ASTVผู้จัดการรายวัน - บอร์ดกนง.เซอร์ไพรส์ตลาดประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% มาอยู่ที่ระดับ 2.75%ต่อปีด้วยมติ 5 ต่อ 2 เสียง ห่วงความเสี่ยงเศรษฐกิจโลกอาจกระทบรายได้ส่งออกไทยและอุปสงค์ภายในประเทศ หวังสร้างความมั่นใจเกิดแรงส่งเศรษฐกิจในปีหน้า ยืนยันเป็นระดับเหมาะสม ชี้การลดดอกเบี้ยครั้งนี้ไม่ใช่ส่งสัญญาณว่าทิศทางไปขาลงหรือขึ้น เตรียมลดการขยายตัวเศรษฐกิจไทยต่ำกว่า 5.7% ในปีนี้และปีหน้าต่ำกว่า 5% เช่นเดียวตัวเลขส่งออกต่ำกว่า 7% แต่ปีหน้าคาดสูงกว่า 10.8%
นายไพบูลย์ กิตติศรีกังวาน เลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) เปิดเผยว่า ผลการประชุมบอร์ดกนง.เมื่อวานนี้(17ต.ค.) ได้มีมติ 5 ต่อ 2 เสียงให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% จากระดับ 3.00% มาอยู่ที่ระดับ 2.75%ต่อปี ซึ่งให้มีผลทันที เนื่องจากขณะนี้อัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับต่ำ แต่ก็มีความเป็นห่วงผลกระทบเศรษฐกิจโลกเป็นสำคัญ ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อรายได้การส่งออกการบริโภค ลงทุนของประเทศในระยะต่อไปได้ จึงได้ผ่อนคลายนโยบายการเงินครั้งนี้ เพื่อสร้างความมั่นใจว่าจะมีแรงส่งอุปสงค์ในประเทศในปีหน้าให้มีกำลังเพียงพอที่จะพยุงให้เศรษฐกิจขยายตัวที่ดีได้
"บอร์ดกนง.ไม่ใช่ส่งสัญญาณว่าต่อไปอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะเป็นขาลงหรือขาขึ้น แต่การประชุมแต่ละครั้งจะมีการประเมินเศรษฐกิจในช่วงขณะนั้นใหม่ทุกครั้ง แต่เห็นว่าอัตราดอกเบี้ยในระดับดังกล่าวเป็นระดับเหมาะสมแนวโน้มเศรษฐกิจข้างหน้า"เลขานุการบอร์ดกนง.กล่าว
ทั้งนี้ การปรับลดดอกเบี้ยครั้งนี้ก็ไม่ใช่เกิดจากแรงกดดันจากฝั่งรัฐบาลที่หวังให้ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่กรรมการแต่ละท่านได้ใช้ดุลพินิจจากข้อมูลและพยากรณ์เศรษฐกิจข้างหน้า ฉะนั้นการทำนโยบายต่างๆ ไม่ใช่มองแค่ดำหรือขาว สะท้อนได้จากมติที่มีเสียงแตกของกรรมการ ซึ่งอาศัยประสบการณ์ของกรรมการ ถือว่าทำสิ่งที่ถูกต้องและเป็นกระบวนการที่สร้างความน่าเชื่อถือต่อนโยบายการเงินบนพื้นฐานเห็นว่านโยบายที่ดีที่สุดสำหรับประเทศ
นอกจากนี้ วันที่ 26 ต.ค.นี้ ในรายงานแนวโน้มเงินเฟ้อประจำเดือนต.ค. ถือเป็นรายงานฯ เล่มสุดท้ายของปี 55 จะมีการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญใหม่ โดยทิศทางเบื้องต้นมองว่าภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีความไม่แน่นอนสูงจนเกิดการชะลอตัวของภาคส่งออกไทยชัดเจน จึงปรับลดอัตราการขยายตัวเศรษฐกิจไทยในปีนี้และปีหน้าและตัวเลขส่งออกของไทยจะลดลงสำหรับปีนี้และปีหน้าจะปรับเพิ่มขึ้น เพราะฐานปี55ต่ำกว่าปี 56 ทั้งนี้ ปัจจุบันที่บอร์ดกนง.ประเมินตัวเลขส่งออก 7% ในปีนี้และปีหน้า 10.8% ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจไทยปีนี้อยู่ที่ 5.7% และปีหน้า 5.0%
อย่างไรก็ตาม เมื่อลดดอกเบี้ยนโยบายครั้งนี้แล้ว ทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายแท้จริงของไทยติดลบ 0.25% จากครั้งก่อนอยู่ที่ 0% อย่างไรก็ตาม การลดอัตราดอกเบี้ยอาจจะส่งมีความเสี่ยงต่อการออมบ้างในระยะยาว แต่กรรมการทั้ง 5 เสียงที่มีมติให้ลดดอกเบี้ยมองว่าในระยะสั้นมีความกังวลการขยายตัวเศรษฐกิจ จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องพยายามสร้างความมั่นใจว่านโยบายการเงินพร้อมสนับสนุนการขยายตัวเศรษฐกิจไทยในปีหน้าต่อไปได้
นายไพบูลย์กล่าวอีกว่า แม้กนง.ประกาศลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ซึ่งต่างกับที่ตลาดคาดการณ์และแม้ธนาคารพาณิชย์อาจจะไม่ได้ปรับตาม แต่เข้าใจได้ว่าในความเป็นจริงการปรับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์มีหลายปัจจัยให้พิจารณา โดยเฉพาะการแข่งขันระหว่างสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐกับธนาคารพาณิชย์เอง ถือเป็นข้อจำกัดอย่างหนึ่ง แต่ความรวดเร็วและขนาดของการปรับตัวเชื่อว่าในที่สุดกลไกตลาดจะเป็นตัวตัดสินใจได้ อย่างไรก็ตาม ผลดอกเบี้ยนโยบายยังส่งผ่านช่องทางอื่นได้ อาทิ ผลต่ออัตราดอกเบี้ยระยะสั้นในตลาดการเงิน ตลาดพันธบัตร การตัดสินใจลงทุน และการออม เป็นต้นด้วย
"การประชุมครั้งนี้ บอร์ดกนง.ได้พิจารณารอบด้านอาทิ เงินทุนเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศ การเบิกจ่ายภาครัฐที่ล่าช้า และการขยายตัวสินเชื่อล่าสุดอยู่ที่ระดับ 14-15% ถือว่าอยู่ในระดับสูง และเท่าที่สำรวจขณะนี้ยังไม่เห็นสัญญาณอันตรายที่มีความเป็นห่วงกันมากทั้งสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยหรือสินเชื่ออุปโภคบริโภค อย่างไรก็ตาม ธปท.ยังคงมีการติดตามต่อไปว่าภาคส่วนใดที่มีการเร่งตัวมากเกินไปหรือไม่ ฉะนั้นกนง.ให้น้ำหนักความกังวลการชะลอตัวอุปสงค์ในประเทศและผลกระทบต่อเนื่องที่มีผลให้การส่งออกชะลอตัวในช่วง 3 เดือนที่เหลือของปีนี้มากกว่าความเสี่ยงการเติบโตสินเชื่อ"
นายไพบูลย์ กิตติศรีกังวาน เลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) เปิดเผยว่า ผลการประชุมบอร์ดกนง.เมื่อวานนี้(17ต.ค.) ได้มีมติ 5 ต่อ 2 เสียงให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% จากระดับ 3.00% มาอยู่ที่ระดับ 2.75%ต่อปี ซึ่งให้มีผลทันที เนื่องจากขณะนี้อัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับต่ำ แต่ก็มีความเป็นห่วงผลกระทบเศรษฐกิจโลกเป็นสำคัญ ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อรายได้การส่งออกการบริโภค ลงทุนของประเทศในระยะต่อไปได้ จึงได้ผ่อนคลายนโยบายการเงินครั้งนี้ เพื่อสร้างความมั่นใจว่าจะมีแรงส่งอุปสงค์ในประเทศในปีหน้าให้มีกำลังเพียงพอที่จะพยุงให้เศรษฐกิจขยายตัวที่ดีได้
"บอร์ดกนง.ไม่ใช่ส่งสัญญาณว่าต่อไปอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะเป็นขาลงหรือขาขึ้น แต่การประชุมแต่ละครั้งจะมีการประเมินเศรษฐกิจในช่วงขณะนั้นใหม่ทุกครั้ง แต่เห็นว่าอัตราดอกเบี้ยในระดับดังกล่าวเป็นระดับเหมาะสมแนวโน้มเศรษฐกิจข้างหน้า"เลขานุการบอร์ดกนง.กล่าว
ทั้งนี้ การปรับลดดอกเบี้ยครั้งนี้ก็ไม่ใช่เกิดจากแรงกดดันจากฝั่งรัฐบาลที่หวังให้ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่กรรมการแต่ละท่านได้ใช้ดุลพินิจจากข้อมูลและพยากรณ์เศรษฐกิจข้างหน้า ฉะนั้นการทำนโยบายต่างๆ ไม่ใช่มองแค่ดำหรือขาว สะท้อนได้จากมติที่มีเสียงแตกของกรรมการ ซึ่งอาศัยประสบการณ์ของกรรมการ ถือว่าทำสิ่งที่ถูกต้องและเป็นกระบวนการที่สร้างความน่าเชื่อถือต่อนโยบายการเงินบนพื้นฐานเห็นว่านโยบายที่ดีที่สุดสำหรับประเทศ
นอกจากนี้ วันที่ 26 ต.ค.นี้ ในรายงานแนวโน้มเงินเฟ้อประจำเดือนต.ค. ถือเป็นรายงานฯ เล่มสุดท้ายของปี 55 จะมีการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญใหม่ โดยทิศทางเบื้องต้นมองว่าภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีความไม่แน่นอนสูงจนเกิดการชะลอตัวของภาคส่งออกไทยชัดเจน จึงปรับลดอัตราการขยายตัวเศรษฐกิจไทยในปีนี้และปีหน้าและตัวเลขส่งออกของไทยจะลดลงสำหรับปีนี้และปีหน้าจะปรับเพิ่มขึ้น เพราะฐานปี55ต่ำกว่าปี 56 ทั้งนี้ ปัจจุบันที่บอร์ดกนง.ประเมินตัวเลขส่งออก 7% ในปีนี้และปีหน้า 10.8% ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจไทยปีนี้อยู่ที่ 5.7% และปีหน้า 5.0%
อย่างไรก็ตาม เมื่อลดดอกเบี้ยนโยบายครั้งนี้แล้ว ทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายแท้จริงของไทยติดลบ 0.25% จากครั้งก่อนอยู่ที่ 0% อย่างไรก็ตาม การลดอัตราดอกเบี้ยอาจจะส่งมีความเสี่ยงต่อการออมบ้างในระยะยาว แต่กรรมการทั้ง 5 เสียงที่มีมติให้ลดดอกเบี้ยมองว่าในระยะสั้นมีความกังวลการขยายตัวเศรษฐกิจ จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องพยายามสร้างความมั่นใจว่านโยบายการเงินพร้อมสนับสนุนการขยายตัวเศรษฐกิจไทยในปีหน้าต่อไปได้
นายไพบูลย์กล่าวอีกว่า แม้กนง.ประกาศลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ซึ่งต่างกับที่ตลาดคาดการณ์และแม้ธนาคารพาณิชย์อาจจะไม่ได้ปรับตาม แต่เข้าใจได้ว่าในความเป็นจริงการปรับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์มีหลายปัจจัยให้พิจารณา โดยเฉพาะการแข่งขันระหว่างสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐกับธนาคารพาณิชย์เอง ถือเป็นข้อจำกัดอย่างหนึ่ง แต่ความรวดเร็วและขนาดของการปรับตัวเชื่อว่าในที่สุดกลไกตลาดจะเป็นตัวตัดสินใจได้ อย่างไรก็ตาม ผลดอกเบี้ยนโยบายยังส่งผ่านช่องทางอื่นได้ อาทิ ผลต่ออัตราดอกเบี้ยระยะสั้นในตลาดการเงิน ตลาดพันธบัตร การตัดสินใจลงทุน และการออม เป็นต้นด้วย
"การประชุมครั้งนี้ บอร์ดกนง.ได้พิจารณารอบด้านอาทิ เงินทุนเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศ การเบิกจ่ายภาครัฐที่ล่าช้า และการขยายตัวสินเชื่อล่าสุดอยู่ที่ระดับ 14-15% ถือว่าอยู่ในระดับสูง และเท่าที่สำรวจขณะนี้ยังไม่เห็นสัญญาณอันตรายที่มีความเป็นห่วงกันมากทั้งสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยหรือสินเชื่ออุปโภคบริโภค อย่างไรก็ตาม ธปท.ยังคงมีการติดตามต่อไปว่าภาคส่วนใดที่มีการเร่งตัวมากเกินไปหรือไม่ ฉะนั้นกนง.ให้น้ำหนักความกังวลการชะลอตัวอุปสงค์ในประเทศและผลกระทบต่อเนื่องที่มีผลให้การส่งออกชะลอตัวในช่วง 3 เดือนที่เหลือของปีนี้มากกว่าความเสี่ยงการเติบโตสินเชื่อ"
