมล็ดพันธุ์แห่งการสร้างชาติไทยยุคใหม่ ที่ชาวพันธมิตรฯได้รับการปลูกฝังมาอย่างต่อเนื่อง ว่าจะสามารถ “จุดประกาย” ความคิดของพลเอก บุญเลิศ ให้มองทะลุมายาภาพของการเมืองในระบบรัฐสภา เข้าถึงแก่นแท้ของภารกิจที่ชาวพันธมิตรฯยึดมั่น และถือเอาพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเป็น “เพื่อนแท้” ในยามที่ประเทศชาติกำลังต้องการคนไทย “ทุกฝ่าย” มาร่วมกันกอบกู้ ให้พ้นจากอำนาจครอบงำของกลุ่มทุนสามานย์ในระบอบทักษิณ “ปลดปล่อย”คนไทยให้พ้นจากการเมือง “ซื้อเสียงเลือกตั้ง” แล้วสถาปนาอำนาจกำหนดทางการเมืองของประชาชนขึ้นแทนที่
อีกนัยหนึ่ง “ปัญญาตื่นรู้” คืออาวุธอันศักดิ์สิทธิ์ของ “มวลชน” และ “มวลชนตื่นรู้” คือ ปัจจัยค้ำจุนผู้นำอย่างยั่งยืน
ในปลายปี 2548 เมื่อครั้งคุณสนธิ ลิ้มทองกุล ชักธงรบ “จุดเทียนปัญญา” เปิดโปงความชั่วร้ายของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็ใช่ว่าจะมีแนวคิด “เปลี่ยนแปลงประเทศไทย” ตั้งแต่เริ่มแรก (คำขวัญ “เปลี่ยนแปลงประเทศไทย” ถูกเสนอออกมาในระหว่างการชุมนุมใหญ่ “193 วัน” ปี 2551) แต่เมื่อขบวนการการเมืองภาคประชาชนนำโดยพันธมิตรฯยกระดับขึ้นสู่ความเป็น “มวลชนตื่นรู้” รู้จริงในปมปัญหาของประเทศชาติ รู้คิดที่จะแก้ไขปมปัญหาของประเทศชาติ และรู้ทำในสิ่งที่ถูกต้องในท่ามกลางการเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างต่อเนื่องยาวนาน คุณสนธิ ลิ้มทองกุลก็ประกาศจุดยืนที่จะนำมวลชนชาวพันธมิตรฯ ต่อสู้จนถึงที่สุด “เจ๊งเป็นแจ๊ง ตายเป็นตาย”
อีกนัยหนึ่ง เมื่อมวลชนไม่ทิ้งคุณสนธิ คุณสนธิก็ไม่ทิ้งมวลชน !
ด้วยตรรกะเดียวกัน การระเบิดตัวออกมาของเสธ.อ้าย ก็ไม่จำเป็นว่า เขาจะต้องมีแนวคิดสอดคล้องต้องกันกับพันธมิตรฯในทุกๆเรื่องตั้งแต่เริ่มต้น เพราะเขาก็ “เพิ่งมา” แต่ด้วยสิ่งที่เขาให้สัมภาษณ์แก่สื่อมวลชนอย่างเปิดเผยครั้งแล้วครั้งเล่าว่า “ไม่เอาการนักการเมือง ไม่เอาการเปลี่ยนขั้วอัปรีย์ไป จัญไรมา” ทำให้เขาได้รับ “ฉันทานุมัติ”จากมวลชนตื่นรู้ ถูกยกขึ้นเป็น “วีรบุรุษ” ผู้นำมวลชน ลุกขึ้นสู้นำการเปลี่ยนแปลง การชุมนุมที่สนามม้านางเลิ้ง จึงคลาคล่ำไปด้วย “มวลชนตื่นรู้”
อีกนัยหนึ่ง ในสายตามวลชนตื่นรู้ เขามาถูกทางแล้ว !
ด้วยอานุภาพของ “ปัญญาตื่นรู้” ของมวลชนจำนวนมหาศาลทั่วทั้งประเทศ และนับวันเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จะทำให้พลเอก บุญเลิศ ยืนหยัดอยู่ในฐานะ “ผู้นำ” คนสำคัญของขบวนการการเมืองภาคประชาชนต่อไปได้ ไม่ว่าการชุมนุมครั้งที่สองจะมีผลเป็นประการใด เพราะผู้นำที่ดี ย่อม “เชื่อฟัง” มวลชนเสมอ
นั่นหมายถึงว่า ในกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของประเทศไทยครั้งยิ่งใหญ่นี้ พลังอำนาจของ “มวลชนตื่นรู้” คือตัวกำหนดเอก !
พลเอกบุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ จะดำรงความเป็นผู้นำใน “สงครามมวลชน” ได้อย่างยั่งยืน ก็ด้วยอำนาจกำหนดของมวลชนตื่นรู้ ที่เขาได้สัมผัสและยอมรับ หากมิใช่ตัวเลขการชุมนุมครั้งที่สองว่าจะถึงล้านหรือไม่
นี่คือ “กฎ”สำคัญประการหนึ่งของ “สงครามมวลชน” ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างมวลชนกับผู้นำ
อันเป็นกฎที่แตกหน่อต่อจาก“กฎพื้นฐาน” ในสงครามมวลชนอันยิ่งใหญ่นี้ ซึ่งก็คือ “มวลชนตื่นรู้” คือผู้กำหนด !
กล่าวอย่างเป็นรูปธรรม ก็คือ มวลชนตื่นรู้ เป็นผู้กำหนดตัวผู้นำ !
ทั้งคุณสนธิ ลิ้มทองกุล พลตรี จำลองศรีเมือง และพลเอกบุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ ต่างดำรงความเป็นผู้นำบนฐานแห่ง “กฎ” นี้ทั้งสิ้น
เป็น “สัจธรรมเฉพาะ” ของการเมืองประเทศไทย !
เมื่อทุกคนยอมรับสัจธรรมทั่วไป ที่ว่า “ประวัติศาสตร์สร้างวีรบุรุษ” ได้ ก็ควรจะเข้าถึง “สัจธรรมเฉพาะ”ของเราเองได้ด้วย
ในระยะยาว สัจธรรมเฉพาะข้อนี้ จะเป็นเหตุปัจจัยสำคัญยิ่ง ในกระบวนการ “หยั่งราก” ของต้นไม้ “ประชาธิปไตยประชาชน” ในระบอบประชาธิปไตยประชาชน อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข