ธปท.แจงเหตุผลลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อซื้อประกันความเสี่ยงรองรับปัญหาเศรษฐกิจโลก ย้ำไม่ใช่ส่งสัญญาณดอกเบี้ยขาลงต่อเนื่อง การดำเนินนโยบายการเงินต้องไม่ประมาทตั้งการ์ดไว้สูงๆ และหากใช้กระสุนเป็นสร้างกันชนต้องทำอย่างฉลาด จับตาสินเชื่ออุปโภคบริโภคเพิ่มเติม และในวันที่ 22 ต.ค.นี้ เตรียมแถลงข่าวออกมาตรการผ่อนคลายเงินทุนไหลออกล็อตแรก
นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เปิดเผยว่า การประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลด 0.27% ทำให้ดอกเบี้ยมาอยู่ที่ระดับ 2.75%ต่อปี เพื่อเป็นการซื้อประกันความเสี่ยง ซึ่งไม่ได้ส่งสัญญาณว่าจะเกิดอุบัติเหตุ แต่เป็นการเพิ่มดีมานส์รองรับความเปาะบางของเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่ดีนัก หลังจากใช้กระสุนไปแล้ว
เริ่มเห็นอัตราผลตอบแทนในตลาดพันธบัตรและอัตราดอกเบี้ยในตลาดการเงินระยะสั้นเริ่มลดลงตาม แม้ไม่รู้ว่าอัตราดอกเบี้ยของสถาบันการเงินจะลดตามเมื่อไร แต่เชื่อว่าธนาคารพาณิชย์จะนำเป็นข้อมูลนี้ไปใช้ในการประเมินด้านอื่นๆต่อไปได้
ทั้งนี้ การประกาศลดดอกเบี้ยนโยบายไม่ใช่อิทธิพลสำคัญจากเรื่องเงินทุนเคลื่อนย้ายจากอัตราดอกเบี้ยไทยสูงกว่าเมื่อเทียบกับประเทศขนาดใหญ่ ซึ่งผลการดำเนินดังกล่าวอาจจะมีผลข้างเคียงแรงใจจูงเงินทุนไหลเข้าออกบ้าง อีกทั้งไม่มีเจตนาที่จะส่งสัญญาณว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะเป็นทิศทางขาลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งยังคงต้องประเมินสถานการณ์โลกเพิ่มเติมต่อไป
เพราะระยะข้างหน้าสถานการณ์ตลาดการเงินโลกยังมีความซับซ้อนพอสมควร การดำเนินนโยบายต่างๆ จึงควรมีความรอบคอบ ซึ่งหากออกมาตรการสุดขั้วเกินไปอาจเกิดความเสี่ยงได้
"การดำเนินนโยบายของไทยไม่ขมุกขมัวเหมือนประเทศหลัก โดยเรามีไม่ได้มีปัญหานโยบายการเงิน ฐานะการคลังไม่ได้มีข้อจำกัดในการใช้กระสุนกระตุ้นเศรษฐกิจ ระบบสถาบันการเงินไม่บอบช้ำ และไม่ไม่ได้เผชิญความไม่แน่นอนหลากหลายรูปแบบ ทำให้ไม่รู้ว่าผลต่อระดับความเข้มข้นในการดำเนินนโยบายจะเอายังไง ดังนั้น การดำเนินนโยบายต้องไม่ประมาทตั้งการ์ดป้องกันไว้สูงๆ ดูแลเสถียรภาพระบบการเงิน สร้างกันชนไว้ ใช้กระสุนดำเนินนโยบายต่างๆ อย่างฉลาดและพยายามพัฒนาตลาดทุนให้ลึก เพื่อบรรเทาผลกระทบต่างๆ"
ต่อข้อซักถามที่ว่าการลดดอกเบี้ยจะเป็นการกระตุ้นให้สินเชื่อขยายตัวสูงหรือไม่ ผู้ว่าการธปท.กล่าวว่า ยอมรับว่าบอร์ดกนง.ให้ความสนใจ การขยายตัวสินเชื่อเพิ่มขึ้นมาก แต่ก็มีเหตุผลที่อธิบายได้ทั้งธุรกิจไทยขอไปลงทุนต่างประเทศ ซ่อมแซมจากปัญหาน้ำท่วมที่ผ่านมา ซื้อรถยนต์จากมาตรการพิเศษชั่วคราวของรัฐ อย่างไรก็ตาม ในส่วนของการเติบโตของสินเชื่ออุปโภคบริโภค ยกเว้น สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ซึ่งธปท.ยังคงจับตาเพิ่มเติม แต่ไม่ได้ถึงขั้นวิตกกังวลเป็นพิเศษ
**จ่อประกาศไล่เงินทุนไหลออก ***
นางจันทวรรณ สุจริตกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายตลาดการเงิน ธปท.กล่าวว่า วันที่ 22 ต.ค.นี้ ธปท.จะแถลงข่าวมาตรการผ่อนคลายการนำเงินทุนออก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในแผนแม่บทเงินทุนเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศ ถือเป็นแผนระยะแรกในปี 55-56 นี้ โดยจะมีการออกมาตรการ 3 ประเด็น จากทั้งหมด 5 ประเด็น ในส่วนอำนาจของธปท.ก่อน หลังจากนั้นถึงจะมีการแถลงส่วนที่เหลือ
ซึ่งต้องอาศัยอำนาจกระทรวงการคลังต่อไป
สำหรับมาตรการเงินทุนไหลออก 5 มาตรการ ยกเลิกสัญญาป้องกันความเสี่ยอัตราแลกเปลี่ยนล่วงหน้าที่ธุรกรรมรองรับ ให้บุคคลธรรมดานำเงินลงทุนโดยตรงในต่างประเทศ(ทีดีไอ)ได้อย่างเสรี การลงทุนในหลักทรัพย์ในต่างประเทศได้อนุญาตให้บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของไทยทำได้และลงทุนไม่จำกัดจำนวน ส่วนรายย่อยเพิ่มประเภทของหลักทรัพย์ให้ลงทุนได้มากขึ้นบัญชีเงินฝากเป็นเงินตราต่างประเทศ(เอฟซีดี)อนุญาตให้นิติบุคคลทั้งในและนอกประเทศที่มีภาระผูกพันเป็นเงินตราต่างประเทศสามารถซื้อเงินตราต่างประเทศสะสมไว้ใช้ได้โดยไม่จำกัดระยะเวลาและวงเงิน และโอนเงินตราต่างประเทศออกนอกประเทศให้เพิ่มขึ้น
นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เปิดเผยว่า การประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลด 0.27% ทำให้ดอกเบี้ยมาอยู่ที่ระดับ 2.75%ต่อปี เพื่อเป็นการซื้อประกันความเสี่ยง ซึ่งไม่ได้ส่งสัญญาณว่าจะเกิดอุบัติเหตุ แต่เป็นการเพิ่มดีมานส์รองรับความเปาะบางของเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่ดีนัก หลังจากใช้กระสุนไปแล้ว
เริ่มเห็นอัตราผลตอบแทนในตลาดพันธบัตรและอัตราดอกเบี้ยในตลาดการเงินระยะสั้นเริ่มลดลงตาม แม้ไม่รู้ว่าอัตราดอกเบี้ยของสถาบันการเงินจะลดตามเมื่อไร แต่เชื่อว่าธนาคารพาณิชย์จะนำเป็นข้อมูลนี้ไปใช้ในการประเมินด้านอื่นๆต่อไปได้
ทั้งนี้ การประกาศลดดอกเบี้ยนโยบายไม่ใช่อิทธิพลสำคัญจากเรื่องเงินทุนเคลื่อนย้ายจากอัตราดอกเบี้ยไทยสูงกว่าเมื่อเทียบกับประเทศขนาดใหญ่ ซึ่งผลการดำเนินดังกล่าวอาจจะมีผลข้างเคียงแรงใจจูงเงินทุนไหลเข้าออกบ้าง อีกทั้งไม่มีเจตนาที่จะส่งสัญญาณว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะเป็นทิศทางขาลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งยังคงต้องประเมินสถานการณ์โลกเพิ่มเติมต่อไป
เพราะระยะข้างหน้าสถานการณ์ตลาดการเงินโลกยังมีความซับซ้อนพอสมควร การดำเนินนโยบายต่างๆ จึงควรมีความรอบคอบ ซึ่งหากออกมาตรการสุดขั้วเกินไปอาจเกิดความเสี่ยงได้
"การดำเนินนโยบายของไทยไม่ขมุกขมัวเหมือนประเทศหลัก โดยเรามีไม่ได้มีปัญหานโยบายการเงิน ฐานะการคลังไม่ได้มีข้อจำกัดในการใช้กระสุนกระตุ้นเศรษฐกิจ ระบบสถาบันการเงินไม่บอบช้ำ และไม่ไม่ได้เผชิญความไม่แน่นอนหลากหลายรูปแบบ ทำให้ไม่รู้ว่าผลต่อระดับความเข้มข้นในการดำเนินนโยบายจะเอายังไง ดังนั้น การดำเนินนโยบายต้องไม่ประมาทตั้งการ์ดป้องกันไว้สูงๆ ดูแลเสถียรภาพระบบการเงิน สร้างกันชนไว้ ใช้กระสุนดำเนินนโยบายต่างๆ อย่างฉลาดและพยายามพัฒนาตลาดทุนให้ลึก เพื่อบรรเทาผลกระทบต่างๆ"
ต่อข้อซักถามที่ว่าการลดดอกเบี้ยจะเป็นการกระตุ้นให้สินเชื่อขยายตัวสูงหรือไม่ ผู้ว่าการธปท.กล่าวว่า ยอมรับว่าบอร์ดกนง.ให้ความสนใจ การขยายตัวสินเชื่อเพิ่มขึ้นมาก แต่ก็มีเหตุผลที่อธิบายได้ทั้งธุรกิจไทยขอไปลงทุนต่างประเทศ ซ่อมแซมจากปัญหาน้ำท่วมที่ผ่านมา ซื้อรถยนต์จากมาตรการพิเศษชั่วคราวของรัฐ อย่างไรก็ตาม ในส่วนของการเติบโตของสินเชื่ออุปโภคบริโภค ยกเว้น สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ซึ่งธปท.ยังคงจับตาเพิ่มเติม แต่ไม่ได้ถึงขั้นวิตกกังวลเป็นพิเศษ
**จ่อประกาศไล่เงินทุนไหลออก ***
นางจันทวรรณ สุจริตกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายตลาดการเงิน ธปท.กล่าวว่า วันที่ 22 ต.ค.นี้ ธปท.จะแถลงข่าวมาตรการผ่อนคลายการนำเงินทุนออก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในแผนแม่บทเงินทุนเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศ ถือเป็นแผนระยะแรกในปี 55-56 นี้ โดยจะมีการออกมาตรการ 3 ประเด็น จากทั้งหมด 5 ประเด็น ในส่วนอำนาจของธปท.ก่อน หลังจากนั้นถึงจะมีการแถลงส่วนที่เหลือ
ซึ่งต้องอาศัยอำนาจกระทรวงการคลังต่อไป
สำหรับมาตรการเงินทุนไหลออก 5 มาตรการ ยกเลิกสัญญาป้องกันความเสี่ยอัตราแลกเปลี่ยนล่วงหน้าที่ธุรกรรมรองรับ ให้บุคคลธรรมดานำเงินลงทุนโดยตรงในต่างประเทศ(ทีดีไอ)ได้อย่างเสรี การลงทุนในหลักทรัพย์ในต่างประเทศได้อนุญาตให้บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของไทยทำได้และลงทุนไม่จำกัดจำนวน ส่วนรายย่อยเพิ่มประเภทของหลักทรัพย์ให้ลงทุนได้มากขึ้นบัญชีเงินฝากเป็นเงินตราต่างประเทศ(เอฟซีดี)อนุญาตให้นิติบุคคลทั้งในและนอกประเทศที่มีภาระผูกพันเป็นเงินตราต่างประเทศสามารถซื้อเงินตราต่างประเทศสะสมไว้ใช้ได้โดยไม่จำกัดระยะเวลาและวงเงิน และโอนเงินตราต่างประเทศออกนอกประเทศให้เพิ่มขึ้น
