รายงานการเมือง
ใครพูดจริง ใครโกหก กาลเวลาและความจริงจะเป็นตัวตัดสินให้ ตามจังหวะที่ “จตุพร พรหมพันธุ์” แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เที่ยวล่าสุดแจ้นหน้าไปให้การกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เกี่ยวกับคดีการสลายการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงเมื่อช่วงเดือนเมษายน - พฤษภาคม ปี 2553 เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา
ส่วนคำให้การนั้นจะเซอร์ไพร์สหรือน่าเวทนา บรรดาคนในสังคมที่ติดตามข่าวสารชั่งตวงได้ โดยเฉพาะท่าทีที่เปลี่ยนไปแบบน่าเกลียด จากเดิมตั้งแต่ช่วงเหตุการณ์สลายการชุมนุมที่สี่แยกราชประสงค์จบลง “จตุพร” คนนี้ ยืนกระต่ายขาเดียวมาตลอดว่า คนที่ฆ่าประชาชนที่มาร่วมชุมนุมคือ เจ้าหน้าที่รัฐที่รับคำบัญชามาจากศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.)
พร้อมทั้งโจมตี “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นายกรัฐมนตรี และ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการศอฉ.อย่างต่อเนื่องว่า โบ้ยความผิดของตัวเองในฐานะสั่งการไปให้เป็นฝีมือของ “ชายชุดดำ” เพื่อหนีซังเต
ขณะที่ “พรรคประชาธิปัตย์” เองในฐานะที่เป็นฝ่ายบริหารขณะนั้นก็พยายามยกรูปภาพ คลิปวิดีโอมาหักล้างเหตุผลเพื่อตอกย้ำว่า “ชายชุดดำ” คือ กลุ่มคนที่แฝงตัวอยู่ในการชุมนุมของคนเสื้อแดงจริง
จากนั้นเรื่อง “ชายชุดดำ” จึงกลายเป็นข้อถกเถียงกันทุกครั้งที่คดีดังกล่าวมีความคืบหน้าหรือมีการไต่สวนเกิดขึ้น ซึ่งต้องยอมรับว่าตลอดระยะช่วงสองปีที่ผ่านพ้นมา ข้อมูลดังกล่าวไม่เคยนิ่ง มิหนำซ้ำยังแกว่งไปแกว่งมาตามอำนาจที่มีการเปลี่ยนมือ
และดูทีท่าสถานการณ์ทางการเมืองเองจะกลายมาเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ข้อมูลของ “ชายชุดดำ” พลิกกลับไปกลับมา โดยเฉพาะ “ดีเอสไอ” ที่กลายมาเป็นผู้กำหนดชะตาว่า บุคคลที่ ศอฉ.ระบุว่า ฆ่าผู้มาชุมนุม มีตัวตนจริงๆหรือไม่
ซึ่งหากย้อนกลับไป “ดีเอสไอ” ในช่วงรัฐบาลอภิสิทธิ์ ค่อนข้างทุ่มน้ำหนักไปที่ “ชายชุดดำ” เป็นอย่างมาก ขณะเดียวกันก็สามารถจับกุมตัวได้บางส่วนด้วย
กระทั่งรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ทะยานขึ้นสู่อำนาจ “ดีเอสไอ” ที่มีอธิบดีคนเดิมกับรัฐบาลชุดที่แล้ว ก็พลิกลำกลืนน้ำลายว่า ไร้เงาของ “ชายชุดดำ” และตลอดระยะเวลาที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยบริหารประเทศ ทั้ง “เฉลิม อยู่บำรุง” รองนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแลดีเอสไอ และอำมาตย์เสื้อแดง “ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรก็ย้ำมาตลอดว่า ไร้เงาของ “ชายชุดดำ”
เล่นตอกลิ่มกันทุกวันเพื่อลดน้ำหนักของข้อมูลฝั่ง “ศอฉ.”
กระนั้น การคืบคลานเพื่อตัดตอน “ชายชุดดำ” ออกจากรูปคดีและโยนบาปให้เจ้าหน้าที่รัฐอย่างทหารที่เป็นผู้รับบัญชาการมาจาก “ศอฉ.” มันก็ดันไม่ง่ายเหมือนช่วงตอนเป็นฝ่ายค้าน ที่ใส่สีตีไข่กองทัพให้เป็นยักษ์เป็นมารได้แล้วแต่จะจินตนาการของพวกแกนนำ
เพราะวันนี้ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” เลือกจะใช้นโยบายผูกมิตรกับ “กองทัพ” มากกว่าเปิดฉากเป็นศัตรู เพื่อลดบาดแผลในอดีตที่เป็นรอยร้าวลึกมาตั้งแต่เหตุการณ์ปฏิวัติ 19 กันยายน 2549 อีกทั้งตลอดช่วง 1 ขวบปีที่ผ่านมา “ยิ่งลักษณ์” เองก็ออกลูกเกรงใจ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) กันให้เห็นบ่อยๆในหลายๆเรื่อง
โดยเฉพาะทุกครั้งที่แกนนำนปช.ประเภทสายฮาร์ดคอร์ออกแรงกระทุ้ง ศอฉ.และกระทบชิ่งถึง “กองทัพ” จน “บิ๊กตู่” ในฐานะผู้นำกองทัพบกต้องออกมาปกป้องผู้ใต้บังคับบัญชา
ซึ่งทุกครั้งที่เจ้าตัวออกมาก็จับอาการได้หลายๆ ครั้งว่า “ผู้นำท็อปบูท” รายนี้ฉุนถึงข้อครหาที่ได้รับอย่างถึงที่สุด และมักจะมีปฏิกิริยาโต้กลับแรงๆให้เห็นในมุมกลับกันในทำนองประชดประชันเสมอว่า อะไรๆก็ทหารฆ่า เหตุใดไม่นึกทหารที่เสียชีวิตบ้างว่า คนเหล่านี้ก็มีลูกมีเมีย ดังนั้นมันก็สูญเสียทั้งสองฝ่าย
การเทกแอ็กชั่นของ ผบ.ทบ.ทุกครั้ง มักจะสะเทือนถึง “ยิ่งลักษณ์” ทุกครั้งให้ต้องป้องปรามพฤติกรรมสมุนแดงที่พาลไปเรื่อย
อย่างไรก็ตาม นอกจากปฏิกิริยาของผบ.ทบ.แล้ว สังคมบางส่วนเองก็เริ่มวิพากษ์วิจารณ์ “ดีเอสไอ” อย่างต่อเนื่องด้วยว่า เลือกข้างทำแต่เฉพาะคดีของคนเสื้อแดง
ขณะเดียวกัน ข้อมูลอีกชุดที่ตอกย้ำว่ามี “ชายชุดดำ” เองก็โผล่ขึ้นเรื่อยๆ อย่างรายงานฉบับสมบูรณ์ของ คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติ (คอป.) รวมทั้งคลิปภาพเคลื่อนไหวที่ “ค่ายสีฟ้า” ปล่อยออกมาหลายระลอก
จากหลักฐานที่สมทบกันมากขึ้นเรื่อยๆ จนเกิดความน้ำหนักทางข้อมูล รวมถึงข้อครหาเรื่องสองมาตรฐาน เริ่มบีบรัดให้ “ดีเอสไอ” ในฐานะผู้สอบสวนคดีเริ่มออกอาการตันๆ และชักหาทางลงของเรื่องนี้ จึงพลิกแพลงแก้ต่างด้วยการตั้งค่าหัว “ชายชุดดำ” 1 ล้านบาทเพื่อให้สังคมมองว่า คดีของทหารก็คืบหน้าเช่นกัน
ทว่า การดิ้นในลักษณะนี้ได้กลายเป็นดาบสองคมเข้าอย่างจัง เพราะมันดันเป็นการสะท้อนพฤติกรรมของ “ดีเอสไอ” เองว่า การสอบสวนคดีที่ผ่านมาพลิ้วไหวตามคำสั่งฝ่ายการเมือง หลักฐานคาตาได้แจ่มชัดคือ ตั้งแต่ “รัฐบาลปู” บริหารประเทศดีเอสไอบอกมาตลอดว่าไม่มี “ชายชุดดำ” แต่อยู่ดีๆก็ดันมาตั้งค่าหัวไว้เอาดื้อๆ
ตามเนื้อผ้าเลยเป็นการแก้เกี้ยวหาทางลงให้เสถียร เพื่อหวังรักษาน้ำใจกองทัพและป้องกันคำว่า “ดับเบิ้ลแสตนดาร์ด” จากสังคม
อย่างไรก็ดี หากมองการหาทางลงของดีเอสไอข้างต้นแล้ว มันก็สอดรับกับพฤติกรรมกับทางลงของ “จตุพร” ข้างต้นได้อย่างเนียนตาเช่นกัน เพราะการให้ปากคำของเจ้าตัวต่อดีเอสไอล่าสุดก็ยอมรับสารภาพแล้วว่า มีชายชุดดำ เพียงแต่เป็นฝั่งของทหารที่นั่งรถตู้เข้า - ออก กรมทหารราบที่ 11 ที่ต่อมาถูกแฉว่าเป็นทหารเล่นบีบีกันก็ตาม
สารภาพกันกลางอากาศ จะด้วยเรื่องเกมการเมืองหรือจังหวะย่างก้าวอะไร แต่แน่ๆ วันนี้ “จตุพร” คนเก่าที่อย่างไรก็ไม่ยอมให้มี “ชายชุดดำ” กลับมาตวัดลิ้นว่ามี “ชายชุดดำ” เสียอย่างนั้น
ดังนั้น วันนี้ข้อมูลหลักฐานทางคดีจะเท็จจริงแค่ไหนคงไม่สำคัญเท่ากับราคาและความน่าเชื่อถือของ “จตุพร” เสียแล้ว
เพราะแค่จุดยืนเรื่อง “ชายชุดดำ” ก็ยังพลิกลิ้นไปมาได้อย่างง่ายดาย และเรื่องอื่นๆที่เจ้าตัวพูดมาจะเชื่อถือได้หรือไม่ เหมือนกับที่พ.อ.วินธัย สุวารี รองโฆษกกองทัพบกออกมาโต้เมื่อไม่กี่วันว่า ขอให้ดูพฤติกรรม
ฉะนั้น สังคมคงไม่ต้องรอข้อมูลให้มากกว่านี้แล้วว่าสุดท้ายเรื่องนี้ “ใครตอแหล?”