ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-หลังจากเรียงหน้ากันออกมาปฏิเสธตั้งแต่หัวยันหาง แต่ในที่สุดเมื่อความจริงเรื่อง “ชายชุดดำ” ไล่ล่าจนหนีไม่พ้น แกนนำเสื้อแดงตัวพ่อ “ตู่” นายจตุพร พรหมพันธุ์ ผู้กำลังสร้างราคาเพื่อขึ้นตำแหน่งเสนาบดีก็ออกมายอมรับว่าเหตุการณ์ชุมนุมกลางเมืองหลวงของกลุ่มนปช.เมื่อปี 2552 มีชายชุดดำเข้าร่วมปฏิบัติการจริงแต่แถข้างๆ คูๆ ไปว่า เป็นชายชุดดำที่นั่งรถตู้ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ออกมาจากกรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ (ร.11 รอ.) ช่วงตั้งศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) จึงขอให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ไปขอภาพวงจรปิดการเข้า-ออก มาตรวจสอบ หนำซ้ำยังยิงหมัดซัดทหารอีกด้วยว่า ดีเอสไอควรเรียกทหารที่เขียนแผนยุทธการ และผังล้มเจ้าซึ่งเป็นจุดเชื่อมโยงสร้างปมสลายการชุมนุมมาสอบด้วย
ที่ร้ายไปกว่านั้นคือนายจตุพร ยังเฉไฉไปอีกว่าเรื่องชายชุดดำเป็นการสร้างสถานการณ์ เพราะเขารู้ว่าการ์ดรักษาความปลอดภัยในการชุมนุมของนปช.แต่งกายชุดดำเพื่อให้แตกต่างกับคนเสื้อแดง แต่ในกรณีสำนักข่าวต่างประเทศที่ถ่ายภาพคนชุดดำ 5 คน ในเหตุการณ์ 10 เม.ย.53 ถ้าถ่ายภาพชายชุดดำเหตุการณ์ได้จริง ทำไมไม่นำออกอากาศในวันที่ 13 เม.ย. 53 สัญชาตญาณความเป็นสื่อจะต้องออกเผยแพร่ทันที รวมทั้งกรณีอนุสรณ์สถาน ที่ถ่ายชายชุดดำได้ 1 คน ก็เก็บไว้ 2 วัน ก่อนนำออกเผยแพร่ ซึ่งผิดวิสัยสื่อมวลชน ซึ่งเรื่องนี้ในทางทหารเรียกว่าปฏิบัติการไอโอ เป็นเรื่องที่น่าสงสัย แม้แต่ภาพในเซ็ลทรัลเวิลด์ที่ใส่ชุดดำ แต่ใส่รองเท้าคอมแบ็ตเหมือนของทหารที่อยู่ด้านนอก
นี่เป็นการยอมรับอย่างจะแจ้งต่อสาธารณะของแกนนำเสื้อแดงเรื่องชายชุดดำ เมื่อความจริงจากคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คปอ.) และฝ่ายต่างๆ ต่างยืนยันถึงการมีอยู่ของชายชุดดำว่าเป็นกลุ่มคนที่จุดชนวนให้เกิดความรุนแรง กระทั่งทำให้แกนนำนปช.และกลุ่มที่อยู่เบื้องหลังเกิดอาการร้อนรน หาทางปัดสวะให้พ้นตัว ยิ่งเมื่อพรรคประชาธิปัตย์ที่ทั้งหัวหน้าพรรคนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรค ซึ่งก่อนหน้านี้ถูกดีเอสไอสอบสวนอย่างหนักกรณีสลายการชุมนุมและชายชุดดำก่อนหน้าเพื่อหาทางสืบสาวเอาผิดผู้บงการ ประกาศจะเดินสายโพนทะนาความจริงทั่วประเทศ ก็ยิ่งทำให้อีกฝ่ายหนึ่งหาทางกลบเกลื่อน แม้กระทั่งพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ยังส่งลิ่วล้อยื่นฟ้องต่อศาลสู้ข้อกล่าวหาว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังชายชุดดำเป็นการดักทาง
อย่างไรก็ตาม การออกมาแถของนายจตุพร คราวนี้ ถูกสวนกลับจากผู้ถูกพาดพิงทันที โดยฝ่ายทหาร “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก สวนหมัด ว่าการที่แกนนำ นปช. เปิดเผยว่า มีชายชุดดำเดินทางเข้า-ออกกรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ ในช่วงเหตุการณ์สลายการชุมนุมปี 2553 นั้น ไม่มีทางเป็นไปได้อยู่แล้ว ซึ่งตนเองไม่อยากตอบโต้ เพราะได้พูดไปหลายครั้งแล้วว่า จะมีหรือไม่มีตนเองไม่รู้ แต่ที่รู้คือมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตกันทั้งสองฝ่าย ซึ่งต้องไปพิจารณาแยกแยะกันเองว่าเป็นไปได้อย่างที่นายจตุพรกล่าวหรือไม่
แถมสำทับตบท้ายด้วยว่า รัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลประชาธิปไตย ต้องว่ากันตามกระบวนการประชาธิปไตย อย่ามากดดันเจ้าหน้าที่หรือกดดันใคร ซึ่งการด่าตนเองหรือด่ากองทัพบกนั้น ถือว่าไม่ให้เกียรติกัน ซึ่งถ้าไม่ให้เกียรติกันแล้ว ก็อย่าหวังว่าจะได้อะไรจากกองทัพบก
ไม่เพียงเท่านั้น พ.อ.วินธัย สุวารี รองโฆษกกองทัพบก ยังออกมาอัดแกนนนำนปช. ที่ปัดสวะเรื่องชายชุดดำเพื่อหาทางหนีความผิดว่า ข้อมูลของนายจตุพรที่อ้างถึงชายชุดดำในรถของสตช.ที่เข้า-ออกกรมทหารราบที่ 11 ที่ตั้งศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ว่า เรื่องดังกล่าวสามารถตรวจสอบได้ตามขั้นตอนกระบวนการ จึงอยากขอให้สังคมได้ร่วมพิจารณาว่า เมื่อก่อนจะมีคนบางกลุ่มพยายามปฏิเสธเรื่องของชายชุดดำ แต่ในปัจจุบันการรับรู้ของสังคมเปลี่ยนไปเนื่องจากข้อเท็จจริงที่หลายฝ่ายมิอาจปฏิเสธได้ว่ามีกลุ่มชายชุดดำดังกล่าวจริง จึงอาจเป็นไปได้ที่กลุ่มผู้ไม่หวังดีบางกลุ่มพยายามที่จะออกตัวปฏิเสธในความเชื่อมโยงกับกลุ่มชายชุดดำ
“มีความพยายามชี้นำความเชื่อของสังคมไปในทิศทางอื่นหรือทิศทางตรงข้ามความเป็นจริง เช่นพยายามทำให้เห็นว่าชายชุดดำมีความเกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่ ซึ่งเชื่อว่าคงจะต้องมีการพิสูจน์ความน่าเชื่อถือของแหล่งข่าวที่อ้างถึงด้วย เพราะหลายๆ ครั้งที่ผ่านมาไม่สามารถพิสูจน์ข้อมูลข้อเท็จจริงได้อย่างเป็นรูปธรรม” รองโฆษก ทบ.ระบุ
พ.อ.วินธัย ยังชี้ว่า ในช่วงที่มีการชุมนุมสาธารณชนก็ได้เห็นภาพข่าวผ่านสื่อ ที่แสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมของกลุ่มชายชุดดำที่แสดงออกชัดเจนถึงความต้องการที่จะต่อต้านและทำร้ายเจ้าหน้าที่ทหารด้วยอาวุธสงครามนานาชนิด ถึงขั้นเป็นเหตุให้ประชาชนและเจ้าหน้าที่ทหารมีการบาดเจ็บเสียชีวิต โดยสังเกตได้ชัดเจนว่าระหว่างที่กลุ่มชายชุดดำปฏิบัติการต่อต่านเจ้าหน้าที่อยู่นั้น กลุ่มชายชุดดำดังกล่าวสามารถอยู่ร่วมในกลุ่มกับกลุ่มผู้ชุมนุมได้ด้วยความคุ้นเคยอย่างเปิดเผย อีกทั้งยังแสดงออกให้เห็นถึงการสนับสนุนซึ่งกันและกันในการร่วมกันปฏิบัติการต่อต้านเจ้าหน้าที่ทหารอย่างชัดเจน จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีเจ้าหน้าที่หรือใครก็ตามที่ไม่คุ้นเคยกันจะเข้าไปอยู่รวมปะปนกันในกลุ่มผู้ร่วมชุมนุมกลุ่มดังกล่าวได้
การตอบโต้ของกองทัพบกหนักหน่วงพอที่จะทำให้นายจตุพร สงบปากสงบคำมากขึ้นในการเข้าการต่อดีเอสไอในภายหลัง โดยที่ไม่มีการพูดถึงรายงานของ คปอ. ที่ระบุชัดถึงปฏิบัติการของชายชุดดำนับตั้งแต่การปรากฏตัวก่อนการสลายการชุมนุมบริเวณสี่แยกคอกตัวและบริเวณจุดชุมนุมทั่วเมืองของกลุ่มเสื้อแดง ทั้งบ่อนไก่ ราชปรารภ ราชประสงค์ ฯลฯ ซึ่งรายงานดังกล่าวมีรายละเอียดปฏิบัติการของชายชุดดำชัดเจน
ขณะเดียวกัน นายอภิสิทธิ์ ก็ออกมาตอบโต้นายจตุพรที่อ้างว่าชายชุดดำมีจริง เข้าออกราบ 11 ด้วยรถตำรวจว่า เรื่องนี้เคยมีการชี้แจงมาแล้วตั้งแต่ปี 2553 ซึ่งก็ต้องคิดตามมาว่าทำไมเปลี่ยนไปเรื่อย เพราะตอนแรกบอกว่าไม่มีชายชุดดำ แต่พอถูกพิสูจน์ได้ว่ามีจริง ก็เบี่ยงเบนไปว่ามีชายชุดดำ แต่เป็นพวกคนอื่น จึงอยากให้หน่วยงานที่ทำเรื่องเหล่านี้มีหลักการ และหากนำขึ้นเป็นคดีความ คนพวกนี้ก็ต้องรับผิดชอบทางกฎหมาย ถ้าดีเอสไอไปกลั่นแกล้งใคร คนที่ถูกละเมิดสิทธิ์ก็ต้องใช้สิทธิ์ตามกฎหมาย สำหรับตนกำลังรอดูว่าดีเอสไอจะเดินหน้าต่อไปอย่างไรในเรื่องนี้ ทั้งนี้ ยืนยันว่าไม่หวั่นไหวหากมีการดำเนินคดีกับพวกตนตามที่ตั้งธงไว้ เพราะพร้อมพิสูจน์ข้อเท็จจริงโดยหวังพึ่งกระบวนการยุติธรรม ซึ่งไม่ได้มีแต่ดีเอสไอ และมั่นใจว่าความจริงต้องอยู่เหนืออำนาจรัฐ
ความจริงเรื่องชายชุดดำ กับปฏิบัติการเชือดพรรคประชาธิปัตย์โดยการยืมมือดีเอสไอของกลุ่มคนเสื้อแดงที่มีพรรคเพื่อไทยอยู่เบื้องหลัง จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะป้ายสีความผิดให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้ง่ายๆ เพราะเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องหรือเป็นการเล่นเกมการเมืองกันและจำกัดวงอยู่ระหว่างสองพรรคใหญ่เท่านั้น แต่มีผู้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมากมายรวมถึงมีความเสียหายร้ายแรงเกิดขึ้นทั้งต่อทรัพย์สินและต่อชีวิตประชาชนซึ่งถึงวันนี้ยังมีเสียงร้องระงมของสองฝ่ายทั้งญาติผู้ตายฝ่ายเจ้าหน้าที่และผู้เข้าร่วมชุมนุม
จะว่าไปแล้ว กรณีเรื่องชายชุดดำ หากมีการทำความจริงให้ปรากฏ มีพยานหลักฐานนำคดีขึ้นสู่ศาลติดตามเอาผู้เกี่ยวข้องมารับโทษ เรื่องราวคงไม่คลุมเครือยืดเยื้อและไม่ถูกหยิบใช้เป็นเครื่องมือทำลายฝ่ายตรงข้าม แต่เหตุที่ยังเป็นปัญหาอยู่เป็นเพราะกรมสอบสวนคดีพิเศษ ไม่กระตือรือร้นในการทำคดีที่สงสัยว่าเป็นฝีมือของชายชุดดำหรือฝ่ายแนวร่วมคนเสื้อแดง ขณะที่แกนนำคนเสื้อแดง และคนในรัฐบาลพรรคเพื่อไทย พยายามออกมาสร้างกระแสกรอกหูชาวบ้านอยู่ตลอดว่าไม่มีชายชุดดำๆ
แม้กระทั่ง เมื่อคอป.แถลงรายงานข้อเท็จจริงเหตุการณ์ทางการเมืองปี 2553 เมื่อวันที่ 17 ก.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งได้ระบุรายละเอียดเหตุการณ์ที่กลุ่มชายชุดดำจับอาวุธยิงต่อสู้เจ้าหน้าที่โดยได้รับการสนับสนุนจากการ์ดคนเสื้อแดงหลายครั้ง อาทิ บริเวณแยกคอกวัว เมื่อวันที่ 10 เม.ย. 2553, บริเวณสวนลุมพินีช่วงก่อนสลายการชุมนุม, บริเวณถนนราชดำริถึงแยกสารสิน และแยกเฉลิมเผ่า เมื่อวันที่ 19 พ.ค. 2553 รวมทั้งบริเวณวัดปทุมวนาราม ก็มีการปรากฏตัวของชายชุดดำ ก่อนที่จะมีผู้ถูกยิงเสียชีวิต 6 คนในวัดดังกล่าวด้วย ดีเอสไอก็ไม่ได้นำรายงานข้อเท็จจริงนี้ไปขยายผลเพื่อให้คดีความที่ชายชุดดำมีส่วนเกี่ยวข้องมีความคืบหน้า ล่าสุดมีแต่การออกมาตั้งรางวัลนำจับผู้ต้องหาใน 7 คดี เบี่ยงเบนประเด็นและเป็นการแก้เกี้ยวของนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษไปเสียอีก
จนถึงบัดนี้ เรื่องราวของชายชุดดำจึงดูเหมือนมีความจงใจถูกทำให้เป็นความลับดำมืด เบี่ยงเบนประเด็น และปัดสวะเพื่อให้พ้นความผิด โดยคราวนี้มีนายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำนปช.ออกมาเล่นเป็นตัวแสดงเอกเพื่อสร้างราคาหลังจากกลับมาจากการเข้าพบ “นายใหญ่” ที่ฮ่องกงเมื่อไม่นานมานี้