ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - เศร้าไปตามๆ กันสำหรับบรรดาคนเสื้อแดงทั้งหลาย ที่คอยเอาอกเอาใจช่วย “ตุ๊ดตู่-จตุพร พรหมพันธุ์” ให้ได้ติดยศเป็นรัฐมนตรีขึ้นแท่นเป็นอำมาตย์ ...ก็จะไม่ให้ผิดหวังได้อย่างไร เพราะเมื่อมีกระแสข่าวการปรับ ครม.ทีไร เมื่อนั้นชื่อของจตุพรก็แทบจะไม่หลุดโผจากตัวเต็งเลยว่าจะได้ขึ้นวอทุกคราครั้งไป เพราะถึงที่สุดความจริงอันโหดร้ายที่ปรากฏก็คือ การปรับ ครม.ยิ่งลักษณ์ 3 ที่ผ่านไปเป็นที่เรียบร้อยไร้เงาของแกนนำแดงตัวพ่ออย่าง “คางคกตู่”
เรียกว่าทำเอาเกิดแรงกระเพื่อมแรงไปทั้งพรรคเพื่อไทยเลยทีเดียว
ต้นสายปลายเหตุหนีไม่พ้นเรื่องอกหักผิดหวังพลาดเก้าอี้ เพราะตั้งความหวังไว้นานแล้วว่าอย่างไรงวดนี้ “จตุพร” ไม่พลาดได้ขึ้นเป็นอำมาตย์สมใจแน่นอน แต่แล้วก็ต้องนั่งซดแห้วไปตามระเบียบ ทำเอาสารพัดแกนนำหลัก แกนนำรอง คนเสื้อแดง ออกมาฟาดงวงฟาดงาเป็นพัลวันเลยทีเดียว อาทิ นายวรชัย เหมะ ส.ส.สมุทรปราการ ที่ลงทุนลงแรงออกมาฟาดงวงฟาดงาว่าเพราะไม่ใช่อำนาจพิเศษอะไร แต่เป็นคนกันเองขัดขวางทิ่มแทงกัน แถมด้วยการปูดชื่อ คนอักษรย่อ "ส." จะเป็นคนที่มาทำลายพรรค มากกว่าจะมาช่วยเหลือพรรค
และ ส.ที่ว่านั้นก็ถูกเฉลยในเวลาต่อมาว่า น่าจะหมายถึง “นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ” เลขาธิการนายกรัฐมนตรี
หรือจะเป็นรายของ จ.ส.ต.ประสิทธิ์ ไชยศรีษะ ส.ส.สุรินทร์ ก็ดุเดือดไม่แพ้กัน โดยกล่าวทวงสัญญาที่ทักษิณ เคยโฟนอินมายังคอนเสิร์ตคนเสื้อแดง ที่โบนันซ่า เขาใหญ่ บอกรอบหน้านายจตุพรได้เป็นรัฐมนตรี แถมด้วยการไปจะทวงถามทักษิณที่จะมาท่าขี้เหล็ก ประเทศพม่า ให้กับคนเสื้อแดงได้รู้อีกต่างหาก
ยังไม่นับสื่อสายเสื้อแดงทั้งเว็บไซต์เสื้อแดงหลายอันรวมถึงรายการทีวีเสื้อแดงก็จะพบว่าก็ให้ความสำคัญกับเรื่องที่ทำไมจตุพรไม่ได้เป็นรัฐมนตรีค่อนข้างมาก โดยมีการตั้งคำถามสารพัดสารเพว่า เหตุอันใดจตุพรถึงพลาดตำแหน่งรัฐมนตรี
ยิ่งเมื่อมาฟังคำพูดตุ๊ดตู่ เจ้าของเรื่องที่ออกมาให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน แม้จะพยายามเก็บอาการ ระวังปากเพียงใด แต่ท่าทีและคำพูดก็สะท้อนความจริงอันแสนแสบทรวง
“เรื่องตำแหน่งทำใจได้ เคยคุยกับคนมีอำนาจจะตั้งว่าโดยส่วนตัวหายอยากแล้วจริงๆ ถ้าการต่อสู้พวกเราได้รับคดีจำนวนมาก ถือเป็นรอยตำหนิ ไม่รู้ว่าวันข้างหน้าพรรคเพื่อไทยจะหาคนสู้รบได้อย่างไร เพราะทุกคนต้องรักษาตัวเองให้สะอาด แต่ไม่สามารถรักษาพรรคและรัฐบาลได้เลย
“คดีที่มีจำนวนมากไม่ใช่เรื่องส่วนตัวแม้แต่เรื่องเดียว แต่เป็นผลพวงจากการต่อสู้เพื่อระบอบประชาธิปไตย ถ้าถือเป็นรอยตำหนิ ก็ภาคภูมิใจกับรอยตำหนิ ในชีวิตนี้จะเปลี่ยนไม่ได้ นักรบเก่งกาจเพียงใด เมื่ออยู่ในสนามรบย่อมได้บาดแผลเมื่อเสร็จศึกก็บอกว่าเป็นรอยตำหนิ ขอให้คนผิวพรรณเกลี้ยงเกลาเถอะ เมื่อรบเสร็จ คนที่ไม่ได้รบก็อยู่แถวหน้า นักรบมันพิกลพิการมันอยู่แถวหลังสุด นี่คือโลกแห่งความเป็นจริง"
เรียกว่าแฝงไปด้วยอาการตัดพ้อน้อยใจ ที่สู้และรบมาขนาดนี้เพื่อ นช.ทักษิณ ชินวัตร จนตัวเองมีรอยแผลมีตำหนิมากมาย แต่กลับถูกคนบางคนที่มีส่วนสำคัญในการพิจารณาการแต่งตั้งรัฐมนตรีมองว่าบาดแผลที่จตุพรได้รับคือคดีความต่างๆ ทำให้ยังไม่ควรแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรี
จับความรู้สึกจตุพรและเสื้อแดงได้ว่า สู้ต่อไปก็คงเสียแรงเปล่า
สำหรับอาการงอนของเดอะคางคกนั้น ต้องบอกว่ามีไม่ใช่น้อยเหมือนกัน ขนาดที่ว่าเจ้าของพรรคอย่าง นช.ทักษิณ โยนเศษเนื้อคือตำแหน่ง ที่ปรึกษา รมว.มหาดไทยมาให้ ด้านนายจตุพรก็ให้สัมภาษณ์ชัดแจ๋วเลยว่าไม่ขอรับตำแหน่งนี้ แต่จะขอทำหน้าที่เป็นแกนนำเสื้อแดงก็พอ
ขณะเดียวกัน ก่อนหน้านั้น นายจตุพรยังตอบคำถามนักข่าวด้วยว่า ไม่น้อยใจ แต่อยากให้เป็นอุทาหรณ์มากกว่าว่าไม่มีใครให้หลักประกันได้ว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์เหมือน 19 ก.ย. 2549 และเหตุการณ์ พ.ค. 2553 ขึ้นอีก ดังนั้น อยากถามว่าอนาคตใครจะกล้าไปต่อสู้กับพวกคนเหล่านี้
ปัดโถเอ่ย ชัดเจนยิ่งกว่าชัดว่านี่มันเป็นการประจานตัวเองว่าขบวนการการเคลื่อนไหว นำการต่อสู้ของคนเสื้อแดงที่ผ่านมานั้น แท้จริงก็เป็นเพียงจ็อบแย่งชิงอำนาจจากรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์มาให้แก่พรรคการเมืองของผู้กำกับละคร คือ นช.ทักษิณที่ให้นายจตุพรแสดงนำ
แต่จะว่าไปแล้ว ก็คงจะจริงของนายจตุพร เพราะปฏิเสธไม่ได้ ในบทบาทของนักรบ เพราะนายจตุพรได้แสดงออกอย่างถึงพริกถึงขิง ดุดัน ถึงลูกถึงคน ไม่ว่าจะเป็นการนำฝูงชน การตอบโต้กับพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้าม แม้กระทั่งการก้าวล่วงที่นำไปสู่คดีฟ้องร้องติดตัวอีกมากมาย ที่สำคัญบรรดาผู้ได้บำเหน็จความดีความชอบเป็นอำมาตย์ ส่วนใหญ่ล้วนไม่มีความดีติดตัว อาจจะมีแค่ข้อหาก่อการร้าย เหมือนอย่าง นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ คู่หูของ "ตู่-จตุพร" แต่ไม่มีข้อหาล่วงละเมิดสถาบันติดตัวอยู่ เหมือนกับนายจตุพร และหากเปรียบเทียบบุคลิกการพูดจาออกสื่อของคู่หู 2 คนนี้แล้วก็ค่อนข้างต่างกันชัดเจน
สำหรับเสี่ยเต้นจะออกไปทางพูดจาดูดี มีหลักการในการให้สัมภาษณ์สื่อผิดกับเดอะคางคกที่บุคลิกภาพออกไปในทางก้าวร้าวมากกว่าการเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนว่านอนสอนง่าย ตามสเปกรัฐมนตรีของประมุขรัฐไทยใหม่
กล่าวสำหรับตุ๊ดตู่ก็ต้องบอกว่าไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีเลย สำหรับการดันให้ขึ้นมาเป็นรัฐมนตรี ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นก็ไม่ได้ต่างจากสายล่อฟ้าชั้นดีนี่เอง เพราะแผลติดตัวและภาพลักษณ์ก็ซ้ำหนักพอตัวอยู่แล้ว ลำพังเสถียรภาพของรัฐบาลกก็ยังถือว่าไม่ได้มั่นคงเท่าไหร่นัก เพราะกำลังจะต้องเจอศึกใหญ่อย่างการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่วันข้างหน้า การให้เก้าอี้นายจตุพรจะกลายเป็นการสร้างเงื่อนไขให้รัฐบาลโดนโจมตีมากขึ้น อีกทั้งจะทำให้เกิดการต่อรองตำแหน่งของแกนนำนปช.รายอื่นๆ ตามมาอีก
กระนั้นแล้ว นี่คงเป็นทางออกสำหรับ นช.ทักษิณ ที่หยิบยื่นให้ ไอ้ตู่ และส่งสัญญาณชัดเจนไปถึงบรรดาคนเสื้อแดงทั้งหลายว่า ความจริงที่โหดร้ายคืออะไร ยิ่งนับวันบทบาทที่ยืนของคนเสื้อแดงยิ่งแคบลง
กระทั่งพูดกันชัดเจนเป็นการภายในตั้งแต่ต้นว่า ตำแหน่งรัฐมนตรีในโควตาของคนเสื้อแดงมีได้เพียงหนึ่งเดียว ซึ่งตอนนี้ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นั่งทับอยู่ เหมือนมีการส่งซิกให้ไปเคลียร์กันภายในให้ลงตัวว่าจะเอาใครมานั่งให้ชัดเจน ไม่เคยมีพื้นที่ให้คนเสื้อแดงมากเกินกว่านั้น สะท้อนให้เห็นถึงตัวตนราคาของเสื้อแดงว่ามีค่าแค่ไหน
ขณะเดียวกัน หากจะกล่าวถึงความดราม่าของเรื่องนี้ คงไม่ใช่รายของตู่-จตุพรรายเดียว ที่ต้องถูกหลอกใช้ เหมือนเสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล
เพราะปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นก็คือ คนเสื้อแดงส่วนใหญ่กลับเสียอกเสียใจแห่แหนไปให้กำลังใจ ปลอบประโลมกันยกใหญ่ ซึ่งต้องบอกว่าช่างน่าตลกผสมน่าสมเพชมิใช่น้อย
ที่ต้องขีดเส้นใต้ไว้ก็คือหารู้ไม่ว่า บรรดาคนเสื้อแดงเป็นกลุ่มคนที่ไม่ได้อะไรเลยแม้แต่น้อย ที่ไม่เคยจำสำเหนียกเลยว่าถูก นช.ทักษิณ หลอกใช้ ไม่พอ ยังต้องมาถูกบรรดาแกนนำเสื้อแดงหลอกใช้ซ้ำใช้ซ้อนกันอยู่ร่ำไป
คนเสื้อแดงที่มีสติปัญญาน่าจะฉุกใจคิด ถามนายจตุพรกลับไปบ้างว่า ไอ้ที่ว่านายจตุพรบอกว่ามีบาดแผลเต็มไปหมดมันเป็นบาดแผลตรงไหนหรือ เทียบกับที่เสื้อแดงตาย บาดเจ็บ ทำเอาแผลของนายจตุพรที่ว่าเป็นเหมือนแผลขี้ปะติ๋วไปเลยด้วยซ้ำ ที่ผ่านมา ทำไมนายจตุพรไม่ออกมาเรียกร้องต่อสู้ ไม่ใส่ใจ ดูแล หรือไม่เคยเห็นหัวคนเหล่านั้นเลย ใช่หรือไม่
คนเสื้อแดงจำนวนมากถูกดำเนินคดี ติดคุกโดยปราศจากความเหลียวแลจากแกนนำ ถึงขนาดมีหลายคนออกมาเปิดโปงว่า ไม่เคยเห็นหัวนายจตุพรหรือนายณัฐวุฒิเลย
หรือแม้แต่รับใบสั่ง นช.ทักษิณ ให้ลืมอุดมการณ์ประชาธิปไตยไว้ชั่วคราว สวมบทเป็นอุดมกิน ในเรื่องบรรดาหัวโจกทั้งหลาย ที่ออกมาปกป้องอดีตหัวหน้าคณะรัฐประหาร อย่าง พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ทั้งที่เคยขับไล่ ทักษิณ ชินวัตร พ้นอำนาจ มิหนำซ้ำยังตั้งข้อหาฉกรรจ์ ทุกคนต่างกลายเป็นคน “ความจำเสื่อม” อ้างว่าต้อง “ลืมอดีต” หน้าตาเฉย ทั้ง จตุพร พรหมพันธุ์ และ บรรดาโจกแดง ก็ต่างออกมาชื่นชม “บังสนธิ” กันยกใหญ่ ไม่ติดใจแล้วกับ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ที่เคยยกเป็นสัญลักษณ์ “อำมาตย์” กดขี่ไพร่
แม้แต่วันที่ นช.ทักษิณร้องเพลง "ช่างแม่มัน" ประกาศเดินหน้าผลักดันกระบวนการล้างผิดในวาทกรรมปรองดอง บอกให้แม่น้องเกดเสียสละเพื่อส่วนรวม นายจตุพรกับนายณัฐวุฒิก็ไม่แสดงการรู้สึกรู้สาไม่เคยขัดใจ นช.ทักษิณ ผู้เป็นเจ้าของรัฐบาล เจ้าของพรรคเพื่อไทยเลยด้วยซ้ำ
และในที่สุดความจริงก็ต้องปรากฏออกมา รับรู้ว่าคนพวกนี้ถูกหลอกใช้ให้มาตายแทน ขณะที่มีคนเพียงแค่หยิบมือเดียวกลับได้เสวยสุข มีทั้งเงินทองและอำนาจ มิหนำซ้ำยังคิดจะย่ำยี หลอกต้มแบบไหนก็ทำได้ตลอดเวลา และในที่สุดทุกอย่างก็เริ่มเปลือยตัวตน เผยความจริงออกมาให้เห็นเองว่าเป็นอย่างไร และตอนนี้ก็กำลังทยอยออกมาเรื่อยๆ
นี่คือความจริงที่คนเสื้อแดงต้องยอมรับ ว่าเป็นกลุ่มคนที่ไม่เคยได้อะไรเลยแม้แต่นิดเดียว
ชั่วโมงนี้คนเสื้อแดง ถ้ายังพอมีรอยหยักในสมอง ควรต้องใช้บทเรียนเรื่อง คางคกอดขึ้นวอเป็นอุทาหรณ์ กลับมาเหลือบดูสารรูปตัวเอง สำรวจตรวจตราตัวเองว่าที่ผ่านมาเหมือนเป็นเพียงเครื่องมือที่ นช.ทักษิณ และเครือข่ายคนในตระกูลหลอกใช้ไปวันๆ
จะอุ้มชูยกยอก็ต่อเมื่อคราวจำเป็นต้องใช้งาน แต่เมื่อเสร็จศึกก็ฆ่าควายถึก ไม่มีความจำเป็นต้องมาไถนาอีกต่อไป เมื่อถึงเวลาตกรางวัลแบ่งสมบัติ มักเป็นพวกท้ายๆ ที่ถูกนึกถึง นั่นเพราะ ทักษิณและคนใกล้ชิด ประเมินคนเสื้อแดงแบบด้อยค่ามาแต่ไหนแต่ไร
โดยเฉพาะเครือข่ายนักการเมืองใกล้ตัวนายใหญ่ นายหญิง นายน้อยทั้งหลาย มองคนเสื้อแดงเป็นพวก เด็กเหลือขอจรจัด ไม่มีที่ไป ไม่มีที่ยืนทางการเมือง หากไม่มีสถานการณ์ขัดแย้งของบ้านเมือง คนเหล่านี้ไม่มีโอกาสโผล่หัวมามีบทบาท ลูกบ้าของคนเหล่านี้สามารถนำมาลุยกับฝ่ายตรงข้ามได้ โดยที่ตัวเองไม่ต้องเปลืองตัว จึงหยิบจับมาใช้งาน จะสู้กันหนักแค่ไหนก็ต้องลุย ใครก็เจ็บ จะตายบ้าง ก็ช่างมัน เป็นไพร่ราบ ทหารเลวในทัพหน้า ย่อมต้องมีการสูญเสียบ้างเป็นธรรมดา เพื่อให้ได้มาซึ่งชัยชนะ
เหล่านี้คือเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริง และเป็นยุทธศาสตร์ที่แกนนำเครือข่ายพรรคเพื่อไทยวางหมากและเดินมาตลอดถึงการไม่ให้ค่า ไม่ให้ราคา คนเสื้อแดงก็ได้แต่ต้องยอมรับมันด้วยความเจ็บปวด
ถูกปฏิบัติเสมือนเป็นขี้ข้าและม้าใช้ ใช้งานเสร็จ ก็จ่ายค่าจ้าง ถีบหัวส่งต่างกับตอนที่ปลุกระดมเรียกร้องให้คนเสื้อแดงออกมาชุมนุมก่อการ ซึ่งทุกครั้งที่สถานการณ์ในประเทศคับขัน วงศ์วานว่านเครือของทักษิณจะเป็นคนกลุ่มแรกที่หอบหิ้วกันหนีออกไปหลบอยู่นอกประเทศ เป็นความจริงแท้แบบปฏิเสธไม่ได้เลยทีเดียวเชียว
ในทางกลับกันแต่พอเมื่อได้อำนาจรัฐ คนกลุ่มแรกที่เข้าไปอยู่วงในการตัดสินใจของรัฐบาล ไม่ว่าจะการจัดสรรตำแหน่งรัฐมนตรี หรือการตัดสินใจจัดสรรผลประโยชน์ต่างๆ ก็จำกัดเพียงคนในตระกูลชินของทักษิณ เพราะอย่างที่รู้กันดีว่ารัฐบาลก็คือบริษัทชินวัตร จำกัด ดีๆ นี่เอง
ดังนั้นแล้ว มาถึงขณะนี้สำหรับแกนนำเสื้อแดงก็เรียกว่าถึงทางแพร่งสำคัญเช่นกัน และอย่าได้แปลกใจหากจะได้ยินกระแสข่าวว่าจะมีการตั้ง “พรรคเสื้อแดง” ขึ้นมา เพราะแกนนำเสื้อแดงก็คงสำเหนียกและรับรู้ความเป็นจริงชัดขึ้นว่า สถานการณ์การเมืองตอนนี้ตัวเองเริ่มจะหมดประโยชน์สำหรับ นช.ทักษิณ บรรดาแก๊งเสื้อแดงต้องสำเหนียกได้แล้วว่า จะอยู่ในสถานะแกนนำคนเสื้อแดงภายใต้พรรคเพื่อไทย หากินกับคนเสื้อแดงโดยยึดแบรนด์ทักษิณ ไว้หากินเหมือนเดิม หรือจะแยกตัวออกไปตั้งพรรคการเมือง โดยเชื่อขนมกินได้เลยว่าก็คงไม่พ้นลุคเป็นแกนนำประชาธิปไตยจอมปลอม
คำถามสำคัญคือจะกล้าละทิ้งแบรนด์ทักษิณ ชินวัตร ที่แกนนำเสื้อแดงนำเอาไปหากินกับคนเสื้อแดงอยู่เป็นประจำ หรือไม่ ซึ่งนั้นก็คงต้องใช้เวลาว่าสุดท้ายแล้วจะลงเอยเช่นไร
แต่สำหรับคนเสื้อแดง ที่ถูกหลอกใช้แล้ว หลอกใช้อีก ก็น่าจะเอาบทเรียนของนิทานเรื่องคางคกอดขึ้นวอ ไปทบทวนให้จงดีว่า ขนาดตุ๊ดตู่ จตุพร ยังโดนนช.ทักษิณ หลอกให้ดีใจ สุดท้ายก็สวมเขาให้เบ็ดเสร็จยังไม่ได้อะไรติดไม้ติดมือในรอบนี้ไปนอกจากเงินอุดปาก แล้วจะนับประสาอะไรกับคนเสื้อแดง ซึ่งต้องกลับไปถามว่าที่ผ่านมาเคยได้อะไรจากประชาธิปไตยจอมปลอมบ้าง นอกจากถูกหลอกออกไปตายแทน เจ็บแทน