ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-เป็นเรื่องเป็นราว ทอล์กออฟ เดอะ ทาวน์ กันระหว่างประเทศเลยทีเดียว กรณีผู้สื่อข่าวสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 คือ ฐปนีย์ เอียดศรีไชย ขณะรายงานข่าวพระราชพิธีพระบรมศพ สมเด็จพระนโรดมสีหนุ อดีตกษัตริย์กัมพูชา ณ กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา เมื่อปรากฏพระบรมฉายาลักษณ์สมเด็จพระนโรดมสีหนุจากหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง วางอยู่บนพื้นบริเวณใกล้กับเท้าของเธอขณะกำลังรายงานข่าว
ทั้งนี้ ที่เป็นประเด็นร้อนแรงก็คือ ภาพดังกล่าวถูกแชร์ในสังคมออนไลน์กัมพูชาอย่างทันควัน กระทั่งเกิดการประณามต่อพฤติกรรมของนักข่าวสาวอย่างแพร่หลาย เพราะถือว่าเป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพของอดีตกษัตริย์กัมพูชาอย่างรุนแรง
เมื่อเรื่องราวเกิดบานปลายใหญ่โต ฐปนีย์ เอียดศรีไชย ผู้สื่อข่าวสถานีวิทยุโทรทัศน์ทีวีสีช่อง 3 พร้อมกับ จตุรงค์ สุขเอียด บรรณาธิการข่าวรายการข่าว 3 มิติ ได้เดินทางไปยังสถานทูตกัมพูชา เพื่อขอพระราชทานอภัยโทษต่อพระบรมฉายาลักษณ์สมเด็จพระนโรดมสีหนุ และลงนามถวายความอาลัย ต่อกรณีที่ทำให้ชาวกัมพูชาขุ่นเคืองใจต่อลักษณะการรายงานข่าวที่ไม่เหมาะสม
นอกจากนั้นแล้วฉับพลันทันที ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ได้ออกแถลงการณ์แสดงความเสียใจและชี้แจงถึงกรณีที่เกิดขึ้น รวมถึงขอพระราชทานอภัยโทษพระบรมวงศานุวงศ์-ประชาชน "กัมพูชา" ดังนี้
"ตามที่สื่อสังคมออนไลน์ในราชอาณาจักรกัมพูชา ได้แพร่ภาพนางสาวฐปนีย์ เอียดศรีไชย ผู้สื่อข่าวสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ที่อาจกระทบกระเทือนจิตใจของพี่น้องประชาชนชาวกัมพูชา และสร้างความเข้าใจผิดต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หลังจากเดินทางกลับถึงประเทศไทย นางสาวฐปนีย์ เอียดศรีไชย ได้ชี้แจงข้อเท็จจริงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 โดยยืนยันว่า ไม่มีเจตนาที่จะลบหลู่ หรือแสดงความไม่เคารพต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นที่เคารพรักของประชาชนชาวกัมพูชา เพราะขณะนั้นอยู่ระหว่างการปฏิบัติหน้าที่การรายงานข่าวประชาชนชาวกัมพูชาร่วมถวายความอาลัย แด่สมเด็จพระนโรดมสีหนุแห่งกัมพูชา ที่บริเวณหน้าพระราชวังจตุรมุขมงคล ด้วยลักษณะที่ต้องยืนรายงาน ทำให้ต้องวางสิ่งของส่วนตัว ประกอบด้วย โทรศัพท์มือถือ สมุดจดบันทึก หนังสือพิมพ์ ซึ่งลงภาพพระบรมฉายาลักษณ์ ของสมเด็จพระนโรดม สีหนุ แห่งกัมพูชา ตีพิมพ์หลังจากที่เสด็จสวรรคต และได้วางไว้ที่พื้นโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งได้วางห่างจากตัวพอสมควร แต่เนื่องจากภาพที่ปรากฎในเฟซบุ๊ก ถ่ายจากด้านข้างค่อนไปทางด้านหลัง จึงทำให้เห็นว่า สิ่งของทั้งหมดอยู่ใกล้ตัว
“อย่างไรก็ตาม ทางสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 รู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อกรณีที่เกิดขึ้น ดังนั้น ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 จึงใคร่ขอพระราชทานอภัยโทษต่อพระบรมวงศานุวงศ์แห่งราชอาณาจักรกัมพูชา และขออภัยต่อรัฐบาลและประชาชนชาวกัมพูชาในครั้งนี้ และหวังว่าเหตุการณ์ในครั้งนี้ จะไม่ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศ"
ทั้งนี้ หากจะกล่าว ในมุมของ ฐปนีย์ เอียดศรีไชย ถ้าจะพิจารณาด้วยความเป็นธรรมก็คงไม่มีใครตั้งใจหรือเจตนาจะดูหมิ่น พระบรมเดชานุภาพของอดีตกษัตริย์กัมพูชา ซึ่งก็ถือว่าบทเรียนของคนในวงการสื่อสารมวลชนไทยที่สำคัญอีกเหตุการณ์หนึ่ง การที่จะไปทำข่าวยังต่างบ้านต่างเมือง คงต้องมีความระแวดระวังและให้ความเคารพสถานที่เป็นทวีคูณ
ขณะเดียวกัน อย่ากระนั้นเลย หากจะกล่าวถึง ช่อง 3 ในต่อมสำนึกจริยธรรมและความถูกต้องด้วยแล้ว ดูเหมือนจะเป็นคนละเรื่องเดียวกันกับกรณีนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ผู้ประกาศข่าวชื่อดังช่อง 3 และเจ้าของ บริษัท ไร่ส้ม จำกัด ถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดว่าสนับสนุนเจ้าหน้าที่ อสมท ทำการทุจริต ทำให้บริษัท ไร่ส้ม สามารถยักยอกเงินค่าโฆษณาของ อสมท 138 ล้านบาท เรียกได้ว่าเป็นหน้ามือกับหลังมือ กับกรณีที่ออกแถลงการณ์แบบฉับพลันทันทีไปยังประเทศกัมพูชา
เพราะความจริงที่เกิดขึ้นก็คือ ช่อง 3 ไม่ได้ยี่หระเดือดเนื้อร้อนใจกับกระแสสังคมที่ออกมากดดันเลยแม้แต่ อาทิ สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ สภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย ออกแถลงการณ์เรื่องพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของสื่อมวลชน คณะกรรมาธิการพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชนและการมีส่วนร่วมของประชาชน สภาผู้แทนราษฎร ภาคีเครือข่ายต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่นรวมไปถึงนักวิชาการ หลายต่อหลายคน ที่ออกมาให้ความเห็นกันอย่างกว้างขวาง
ไม่เว้นแต่ นายสมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานมูลนิธิสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ก็กล่าวถึงประเด็นนี้อย่างน่าคิดว่า จะเป็นตัวทดสอบสังคมไทยยอมรับเรื่องจริยธรรมได้มากน้อยเพียงใด เพราะผลที่ออกมาจะสะท้อนถึงอนาคตของประเทศด้วย
"แน่นอนว่าช่อง 3 กับคุณสรยุทธเองอาจตัดสินใจจากเหตุผลทางธุรกิจของตัวเอง แต่ว่าถึงสุดท้ายแล้วธุรกิจและเศรษฐกิจก็เป็นส่วนหนึ่งของสังคม ถ้าสังคมไทยยอมรับได้ ประเทศก็ไปทางหนึ่ง ถ้าสังคมยอมรับไม่ได้ก็จะไปอีกทางหนึ่ง"
นายสมเกียรติ กล่าวว่า บริษัท ไร่ส้ม ของนายสรยุทธ ทำผิดจริงหรือไม่จริง เป็นเรื่องกระบวนการทางกฎหมายที่จะเป็นตัวตัดสิน แต่ประเด็นที่น่าจับตา คือ มาตรการทางสังคมที่ชี้ว่า สังคมเข้มแข็งหรือไม่ และเป็นบทพิสูจน์ภาคธุรกิจไทยที่รณรงค์ต่อต้านการคอร์รัปชันว่าเอาจริงเอาจังแค่ไหน ขณะที่บางส่วนมองว่า นายสรยุทธ ถึงจะมีส่วนที่ไม่ดี แต่ก็คืนกำไรให้สังคม
แต่กระนั้น ดูเหมือนจะเป็นข้อแนะนำ ที่ดูเหมือนจะเป็นสายลมไปในทันที ไม่ได้ไปสะกิดต่อมสำนึกของบรรดาผู้บริหารช่อง 3เลยแม้แต่น้อย หนักไปกว่านั้นก็คือ ทางช่อง 3 ก็ได้ส่งสัญญาณชัดเจนในการอุ้มชู นายสรยุทธ ชนิดไม่แคร์หน้าอินทร์หน้าพรหมเลยด้วยซ้ำ
นายฉัตรชัย เทียมทอง ผู้อำนวยการฝ่ายการเงิน บมจ.บีอีซี เวิลด์ (BEC) กล่าวว่า ไม่มีแผนที่จะถอดนายสรยุทธ์ สุทัศนะจินดา ผู้ดำเนินรายการข่าวของช่อง 3 ออกจากการจัดรายการ แม้ว่าจะมีกระแสสังคมระบุว่าขาดความเหมาะสมหลังคดีไร่ส้มถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)ชี้ว่ามีความผิด เพราะเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องเดิมที่เกิดขึ้นมานานแล้ว และยังไม่ได้รับแจ้งว่าสปอนเซอร์จะถอนโฆษณาออกจากรายการที่นายสรยุทธ์เป็นผู้ดำเนินรายการ ทั้งนี้ รายได้จากค่าโฆษณาของรายการข่าวที่นายสรยุทธเป็นผู้ดำเนินรายการ คิดเป็นสัดส่วน 20% ของรายได้ค่าโฆษณารายการข่าว
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า เป็นหนังคนละม้วนกับกรณี ฐปนีย์แบบเทียบกันไม่ได้ด้วยซ้ำ ในระดับความมีสำนึกและจริยธรรม เพราะแปลไทยเป็นไทยก็คือ ทางผู้บริหารช่อง 3 กำลังบอกว่า ความผิดที่ นายสรยุทธ กำลังถูก ป.ป.ช.ชี้มูล เป็นความผิดที่เกิดขึ้นมานานแล้ว ช่อง 3 คงไม่รับรู้รับทราบอะไรด้วย
ถ้าจะกล่าวถึงตรรกะนี้ก็คงต้องตั้งคำถามว่า สมมุติมีเหตุการณ์หนึ่ง โจรได้เข้าไปปล้นร้านทอง ชกชิงทองไปจำนวนมากแล้วสามารถหลบหนีเจ้าหน้าที่ตำรวจไปได้ แล้วเกิดสำนึกวันดีคืนดี นำทองมาคืนเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็นับว่าความผิดที่ก่อไปแล้วมลายสูญหายไปเลยอย่างนั้นหรือ ถ้าเป็นเช่นนี้แล้วก็คงต้องถามว่า บ้านเมืองจะมีกฎหมายเอาไว้ทำไม
และถ้าจะกล่าวถึงในกรณีที่ว่าเรื่องมันเกิดนานแล้ว ตอนนั้น นายสรยุทธ ยังไม่ได้ถูกทาง ป.ป.ช.ชี้มูลว่ามีความผิด แต่ตอนนี้ มันเป็นการชี้มูลความผิดว่า นายสรยุทธ์มีความผิด คงต้องถามกลับทางผู้บริหารช่อง 3 จะไม่แสดงความรับผิดชอบต่อสังคมเลยกระนั้นหรือ ถ้าจะกล่าวถึงการให้ความเป็นธรรมกับ ผู้ประกาศคนดัง ซื้'รับรู้กันอย่างดีว่าเป็นเหมือนตัวเงินตัวทอง ทำกำไรให้กับทางช่อง 3 ตัวนายสรยุทธเองต้องไปเคลียร์คดีให้ตัวเองอยู่ในฐานะบริสุทธิ์ผ่องใสเสียก่อน แล้วจะรับกลับมาทำงานร่วมกันอีก มันก็คงไม่ใครว่า ใครตำหนิ ช่อง3 กับนายสรยุทธเลยแม้แต่น้อย แต่ในขณะนี้หากจะกล่าวถึงเรื่องสปิริต ความสำนึกดี เรียกว่าห่างไกลแล้ว ห่างไกลอีก เพราะที่ปรากฏและเป็นอยู่ก็คือไม่ต่างกับผู้บริหาร ช่อง3 แสดงจุดยืนชัดเจนว่า สนับสนุนการโกง การทุจริต อย่างไรอย่างนั้น
ดังเช่นที่ อ.อนุสรณ์ ศรีแก้ว คณบดีคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ได้ออกความเห็นเช่นกันว่า การที่ นายสรยุทธ ลาออกจากสมาคมนักข่าวฯ เป็นการหนีการตรวจสอบเหมือนที่หนังสือพิมพ์หลายฉบับ (มติชน-ข่าวสด ฯลฯ) ทำก่อนหน้านี้ ซึ่งสมาคมวิชาชีพสื่อ ต้องไม่หยุด ต้องดำเนินมาตรการต่อเนื่องกับนายสรยุทธ เพราะเจ้าตัวยังไม่ยอมหยุดจัดรายการข่าว พร้อมแนะช่อง 3 ไม่ควรนิ่ง ควรจะสั่งพักงานนายสรยุทธ จนกว่าจะสู้คดีแล้วเสร็จ ไม่ควรเห็นนายสรยุทธ เป็นตัวเงินตัวทอง ทำเงินทำทอง ให้กับสถานี อย่ามองแต่ในแง่นายทุนที่เห็นแต่ผลประโยชน์อย่างเดียว
ถ้าพลังของภาคีเครือข่ายต่อต้านคอร์รัปชันไม่มากพอ ช่อง 3 อาจไม่แคร์ เพราะอาจแคร์เงินที่จะได้จากรายการของนายสรยุทธมากกว่า แต่ถ้าผู้ชมช่วยกันแบนด้วยการไม่ดูรายการสรยุทธ น่าจะช่วยให้สปอนเซอร์ถอนโฆษณาจากรายการนายสรยุทธได้มากขึ้น
อ.อนุสรณ์ ยังฝากถึงนายสรยุทธ ด้วยว่า ถ้าเป็นนักสื่อสารมวลชนอย่างแท้จริง ต้องพักการทำหน้าที่ จนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่าตัวเองเป็นผู้บริสุทธิ์
แต่ไม่ว่าใครจะออกมาพูดอย่างไร ดีเลิศประเสริฐศรี ดูเหมือนว่าก็คงไม่ทำให้บริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) หรือช่อง 3 มีรายได้ปีละกว่า 10,000 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 2 ปีก่อนหน้าปีละกว่า 3,000 ล้านบาท และ 6 เดือนแรกปีนี้ มีรายได้แล้วกว่า 7,000 ล้านบาท มีกำไรสุทธิกว่า 2,000 ล้านบาท จึงถือเป็นกิจการที่มีอัตราการเติบโตสูงต่อเนื่อง และด้วยตัวเลขจำนวนนี้กระมัง ที่อาจเป็นเหตุผลที่ช่อง 3 ยังอุ้มชูนายสรยุทธอยู่
มาถึงตรงนี้จึงเหมือนทางสองแพร่งของสังคมดังที่ นายสมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานทีดีอาร์ไอ ได้กล่าวไว้ก็เป็นได้ว่า สังคมจะเดินทางไปในทิศใด ซึ่งทางช่อง 3 คงจะหนีไม่พ้นที่ต้องเตรียมตัวรับศึกหนัก เพราะกระแสสังคมกำลังรุมสกรัม เล่นบทรุกฆาต โดยเมื่อเลือกที่จะเอานายสรยุทธไว้ ประชาชนเรือนล้านคนหรือหลายล้านคน ก็อาจจะไม่เอาช่อง 3 เหมือนกัน ซึ่งเรื่องนี้คำตอบสุดท้ายอยู่ที่ประชาชนเช่นกันว่าจะเลือกให้สังคมเดินไปในทิศทางใด ซึ่งหากสุดท้ายกำไรของทางช่อง 3 หด หุ้นตกระนาว บางทีคนตระกูลมาลีนนท์คงต้องจับเข่าคุยกับนายสรยุทธดูเสียทีก็เป็นได้