วานนี้(23 ต.ค.55) พ.อ.วินธัย สุวารี รองโฆษกกองทัพบก ให้สัมภาษณ์ถึงกรณี นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาชนต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.)อ้างถึงมีแหล่งข่าวให้ข้อมูลที่อาจเกี่ยวข้องกับชายชุดดำ โดยพบว่ามีรถตู้บางคันมีบุคคลแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีดำอยู่ภายในรถ ซึ่งเป็นรถของ สตช. เข้า-ออกกรมทหารราบที่ 11 ที่ตั้งศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน(ศอฉ.) ว่า เรื่องดังกล่าวสามารถตรวจสอบได้ตามขั้นตอนกระบวนการ จึงอยากขอให้สังคมได้ร่วมพิจารณาว่า เมื่อก่อนจะมีคนบางกลุ่มพยายามปฏิเสธเรื่องของชายชุดดำแต่ในปัจจุบันการรับรู้ของสังคมเปลี่ยนไป เนื่องจากข้อเท็จจริงที่หลายฝ่ายมิอาจปฏิเสธได้ว่า มีกลุ่มดังกล่าวจริง จึงอาจเป็นไปได้ ที่กลุ่มผู้ไม่หวังดีบางกลุ่มพยายามที่จะออกตัวปฏิเสธในความเชื่อมโยงกับกลุ่มชายชุดดำดังกล่าว
"คนพวกนี้พยายามชี้นำความเชื่อของสังคมไปในทิศทางอื่น หรือทิศทางตรงข้ามความเป็นจริง เช่นพยายามทำให้เห็นว่า ชายชุดดำมีความเกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่ ซึ่งเชื่อว่าคงจะต้องมีการพิสูจน์ความน่าเชื่อถือของแหล่งข่าวที่อ้างถึงด้วย เพราะหลายๆ ครั้งที่ผ่านมาไม่สามารถพิสูจน์ข้อมูลข้อเท็จจริงได้อย่างเป็นรูปธรรม"
พ.อ.วินธัย กล่าวอีกว่า ในช่วงที่มีการชุมนุมนั้นหลายท่านก็ได้เห็นภาพข่าวผ่านสื่อไปบ้างแล้ว เราจะเห็นพฤติกรรมของกลุ่มชายชุดดำดังกล่าว แสดงออกชัดเจนถึงความต้องการที่จะต่อต้านและทำร้ายเจ้าหน้าที่ทหารด้วยอาวุธสงครามนานาชนิด ถึงขั้นเป็นเหตุให้ประชาชนและเจ้าหน้าที่ทหาร มีการบาดเจ็บเสียชีวิต โดยสังเกตได้ชัดเจนว่า ระหว่างที่กลุ่มชายชุดดำปฏิบัติการต่อต่านเจ้าหน้าที่อยู่นั้น กลุ่มชายชุดดำดังกล่าวสามารถอยู่ร่วมในกลุ่มกับกลุ่มผู้ชุมนุมได้ด้วยความคุ้นเคยอย่างเปิดเผย อีกทั้งยังแสดงออกให้เห็นถึงการสนับสนุนซึ่งกันและกัน ในการร่วมกันปฏิบัติการต่อต้านเจ้าหน้าที่ทหารอย่างชัดเจน จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีเจ้าหน้าที่หรือใครก็ตามที่ไม่คุ้นเคยกัน จะเข้าไปอยู่รวมปะปนกันในกลุ่มผู้ร่วมชุมนุมกลุ่มดังกล่าวได้
ที่พรรคเพื่อไทย นพ.เหวง โตจิราการ นพ.เชิดชัย ตันติศิรินทร์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทยในฐานะแกนนำ นปช. และนายไพโรจน์ อิสรเสรีพงษ์ ส.ส.กทม.พรรคเพื่อไทย ร่วมแถลงข่าวโดยนพ.เหวง กล่าวว่า ช่วงเที่ยง วันที่ 24 ต.ค.ที่รัฐสภา พวกตนจะยื่นหนังสือต่อนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อขอให้เปิดเผยผลการศึกษากรณีชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดงปี52 ของรัฐสภาที่มีนายชัย ชิดชอบ อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎรแต่งตั้ง ขณะนั้นอยู่ภายใต้การบริหารของรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี โดยมีเหตุการณ์สำคัญที่ยังเป็นปริศนาของสังคมคือการเสียชีวิตของพลทหารอภินพ เครือสุข ภายในบ้านพักแม่ทัพภาคที่ 1 และกรณีคลิปเสียงที่คล้ายนายอภิสิทธิ์สั่งสลายการชุมนุม ทราบว่าขณะนี้ผลสอบดังกล่าวแล้วเสร็จแต่ถูกปิดเป็นความลับ จากนั้นเวลา 15.00 น.วันเดียวกันจะยื่นคำร้องต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอรับพิจารณาสองคดีดังกล่าวด้วย
**.รบ.ใช้งบจัดสานเสวนาเอื้อตนเอง
อีกด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงการสานเสวนาที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ประกาศจะเดินหน้าว่า สิ่งที่ ร.ต.อ.เฉลิมพูดไม่ใช่การสานเสวนาแต่เป็นการเอางบประมาณประชาชนไปจัดปราศรัยให้กับคนเสื้อแดงและรัฐบาล ซึ่งไม่ถูกต้องและไม่ใช่เรื่องที่จะนำไปสู่ความปรองดอง ทั้งนี้หากรัฐบาลต้องการให้เกิดการปรองดองจริงขอให้กลับไปดูคู่มือของสถาบันพระปกเกล้าและทำตามนั้น ส่วนจะเอาผลลัพธ์ที่เป็นรายงานของสถาบันพระปกเกล้าซึ่งมีเรื่องเกี่ยวกับการนิรโทษกรรมมาใช้คงทำไม่ได้ เพราะทางสถาบันฯพูดชัดว่าได้ถอนรายงานนี้ถ้านำไปใช้ในทางที่ไม่ถูกต้อง
“ผมยืนยันว่าถ้ารัฐบาลไม่อยากทำให้เกิดความขัดแย้ง ไม่อยากให้เกิดการแบ่งแยกประชาชน อยากเดินหน้าปรองดองต้องกลับไปเรื่องที่ต้องพิจารณาว่าข้อเสนอที่เป็นกลางอย่าง คอป.จะทำอย่างไร ซึ่งนายกฯควรมีบทาทในเรื่องปรองดองมากกว่านี้ โดยต้องเป็นผู้นำในการตัดสินใจว่าจะเคลื่อนนโยบายปรองดองตามที่แถลงต่อสภาอย่างไร เพราะที่แถลงไว้คือจะสนับสนุนการทำงานของ คอป. วันนี้การบอกว่าส่งรายงาน คอป.ไปให้ ร.ต.อ.เฉลิมหรือ ปคอป.ไม่ใช่คำตอบ แต่ต้องตอบสังคมให้ได้ว่าจะมีกลไกอะไรมาทำเรื่องนี้ต่อ ผมอยากให้นายกฯทำอะไรที่จะลบล้างความคิดของประชาชนที่เห็นว่าเป็นเพียงหุ่นเชิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พี่ชายให้ได้ จึงขอเรียกร้องให้นายกฯตัดสินใจพาบ้านเมืองไปข้างหน้าด้วยการกำหนดนโยบายและการทำงานที่ให้ความสำคัญกับเรื่องส่วนรวมมากกว่าเรื่องของพี่ชาย” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
นายณัฐฏ บรรทัดฐาน รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่จะมีการจัดเวทีสานเสวนาตามายงานของ คณะกรรมการอิสระตรวจสสอบและค้นหาความจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติ (คอป.)ที่ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ที่มารับหน้าที่แทนนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ แม้ภายหลังจะออกมาแก้ข่าวว่าเป็นการมอบนโยบายให้กระทรวงมหาดไทย แต่ก็ยังเห็นถึงความขัดแย้งเพราะวิทยากรสองคนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับหน่วยงานในมหาดไทยเลย แม้จะอ้างว่ามีความเข้าใจในระบบรากฐานการทำงานของมหาดไทยอย่างดี แต่ก็มีข้าราชการหลายคนที่มีความเข้าใจในการทำงานได้ดีกว่าแต่ไม่เลือกที่จะใช้ แต่กลับการเลือกใช้คนที่สุ่มเสี่ยงต่อการถูกวิพากษ์วิจารณ์หรือทำให้เกิดความแตกแยกในสังคม ซึ่งสวนทางกับการออกมาให้ข่าวกับมอบนโยบาย นอกจากนี้รองโฆษกพรรคอ้างว่าเพื่อความปรองดองและทำทุกภาค แต่ร.ต.อ.เฉลิมออกมายืนยันแล้วว่าจะไม่ไปจัดในพื้นที่ภาคใต้ จึงอยากให้พรรคเพื่อไทยประสานงานกันให้ดีก่อนที่จะออกมารายงานข่าวเพื่อป้องกันความสับสนว่าเป็นการจัดสานเสวนา หรือมอบนโยบายให้มหาดไทยกันแน่ ถ้าเป็นการมอบนโยบายก็ไม่จำเป็นต้องทำข่าวอึกทึกขนาดนี้
"คนพวกนี้พยายามชี้นำความเชื่อของสังคมไปในทิศทางอื่น หรือทิศทางตรงข้ามความเป็นจริง เช่นพยายามทำให้เห็นว่า ชายชุดดำมีความเกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่ ซึ่งเชื่อว่าคงจะต้องมีการพิสูจน์ความน่าเชื่อถือของแหล่งข่าวที่อ้างถึงด้วย เพราะหลายๆ ครั้งที่ผ่านมาไม่สามารถพิสูจน์ข้อมูลข้อเท็จจริงได้อย่างเป็นรูปธรรม"
พ.อ.วินธัย กล่าวอีกว่า ในช่วงที่มีการชุมนุมนั้นหลายท่านก็ได้เห็นภาพข่าวผ่านสื่อไปบ้างแล้ว เราจะเห็นพฤติกรรมของกลุ่มชายชุดดำดังกล่าว แสดงออกชัดเจนถึงความต้องการที่จะต่อต้านและทำร้ายเจ้าหน้าที่ทหารด้วยอาวุธสงครามนานาชนิด ถึงขั้นเป็นเหตุให้ประชาชนและเจ้าหน้าที่ทหาร มีการบาดเจ็บเสียชีวิต โดยสังเกตได้ชัดเจนว่า ระหว่างที่กลุ่มชายชุดดำปฏิบัติการต่อต่านเจ้าหน้าที่อยู่นั้น กลุ่มชายชุดดำดังกล่าวสามารถอยู่ร่วมในกลุ่มกับกลุ่มผู้ชุมนุมได้ด้วยความคุ้นเคยอย่างเปิดเผย อีกทั้งยังแสดงออกให้เห็นถึงการสนับสนุนซึ่งกันและกัน ในการร่วมกันปฏิบัติการต่อต้านเจ้าหน้าที่ทหารอย่างชัดเจน จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีเจ้าหน้าที่หรือใครก็ตามที่ไม่คุ้นเคยกัน จะเข้าไปอยู่รวมปะปนกันในกลุ่มผู้ร่วมชุมนุมกลุ่มดังกล่าวได้
ที่พรรคเพื่อไทย นพ.เหวง โตจิราการ นพ.เชิดชัย ตันติศิรินทร์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทยในฐานะแกนนำ นปช. และนายไพโรจน์ อิสรเสรีพงษ์ ส.ส.กทม.พรรคเพื่อไทย ร่วมแถลงข่าวโดยนพ.เหวง กล่าวว่า ช่วงเที่ยง วันที่ 24 ต.ค.ที่รัฐสภา พวกตนจะยื่นหนังสือต่อนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อขอให้เปิดเผยผลการศึกษากรณีชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดงปี52 ของรัฐสภาที่มีนายชัย ชิดชอบ อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎรแต่งตั้ง ขณะนั้นอยู่ภายใต้การบริหารของรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี โดยมีเหตุการณ์สำคัญที่ยังเป็นปริศนาของสังคมคือการเสียชีวิตของพลทหารอภินพ เครือสุข ภายในบ้านพักแม่ทัพภาคที่ 1 และกรณีคลิปเสียงที่คล้ายนายอภิสิทธิ์สั่งสลายการชุมนุม ทราบว่าขณะนี้ผลสอบดังกล่าวแล้วเสร็จแต่ถูกปิดเป็นความลับ จากนั้นเวลา 15.00 น.วันเดียวกันจะยื่นคำร้องต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอรับพิจารณาสองคดีดังกล่าวด้วย
**.รบ.ใช้งบจัดสานเสวนาเอื้อตนเอง
อีกด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงการสานเสวนาที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ประกาศจะเดินหน้าว่า สิ่งที่ ร.ต.อ.เฉลิมพูดไม่ใช่การสานเสวนาแต่เป็นการเอางบประมาณประชาชนไปจัดปราศรัยให้กับคนเสื้อแดงและรัฐบาล ซึ่งไม่ถูกต้องและไม่ใช่เรื่องที่จะนำไปสู่ความปรองดอง ทั้งนี้หากรัฐบาลต้องการให้เกิดการปรองดองจริงขอให้กลับไปดูคู่มือของสถาบันพระปกเกล้าและทำตามนั้น ส่วนจะเอาผลลัพธ์ที่เป็นรายงานของสถาบันพระปกเกล้าซึ่งมีเรื่องเกี่ยวกับการนิรโทษกรรมมาใช้คงทำไม่ได้ เพราะทางสถาบันฯพูดชัดว่าได้ถอนรายงานนี้ถ้านำไปใช้ในทางที่ไม่ถูกต้อง
“ผมยืนยันว่าถ้ารัฐบาลไม่อยากทำให้เกิดความขัดแย้ง ไม่อยากให้เกิดการแบ่งแยกประชาชน อยากเดินหน้าปรองดองต้องกลับไปเรื่องที่ต้องพิจารณาว่าข้อเสนอที่เป็นกลางอย่าง คอป.จะทำอย่างไร ซึ่งนายกฯควรมีบทาทในเรื่องปรองดองมากกว่านี้ โดยต้องเป็นผู้นำในการตัดสินใจว่าจะเคลื่อนนโยบายปรองดองตามที่แถลงต่อสภาอย่างไร เพราะที่แถลงไว้คือจะสนับสนุนการทำงานของ คอป. วันนี้การบอกว่าส่งรายงาน คอป.ไปให้ ร.ต.อ.เฉลิมหรือ ปคอป.ไม่ใช่คำตอบ แต่ต้องตอบสังคมให้ได้ว่าจะมีกลไกอะไรมาทำเรื่องนี้ต่อ ผมอยากให้นายกฯทำอะไรที่จะลบล้างความคิดของประชาชนที่เห็นว่าเป็นเพียงหุ่นเชิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พี่ชายให้ได้ จึงขอเรียกร้องให้นายกฯตัดสินใจพาบ้านเมืองไปข้างหน้าด้วยการกำหนดนโยบายและการทำงานที่ให้ความสำคัญกับเรื่องส่วนรวมมากกว่าเรื่องของพี่ชาย” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
นายณัฐฏ บรรทัดฐาน รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่จะมีการจัดเวทีสานเสวนาตามายงานของ คณะกรรมการอิสระตรวจสสอบและค้นหาความจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติ (คอป.)ที่ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ที่มารับหน้าที่แทนนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ แม้ภายหลังจะออกมาแก้ข่าวว่าเป็นการมอบนโยบายให้กระทรวงมหาดไทย แต่ก็ยังเห็นถึงความขัดแย้งเพราะวิทยากรสองคนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับหน่วยงานในมหาดไทยเลย แม้จะอ้างว่ามีความเข้าใจในระบบรากฐานการทำงานของมหาดไทยอย่างดี แต่ก็มีข้าราชการหลายคนที่มีความเข้าใจในการทำงานได้ดีกว่าแต่ไม่เลือกที่จะใช้ แต่กลับการเลือกใช้คนที่สุ่มเสี่ยงต่อการถูกวิพากษ์วิจารณ์หรือทำให้เกิดความแตกแยกในสังคม ซึ่งสวนทางกับการออกมาให้ข่าวกับมอบนโยบาย นอกจากนี้รองโฆษกพรรคอ้างว่าเพื่อความปรองดองและทำทุกภาค แต่ร.ต.อ.เฉลิมออกมายืนยันแล้วว่าจะไม่ไปจัดในพื้นที่ภาคใต้ จึงอยากให้พรรคเพื่อไทยประสานงานกันให้ดีก่อนที่จะออกมารายงานข่าวเพื่อป้องกันความสับสนว่าเป็นการจัดสานเสวนา หรือมอบนโยบายให้มหาดไทยกันแน่ ถ้าเป็นการมอบนโยบายก็ไม่จำเป็นต้องทำข่าวอึกทึกขนาดนี้