ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ภายหลังรายชื่อการปรับ ครม.ครั้งที่ 3 ของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ปรากฏออกมาชัดเจน เมื่อคืนวันที่ 24 ต.ค. คนที่ชอกช้ำระกำใจที่สุดคงไม่มีใครเกินนายจตุพร พรหมพันธุ์ อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย และแกนนำคนเสื้อแดง ซึ่งเป็นที่คาดหมายว่า การปรับ ครม.เที่ยวนี้น่าจะถึงคิวได้สัมผัสเก้าอี้รัฐมนตรีอย่างแน่นอน
หลังจากแกนนำเสื้อแดงรุ่นน้อง อย่างนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ได้สวมชุดเสนาบดีในฐานะรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มาแล้วตั้งแต่การปรับ ครม.เมื่อต้นปีที่ผ่านมา
โผต่างๆ ที่มีการเก็งออกมา จึงมีชื่อของนายจตุพรติดอยู่ด้วยแทบทุกโผ รวมทั้งเอแบคโพลล์ก็ยังบอกว่านายจตุพรเหมาะกับตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงแรงงานหรือไม่ก็กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เพราะเป็นแกนนำมวลชนน่าจะเข้าใจความเดือดร้อนของประชาชนเป็นอย่างดี
ที่สำคัญนายจตุพรเคยได้รับความหวังจากการที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคดี นายเหนือหัวตัวจริงของคนเสื้อแดงและพรรคเพื่อไทย โฟนอินเข้าไปยังที่ชุมนุมคนเสื้อแดงที่โบนันซา เขาใหญ่ เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2555
ในวันนั้น พ.ต.ท.ทักษิณบอกว่า นายจตุพรคือน้องรัก และมีคนถามว่าทำไมไม่ได้เป็นรัฐมนตรีเสียที ทั้งที่มีความเหมาะสม นายจตุพรจะได้รับการตอบแทนน้ำใจที่ดีกว่านี้อย่างแน่นอน เพราะเป็นคนดีและมีอนาคต เพียงแต่ต้องขอเวลา
นายจตุพรคงนึกว่าการขอเวลาของ พ.ต.ท.ทักษิณ คงจะแค่ 8 เดือน ในการปรับ ครม.รอบนี้นายจตุพรจึงมีความหวังอย่างแรงกล้า ถึงขั้นลงทุนขออนุญาตศาลเพื่อไม่ให้ผิดเงื่อนไขการประกันตัวในคดีก่อการร้ายยุยงคนเสื้อแดงเผาบ้านเผาเมือง แล้วเดินทางไปฮ่องกง เพื่อพบกับ พ.ต.ท.ทักษิณ เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม พร้อมกับนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำเสื้อแดงที่โดนข้อหาเดียวกัน
นายจตุพรอ้างว่า การเดินทางไปฮ่องกงครั้งนี้ เพียงแค่ไปขอพรวันเกิดครบรอบ 47 ปีจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้ไปเพื่อขอตำแหน่งรัฐมนตรีตามที่มีกระแสข่าวออกมา แต่น้อยคนนักที่จะเชื่อตามที่นายจตุพรกล่าวอ้าง นั่นเพราะการเดินทางไปพบในช่วงที่มีการจัดโผปรับ ครม.ถึงไม่ได้ไปขอตำแหน่งโดยตรง ก็ย่อมหวังผลที่จะให้ พ.ต.ท.ทักษิณได้นึกถึงคำสัญญาเก่าๆ บ้าง
สุดท้ายเมื่อโผ ครม.ลงตัว และไร้ชื่อเจ้าของฉายา “คางคกตู่”อยู่ใน ครม.ชุดใหม่ กระแสความไม่พอใจจากเหล่าหัวโจกคนเสื้อแดงก็ปรากฏขึ้นทันที เพียงแต่ไม่กล้าออกมาชนโดยตรง นั่นเพราะรู้สถานภาพตัวเองดีว่า เป็นเพียงข้ารับใช้เท่านั้น
การแสดงความไม่พอใจ จึงออกมาในลักษณะการตัดพ้อเสียมากกว่า โดยนายวรชัย เหมะ ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย บอกว่าเห็นใจนายจตุพรและเข้าใจในการปรับ ครม.ครั้งนี้ เพราะอำนาจไม่ได้อยู่ที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เพียงคนเดียว แต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ต้องฟังเสียงทั้งใน และนอกพรรคด้วย ซึ่งก็มีเสียงที่กีดกันนายจตุพรทั้งในและนอกพรรค ซึ่งขบวนการนอกพรรคก็อยู่ใกล้ชิดศูนย์กลางอำนาจเดิม แต่ก็ต้องขอให้คนเสื้อแดงยอมรับการตัดสินใจปรับคณะรัฐมนตรีครั้งนี้
ส่วน จ.ส.ต.ประสิทธิ์ ไชยศรีษะ ส.ส.สุรินทร์ พรรคเพื่อไทย บอกว่า คนเสื้อแดงหลายคนเสียความรู้สึก ยอมรับไม่ได้ ผิดหวังกับการปรับ ครม.ครั้งนี้ เพราะอยากให้นายจตุพรได้รับตำแหน่งรัฐมนตรี เพราะเป็นแม่ทัพในการต่อสู้ในเหตุการณ์การชุมนุม และเป็นผู้เสียสละจนมีคดีติดตัวมากมาย แต่เชื่อว่าจะไม่มีแรงกระเพื่อมเกิดขึ้น เพราะคนเสื้อแดงก็เข้าใจกับรัฐบาลที่ได้สนับสนุน จึงไม่จำเป็นที่ต้องมาทำลายกัน
จ.ส.ต.ประสิทธิ์ ไม่วายตัดพ้อว่า ในการต่อสู้ที่ผ่านมา นายจตุพร น่าจะมีโอกาสมากกว่าบางคน จึงอยากให้รัฐบาลระวังตัวในการแต่งตั้งบุคคลเข้ามาเป็นรัฐมนตรีให้มากกว่านี้ และที่สำคัญมีบางคนใจไม่กว้างพอที่จะยอมรับว่านายจตุพรเป็นนักสู้ที่มีอุดมการณ์ คนพวกนั้นมีความเห็นแก่ตัวคว้าตำแหน่งมาก่อน ซึ่งตนก็รู้ว่าใครก็อยากได้ แต่ถ้าเป็นตนจะเสียสละให้แก่คนที่เป็นแม่ทัพ
ถัดมา วันที่ 26 ต.ค.ที่ห้างอิมพีเรียลลาดพร้าว รังใหญ่ของคนเสื้อแดง แกนนำ นปช.ทั้งนางธิดา ถาวรเศรษฐ์ ประธาน นปช. พร้อมสามี คือ นพ.เหวง โตจิราการ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย และแกนนำคนเสื้อแดง และนายจตุพร พรหมพันธุ์ ได้เปิดแถลงข่าวแสดงท่าทีต่อการปรับ ครม.เป็นการเฉพาะ
ซึ่งท่าทีที่แสดงออกมาแสดงถึงการไม่พอใจอย่างรุนแรง แต่ก็ยังไม่กล้าแตกหักกับนายใหญ่อยู่ดี แถมยังกระทบชิ่งไปยัง “อำมาตย์”ว่าอยู่เบื้องหลังการพลาดตำแหน่งของนายจตุพร ไม่กล้าโยนความผิดไปที่ พ.ต.ท.ทักษิณผู้มีอำนาจชี้ขาดสูงสุด
นางธิดาอ้างว่า คนเสื้อแดงต่อสู้มานานเกือบ 6 ปี บางครั้งอาจมีความรู้สึกบางอย่างบ้าง แต่เรามีวุฒิภาวะในการฝ่าฟันไปได้ด้วยดี เพราะเราไม่เคยลืมเป้าหมายของการต่อสู้
ส่วนเรื่องการปรับคณะรัฐมนตรี นางธิดาบอกว่า รัฐบาลต้องไม่ลืมองค์ประกอบ 3 อย่างที่สัมพันธ์กัน คือ รัฐบาล พรรคเพื่อไทย และ นปช. ที่แม้ว่าการดำเนินการอาจแยกกัน แต่ฐานสำคัญที่หล่อเลี้ยงทุกองค์ประกอบก็คือประชาชนคนเสื้อแดง เพราะฉะนั้นทุกคนต้องไม่ลืมจุดนี้ ฝากไปยังรัฐบาลและพรรคเพื่อไทย เราเข้าใจพรรคเพื่อไทย และรัฐบาลต้องดำรงอยู่ในรัฐนาวาที่มีคลื่นลมสูง แต่รัฐนาวาที่เคลื่อนไปได้เพราะมีประชาชนหนุนอยู่ เพราะฉะนั้นภาวะการดำรงอยู่ของรัฐบาล ไม่ควรมีเพียงมุมมองเดียวจากสายตาระบอบอำมาตย์ แต่ควรมาจากสายตาประชาชนด้วย เรือจะลอยได้เพราะมีน้ำซึ่งคือประชาชน น้ำทำให้เรือลอยและเรือจมได้เหมือนกันมันเป็นสัจธรรม
ส่วนนายจตุพรเองกล่าวว่า สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดไม่ได้มีอำนาจพิเศษใดๆ แต่เป็นความอ่อนแอของอำนาจธรรมดาที่ต้องการรักษาอำนาจโดยหวังว่ากลไกอำมาตย์จะไว้ชีวิต จนลืมไปว่าคนที่ให้ชีวิตคือประชาชน
นายจตุพรอ้างว่า สำหรับตนตำแหน่งเป็นเรื่องเล็กมาก เพื่อนพ้อง พี่น้องได้โทรศัพท์มาหาต่างก็มีความรู้สึก หัวใจคนเสื้อแดงที่ผ่านการสู้รบกันมาโดยที่เราไม่รู้เลยว่าเขาเล่นละครกันซึ่งเราดันไปเล่นกันจริง เราเข้ามาอยู่ในท่ามกลางดงละคร เราต่อสู้แต่ละอย่างดันมีคดีไปหมด ทั้งที่เขาบอกให้เราไปแสดง แต่ละคนต่างเล่นบทแตกต่างกันไป ถ้าการต่อสู้ของพวกเราได้รับคดีเป็นจำนวนมากถือว่าเป็นรอยตำหนิ ในวันข้างหน้าจะหาคนมาปกป้องประชาธิปไตยได้อย่างไร เพราะทุกคนต่างต้องต่อสู้
คำพูดของนายจตุพรแสดงถึงความน้อยใจอย่างชัดเจน แม้ภายหลังแถลงข่าว นายจตุพรบอกกับผู้สื่อข่าวว่า ตนเองไม่ได้น้อยใจ และยืนยันว่าไม่เคยพูดเรื่องตำแหน่งรัฐมนตรีกับ พ.ต.ท.ทักษิณ และการไม่ได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีในการปรับ ครม.ครั้งนี้ ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ตนมีคดี เพราะตนพร้อมจะออกจากตำแหน่งทันทีหากเกิดเรื่องที่จะกระทบกับพรรค
แต่นั่นเป็นเพียงคำพูดเพื่อกลบเกลื่อนความขื่นขมไว้ในใจของนายจตุพร เพราะหลังจากนั้นก็ยังมีท่าทีสงสัยจากฝ่ายคนเสื้อแดงต่อการทำโผปรับ ครม.ตามมาอย่างต่อเนื่อง
โดยเป้าของความไม่พอใจอยู่ที่คนใกล้ชิดนายกฯ ชื่อย่อว่า “ส.” ซึ่งเคยร่วมก่อตั้งพรรคไทยรักไทยร่วมกับ พ.ต.ท.ทักษิณมาก่อนแต่ตีตัวออกห่าง หลังจากทักษิณโดนรัฐประหาร จนเมื่อพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาลจึงกลับมาตีสนิท น.ส.ยิ่งลักษณ์จนได้กลับเข้ามามีตำแหน่งในทำเนียบรัฐบาลอีกครั้ง และสร้างความไม่พอใจให้กับคนในพรรค
อย่างไรก็ตาม หากวัดจากคำพูดของ จ.ส.ต.ประสิทธิ์ ไชยศรีษะ เมื่อวันที่ 1 พ.ย. ที่บอกว่าแกนนำเสื้อแดงมีความเข้าใจ แม้บางส่วนยังคาใจ และในวันที่ พ.ต.ท.ทักษิณเดินทางมาที่จังหวัดท่าขี้เหล็กของพม่า แกนนำบางส่วนจะเดินทางไปสอบถาม พ.ต.ท.ทักษิณโดยตรง แต่ก็ยืนยันว่ากรณีดังกล่าวไม่ได้ทำให้เกิดความแตกแยกระหว่างคนเสื้อแดงกับพรรคเพื่อไทยและพ.ต.ท.ทักษิณ ก็แสดงว่ากระแสคลื่นใต้น้ำในพรรคเพื่อไทยคงจะกระเพื่อมอยู่อีกไม่นาน
คนอย่าง นช.ทักษิณ ชินวัตร ที่มีประสบการณ์เลี้ยงคนร้อยพ่อพันแม่ไว้ใช้งาน คงหาวิธีให้นายจตุพรและฝ่ายคนเสื้อแดงสงบปากสงบคำลงได้ไม่ยาก และอีกไม่นานกระแสความไม่พอใจต่อการปรับ ครม.ครั้งนี้ ก็คงจะหายไปเหมือนคลื่นกระทบฝั่ง