ASTVผู้จัดการรายวัน-กมธ.เศรษฐกิจ วุฒิสภา ชำแหละจำนำข้าว ส่อเกิดหนี้สาธารณะบานเบอะ ประโยชน์ไม่ตกถึงมือชาวนา เรียกร้องรัฐบาลล้มโครงการ "อดิศร์"ตอกย้ำรัฐพลิ้วเปลี่ยนจำนำเป็นซื้อขาด ระวังคู่ค้าฟ้อง WTO "บุญทรง"ออกโรงแจงขายข้าวไม่ขัดรัฐธรรมนูญ ไม่ต้องเอาเข้าสภา ปชป.อัดจำนำเกษตรกรได้ประโยชน์แค่นิดเดียว ที่เหลือตกอยู่กับนายทุน แฉอีกอ้างจีทูจีขายข้าวให้เอกชนใกล้ชิด ทีดีอาร์ไอไม่เชื่อจำนำทำราคาพุ่ง แนะรีบระบาย แม้ขาดทุนแสนล้านก็ต้องยอม
วานนี้ (17 ต.ค.) คณะกรรมาธิการ (กมธ.) การเศรษฐกิจ การพาณิชย์และอุตสาหกรรม วุฒิสภา ที่มีนายมหรรณพ เดชวิทักษ์ ส.ว.สรรหา เป็นประธาน ได้มีการประชุมเพื่อพิจารณาศึกษาวิเคราะห์นโยบายประชานิยมของรัฐบาลที่ส่งผลกระทบต่อปัญหาเศรษฐกิจไทย และการพิจารณารายงานการศึกษาโครงการรับจำนำข้าวเปลือกเจ้าและข้าวหอมมะลิ อันเป็นนโยบายของรัฐที่อาจส่งผลกระทบถึงเกษตรกร สภาวการณ์หนี้สาธารณะ และปัญหาเศรษฐกิจในอนาคต
นายวิชัย พยัคโส ที่ปรึกษากิติมศักดิ์ กมธ. กล่าวว่า นโยบายรับจำนำข้าว ส่วนใหญ่จะพบปัญหา คือ 1.รัฐบาลกำหนดราคาจำนำข้าวที่สูงเกินกว่าท้องตลาด 40% ทำให้เกษตรกรไม่มาไถ่ถอนคืน ข้าวจึงอยู่ในโกดังเป็นจำนวนมาก 2.รัฐบาลไม่สามารถระบายข้าว หากระบายข้าวได้ ทำให้รัฐบาลขาดทุน ประมาณ 1-1.3 แสนล้านบาท และ3.โรงสีไม่ซื่อสัตย์ต่อชาวนา โดยเฉพาะการออกใบประทวนไม่ตรงกับความเป็นจริงพื้นที่นา ความชื้น รวมถึงมีการนำข้าวจากต่างประเทศมาสวมสิทธิ
"ชาวนามี 4 ล้านครัวเรือน แต่ได้รับประโยชน์เพียง 1 ล้านราย ซึ่งเป็นชาวนาที่รวย แต่ชาวนายากจนกลับไม่ได้รับประโยชน์ หากจำนำต่อไปจะเกิดปัญหาในเรื่องที่เก็บที่อาจไม่เพียงพอ โรงสีไม่รับจำนำข้าว ใบประทวนที่ออกไม่สามารถไปเบิกเงินได้ หากรัฐบาลขายข้าวขาดทุนจะทำให้เกิดหนี้สาธารณะ ดังนั้น จำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขโครงการดังกล่าว"นายวิชัยกล่าว
นายวิชัยกล่าวอีกว่า สำหรับข้อเสนอแนะในการปรับปรุง รัฐบาลควรทบทวนนโยบายดังกล่าวทั้งหมด เช่น กำหนดปริมาณ กำหนดวงเงินรับจำนำ โดยเน้นเกษตรกรรายได้ต่ำให้มีโอกาสเข้าถึงโครงการ และเปิดโอกาสให้ใช้กลไกตลาดภาคเอกชนมีส่วนร่วมในการระบายข้าวในสต๊อก มิฉะนั้น ข้าวอาจจะเสื่อม สำหรับการขายลักษณะรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ควรพิจารณาบางประเทศที่เป็นประเทศใหม่ๆ เช่น สเปน อเมริกาใต้ และต้องเปิดเผยปริมาณและราคาให้กับประชาชนได้รับทราบ รัฐบาลต้องวิจัยพัฒนาพันธุ์ข้าวไทยให้ได้คุณภาพดี เพื่อขายได้ในราคาที่สูง และต้องพิจารณาการปรับปรุงที่ดินใหม่ เพราะมีกลุ่มนายทุนต่างชาติ จ้างคนไทยเป็นเจ้าของเพื่อถือครองที่ดิน ทำให้ผลประโยชน์จากโครงการดังกล่าวตกที่นายทุนเท่านั้น
ด้านนายชัยวัฒน์ จันวิไล ที่ปรึกษากิติมศักดิ์ กล่าวว่า ปัญหาของโครงการรับจำนำข้าว ถือเป็นเรื่องใหญ่ ไม่ว่ารัฐบาลที่ผ่านมา จะแก้ปัญหาด้วยการประกันราคาข้าวหรือจำนำ ถือว่าไม่ตอบโจทย์ และการจำนำข้าวพบว่ามีผลเสียและข้อจำกัดมากมาย อีกทั้งพบปัญหาเกิดขึ้นทุกขั้นตอน แต่สิ่งสำคัญและเป็นประเด็นหลัก คือ ไทยถือเป็นประเทศที่ผลิตข้าวที่ดีที่สุดในโลก แต่พบว่าชาวนาส่วนใหญ่ยังยากจน
**อ.นิด้าห่วงคู่ค้าฟ้องWTO
ที่รัฐสภา ในการประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.) แก้ไขปัญหาหนี้สินแห่งชาติ ที่มีนายฉลาด ขามช่วง ส.ส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย เป็นประธานคณะกรรมาธิการ ทำหน้าที่ประธานการประชุม โดยได้เชิญปลัดกระทรวงพาณิชย์ ผู้อำนวยการองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และนายอดิศร์ อิศรางกูร ณ อยุธยา คณะบดีคณะพัฒนาการเศรษฐกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เข้าร่วมชี้แจงถึงผลการดำเนินการโครงการรับจำนำข้าวเปลือกตามนโยบายของรัฐบาล แต่ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ไม่ได้เข้าร่วมชี้แจงและไม่ได้ส่งตัวแทนมาแต่อย่างใด
โดยนายอดิศร์กล่าวว่า หากรัฐบาลอยากปลดหนี้ของเกษตรกร ไม่ต้องจ่ายเงินให้วุ่นวาย แค่โอนเงินให้ธ.ก.ส. ก็จบแล้ว จะสามารถปลดหนี้ได้เลย ซึ่งวิธีการแท้จริงที่จะช่วยเหลือเกษตรกร เน้นให้เกษตรกรมีรายได้มากขึ้น แต่เนื่องจากราคาสินค้าการเกษตรมีตัวแปรที่ทำอะไรไม่ได้ เพราะต้องขายของในราคาตลาด หากไปยุ่งเกี่ยวกับราคานี้ก็จะทำให้มีปัญหาตามมาทันที ซึ่งเห็นได้จากที่ผ่านมา ปัญหาเกิดขึ้นเพราะรัฐไปยุ่งกับราคาตลาด ทั้งที่รัฐบาลควรเข้าไปช่วยเกษตรกรในการลดต้นทุนสินค้า และเมื่อลดต้นทุนแล้วกำไรก็จะมากขึ้น สามารถนำเงินมาใช้หนี้ธ.ก.ส.ได้ แต่รัฐบาลชุดนี้กลับเลือกที่จะทำในทางตรงกันข้าม เนื่องจากจะไม่มีมาตรการลดต้นทุนแล้วก็ยังเพิ่มราคาสินค้า ซึ่งในทางวิชาการถือว่าเป็นความผิดพลาด
"ขณะนี้รัฐบาลได้บิดพลิ้วจากโครงการรับจำนำข้าว เป็นโครงการรับซื้อข้าว การที่รัฐบาลจ้างโรงสีเก็บข้าวกว่า 10-20 ล้านตันก็เป็นการฟ้องว่าเราไม่ได้ทำเรื่องจำนำข้าว แต่รัฐบาลทำหน้าที่เป็นผู้ซื้อข้าวมาไว้เพียงผู้เดียว เมื่อรัฐบาลทำในลักษณะนี้ก็จะมีปัญหาตามมา คือ 1.จะนำข้าวไปขายที่ไหน ซึ่งเชื่อว่าหากนำไปขายจะขาดทุนแน่นอน และ2.การที่ขายในราคาต่ำ ข้าวที่มีจำนวนปริมาณมากก็จะทำให้ประเทศคู่ค้ามีการร้องเรียนได้ว่าจะขัดกับกลไกการค้าขององค์การการค้าโลก (WTO)"
***ธ.ก.ส.ยันยังไม่ถังแตก
นายโชคทวี อภิภัทรกุล รองผู้อำนวยการฝ่ายกิจการนโยบายรัฐ ธ.ก.ส. กล่าวถึงกรณีที่ขณะนี้มีกระแสข่าวว่า ธ.ก.ส. ขาดสภาพคล่องในการจ่ายเงินให้กับเกษตรกรในโครงการรับจำนำข้าวว่า ไมเป็นความจริง ธ.ก.ส. ได้ใช้เงินส่วนตัวของธนาคารจ่ายให้กับเกษตรไปก่อนล่วงหน้าเป็นเงินกว่า 9 หมื่นล้านบาท ขณะที่รัฐบาลก็จะต้องหาเงินมาให้กับธ.ก.ส. ในการดำเนินการรับจำนำข้าวรอบใหม่อีก 3 แสนล้านบาท
นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย ในฐานะรองประธาน กมธ. กล่าวว่า การประชุมกมธ. ในสัปดาห์หน้า จะเชิญกรมส่งเสริมการเกษตรมาชี้แจงเกี่ยวกับจำนวนเกษตรกรในโครงการรับจำนำข้าวมีเท่าไร รวมทั้งพื้นที่นาที่สามารถปลูกข้าวและรับจำนำได้มีเท่าไร
***"บุญทรง"โต้ขายข้าวไม่ขัดรัฐธรรมนูญ
นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึงกรณีที่กลุ่มส.ว. 68 คน เตรียมยื่นศาลรัฐธรรมนูญฟ้องร้องกรณีการขายข้าวจีทูจีขัดกฎหมายรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 ว่า การขายข้าวจีทูจี ไม่ถือว่าขัดกฏหมายรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 190 ที่ต้องขอความเห็นชอบจากรัฐสภาก่อน เพราะการข้าวจีทูจีเป็นเรื่องการปฏิบัติหน้าที่ตามปกติที่กระทรวงพาณิชย์รับผิดชอบ เหมือนกับเวลาที่กองทัพไทยสั่งซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์จากรัฐบาลต่างประเทศ ก็ไม่เข้ามาตรา 190 อีกทั้งก่อนหน้านี้ ได้เคยหารือกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาประเด็นดังกล่าวแล้ว ซึ่งทางกฤษฎีกาก็แจ้งมาว่าไม่เข้าข่ายมาตรากฎหมายดังกล่าว
นางวัชรี วิมุกตายน ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า การขายข้าวไม่จำเป็นต้องขอความเห็นชอบจากรัฐสภา เพราะการขายข้าวไม่ได้เป็นสัญญาผูกพันกับผลประโยชน์ของประเทศในระยะยาว ขณะเดียวกันการขายข้าวจีทูจีไม่ได้เป็นการสร้างความเสียหายแก่ประเทศด้วย เพราะแต่ละปีประเทศไทยปลูกข้าวได้มากและต้องการขายอยู่แล้ว ซึ่งการขายจีทูจีส่วนใหญ่ก็ได้ราคาดีและปริมาณมาก จึงถือว่าเป็นประโยชน์ซึ่งดีกว่าเก็บข้าวไว้แล้วขายไม่ได้ ที่สำคัญการขายระบบจีทูจีก็มีการขายต่อเนื่องมาหลายรัฐบาล ขณะที่รัฐบาลชุดที่แล้วก็มีการขายจีทูจีและไม่ต้องผ่านการพิจารณาของรัฐสภาแต่อย่างใด
**เชื่อกว่า 3 ล้านครัวเรือนเดือดร้อน
นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ส.ส.กทม.ในฐานะโฆษกคณะรัฐมนตรีเงา พรรคประชาธิปัตย์ แถลงถึงผลการประชุมครม.เงาว่า ที่ประชุมมีการหารือถึง โครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลยังมีงบประมาณรั่วไหลเป็นอย่างมาก ซึ่งหากนำมาเปรียบเทียบกับโครงการประกันรายได้ของรัฐบาลที่แล้ว พบว่าการประกันรายได้สามารถช่วยเหลือเกษตรกรได้ทั่วถึงมากกว่า ซึ่งจากการรวบรวมข้อมูลในขณะนี้พบว่าโครงการรับจำนำข้าวใช้งบประมาณไปแล้วกว่า 3.3 แสนล้านบาท แต่ชาวนาได้รับงบประมาณจริงเพียง7หมื่นล้านเท่านั้น ส่วนครอบครัวชาวนากว่า 4ล้านครอบครัว ก็ได้รับการช่วยเหลือเพียง 1 ล้านครอบครัวเท่านั้น ดังนั้น พรรคประชาธิปัตย์จึงเห็นว่าโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับนักการเมืองไม่ใช่ชาวนา
**แฉซ้ำอ้างชื่อจีทูจีขายข้าวให้เอกชน
นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ตนได้รับการยืนยันจากคนในวงการค้าข้าวส่งออกว่า ไม่มีการส่งออกข้าวไปยังต่างประเทศที่อ้างว่าได้ขายข้าวให้ต่าวประเทศแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ตามที่กระทรวงพาณิชย์และรัฐบาลระบุแต่อย่างใด แต่เป็นการอ้างว่าขายแบบจีทูจีลอยๆ หรือเป็นจีทูจีสีขาวที่รัฐบาลเปิดโอกาสให้บริษัทเอกชนที่มีความใกล้ชิดเอาข้าวออกจากคลังไปปรับปรุงเพื่อส่งขายต่ออีกทอด ซึ่งบริษัทดังกล่าวมีชื่อย่อ 3พยางค์ที่มีคนที่เคยเป็นข่าวเกี่ยวกับวงการค้าข้าวที่เกี่ยวพันกับการทุจริตมาก่อนหน้านี้
**ทีดีอาร์ไอไม่เชื่อจำนำทำราคาข้าวพุ่ง
นายวิโรจน์ ณ ระนอง ผู้อำนวยการวิจัยด้านเศรษฐศาสตร์สาธารณสุขและการเกษตร มูลนิธิสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวระหว่างการประชุมพิจารณาศึกษาผลกระทบจากนโยบายรับจำนำข้าว ในคณะกรรมาธิการพัฒนาเศรษฐกิจ สภาฯ ว่า ไม่เชื่อว่าโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลจะสามารถยกระดับราคาข้าวในตลาดโลกให้สูงขึ้นได้ เพราะราคาข้าวในประเทศอินเดีย และประเทศเวียดนามมีราคาต่ำกว่า การที่ประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกข้าวคุณภาพรายใหญ่และอ้างว่าการเก็บข้าวในสต๊อกจะทำให้ข้าวหายไปจากตลาดและจะส่งผลให้ราคาข้าวในตลาดโลกสูงขึ้นตามมานั้นยอมรับว่ามีความเป็นไปได้ แต่จะสูงขึ้นเพียงชั่วคราวเท่านั้น เพราะในที่สุด หากรัฐเก็บข้าวไว้มากจนต้องปล่อยออกมา ก็จะส่งผลให้ราคาตก
"สิ่งที่รัฐบาลควรทำ คือ เร่งระบายข้าวที่ค้างในสต๊อกอย่างเร็วที่สุด ผ่านการประมูลอย่างโปร่งใส เพื่อให้ได้ราคาข้าวตามตลาดโลก ซึ่งจะส่งผลให้รัฐบาลขาดทุนราว 1 แสนล้านบาท เนื่องจากต้นทุนรับซื้อข้าวของรัฐบาลอยู่ที่ 800 เหรียญต่อตัน แต่ขายออกไปในราคาตลาด 500 เหรียญต่อตัน"
วานนี้ (17 ต.ค.) คณะกรรมาธิการ (กมธ.) การเศรษฐกิจ การพาณิชย์และอุตสาหกรรม วุฒิสภา ที่มีนายมหรรณพ เดชวิทักษ์ ส.ว.สรรหา เป็นประธาน ได้มีการประชุมเพื่อพิจารณาศึกษาวิเคราะห์นโยบายประชานิยมของรัฐบาลที่ส่งผลกระทบต่อปัญหาเศรษฐกิจไทย และการพิจารณารายงานการศึกษาโครงการรับจำนำข้าวเปลือกเจ้าและข้าวหอมมะลิ อันเป็นนโยบายของรัฐที่อาจส่งผลกระทบถึงเกษตรกร สภาวการณ์หนี้สาธารณะ และปัญหาเศรษฐกิจในอนาคต
นายวิชัย พยัคโส ที่ปรึกษากิติมศักดิ์ กมธ. กล่าวว่า นโยบายรับจำนำข้าว ส่วนใหญ่จะพบปัญหา คือ 1.รัฐบาลกำหนดราคาจำนำข้าวที่สูงเกินกว่าท้องตลาด 40% ทำให้เกษตรกรไม่มาไถ่ถอนคืน ข้าวจึงอยู่ในโกดังเป็นจำนวนมาก 2.รัฐบาลไม่สามารถระบายข้าว หากระบายข้าวได้ ทำให้รัฐบาลขาดทุน ประมาณ 1-1.3 แสนล้านบาท และ3.โรงสีไม่ซื่อสัตย์ต่อชาวนา โดยเฉพาะการออกใบประทวนไม่ตรงกับความเป็นจริงพื้นที่นา ความชื้น รวมถึงมีการนำข้าวจากต่างประเทศมาสวมสิทธิ
"ชาวนามี 4 ล้านครัวเรือน แต่ได้รับประโยชน์เพียง 1 ล้านราย ซึ่งเป็นชาวนาที่รวย แต่ชาวนายากจนกลับไม่ได้รับประโยชน์ หากจำนำต่อไปจะเกิดปัญหาในเรื่องที่เก็บที่อาจไม่เพียงพอ โรงสีไม่รับจำนำข้าว ใบประทวนที่ออกไม่สามารถไปเบิกเงินได้ หากรัฐบาลขายข้าวขาดทุนจะทำให้เกิดหนี้สาธารณะ ดังนั้น จำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขโครงการดังกล่าว"นายวิชัยกล่าว
นายวิชัยกล่าวอีกว่า สำหรับข้อเสนอแนะในการปรับปรุง รัฐบาลควรทบทวนนโยบายดังกล่าวทั้งหมด เช่น กำหนดปริมาณ กำหนดวงเงินรับจำนำ โดยเน้นเกษตรกรรายได้ต่ำให้มีโอกาสเข้าถึงโครงการ และเปิดโอกาสให้ใช้กลไกตลาดภาคเอกชนมีส่วนร่วมในการระบายข้าวในสต๊อก มิฉะนั้น ข้าวอาจจะเสื่อม สำหรับการขายลักษณะรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ควรพิจารณาบางประเทศที่เป็นประเทศใหม่ๆ เช่น สเปน อเมริกาใต้ และต้องเปิดเผยปริมาณและราคาให้กับประชาชนได้รับทราบ รัฐบาลต้องวิจัยพัฒนาพันธุ์ข้าวไทยให้ได้คุณภาพดี เพื่อขายได้ในราคาที่สูง และต้องพิจารณาการปรับปรุงที่ดินใหม่ เพราะมีกลุ่มนายทุนต่างชาติ จ้างคนไทยเป็นเจ้าของเพื่อถือครองที่ดิน ทำให้ผลประโยชน์จากโครงการดังกล่าวตกที่นายทุนเท่านั้น
ด้านนายชัยวัฒน์ จันวิไล ที่ปรึกษากิติมศักดิ์ กล่าวว่า ปัญหาของโครงการรับจำนำข้าว ถือเป็นเรื่องใหญ่ ไม่ว่ารัฐบาลที่ผ่านมา จะแก้ปัญหาด้วยการประกันราคาข้าวหรือจำนำ ถือว่าไม่ตอบโจทย์ และการจำนำข้าวพบว่ามีผลเสียและข้อจำกัดมากมาย อีกทั้งพบปัญหาเกิดขึ้นทุกขั้นตอน แต่สิ่งสำคัญและเป็นประเด็นหลัก คือ ไทยถือเป็นประเทศที่ผลิตข้าวที่ดีที่สุดในโลก แต่พบว่าชาวนาส่วนใหญ่ยังยากจน
**อ.นิด้าห่วงคู่ค้าฟ้องWTO
ที่รัฐสภา ในการประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.) แก้ไขปัญหาหนี้สินแห่งชาติ ที่มีนายฉลาด ขามช่วง ส.ส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย เป็นประธานคณะกรรมาธิการ ทำหน้าที่ประธานการประชุม โดยได้เชิญปลัดกระทรวงพาณิชย์ ผู้อำนวยการองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และนายอดิศร์ อิศรางกูร ณ อยุธยา คณะบดีคณะพัฒนาการเศรษฐกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เข้าร่วมชี้แจงถึงผลการดำเนินการโครงการรับจำนำข้าวเปลือกตามนโยบายของรัฐบาล แต่ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ไม่ได้เข้าร่วมชี้แจงและไม่ได้ส่งตัวแทนมาแต่อย่างใด
โดยนายอดิศร์กล่าวว่า หากรัฐบาลอยากปลดหนี้ของเกษตรกร ไม่ต้องจ่ายเงินให้วุ่นวาย แค่โอนเงินให้ธ.ก.ส. ก็จบแล้ว จะสามารถปลดหนี้ได้เลย ซึ่งวิธีการแท้จริงที่จะช่วยเหลือเกษตรกร เน้นให้เกษตรกรมีรายได้มากขึ้น แต่เนื่องจากราคาสินค้าการเกษตรมีตัวแปรที่ทำอะไรไม่ได้ เพราะต้องขายของในราคาตลาด หากไปยุ่งเกี่ยวกับราคานี้ก็จะทำให้มีปัญหาตามมาทันที ซึ่งเห็นได้จากที่ผ่านมา ปัญหาเกิดขึ้นเพราะรัฐไปยุ่งกับราคาตลาด ทั้งที่รัฐบาลควรเข้าไปช่วยเกษตรกรในการลดต้นทุนสินค้า และเมื่อลดต้นทุนแล้วกำไรก็จะมากขึ้น สามารถนำเงินมาใช้หนี้ธ.ก.ส.ได้ แต่รัฐบาลชุดนี้กลับเลือกที่จะทำในทางตรงกันข้าม เนื่องจากจะไม่มีมาตรการลดต้นทุนแล้วก็ยังเพิ่มราคาสินค้า ซึ่งในทางวิชาการถือว่าเป็นความผิดพลาด
"ขณะนี้รัฐบาลได้บิดพลิ้วจากโครงการรับจำนำข้าว เป็นโครงการรับซื้อข้าว การที่รัฐบาลจ้างโรงสีเก็บข้าวกว่า 10-20 ล้านตันก็เป็นการฟ้องว่าเราไม่ได้ทำเรื่องจำนำข้าว แต่รัฐบาลทำหน้าที่เป็นผู้ซื้อข้าวมาไว้เพียงผู้เดียว เมื่อรัฐบาลทำในลักษณะนี้ก็จะมีปัญหาตามมา คือ 1.จะนำข้าวไปขายที่ไหน ซึ่งเชื่อว่าหากนำไปขายจะขาดทุนแน่นอน และ2.การที่ขายในราคาต่ำ ข้าวที่มีจำนวนปริมาณมากก็จะทำให้ประเทศคู่ค้ามีการร้องเรียนได้ว่าจะขัดกับกลไกการค้าขององค์การการค้าโลก (WTO)"
***ธ.ก.ส.ยันยังไม่ถังแตก
นายโชคทวี อภิภัทรกุล รองผู้อำนวยการฝ่ายกิจการนโยบายรัฐ ธ.ก.ส. กล่าวถึงกรณีที่ขณะนี้มีกระแสข่าวว่า ธ.ก.ส. ขาดสภาพคล่องในการจ่ายเงินให้กับเกษตรกรในโครงการรับจำนำข้าวว่า ไมเป็นความจริง ธ.ก.ส. ได้ใช้เงินส่วนตัวของธนาคารจ่ายให้กับเกษตรไปก่อนล่วงหน้าเป็นเงินกว่า 9 หมื่นล้านบาท ขณะที่รัฐบาลก็จะต้องหาเงินมาให้กับธ.ก.ส. ในการดำเนินการรับจำนำข้าวรอบใหม่อีก 3 แสนล้านบาท
นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย ในฐานะรองประธาน กมธ. กล่าวว่า การประชุมกมธ. ในสัปดาห์หน้า จะเชิญกรมส่งเสริมการเกษตรมาชี้แจงเกี่ยวกับจำนวนเกษตรกรในโครงการรับจำนำข้าวมีเท่าไร รวมทั้งพื้นที่นาที่สามารถปลูกข้าวและรับจำนำได้มีเท่าไร
***"บุญทรง"โต้ขายข้าวไม่ขัดรัฐธรรมนูญ
นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึงกรณีที่กลุ่มส.ว. 68 คน เตรียมยื่นศาลรัฐธรรมนูญฟ้องร้องกรณีการขายข้าวจีทูจีขัดกฎหมายรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 ว่า การขายข้าวจีทูจี ไม่ถือว่าขัดกฏหมายรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 190 ที่ต้องขอความเห็นชอบจากรัฐสภาก่อน เพราะการข้าวจีทูจีเป็นเรื่องการปฏิบัติหน้าที่ตามปกติที่กระทรวงพาณิชย์รับผิดชอบ เหมือนกับเวลาที่กองทัพไทยสั่งซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์จากรัฐบาลต่างประเทศ ก็ไม่เข้ามาตรา 190 อีกทั้งก่อนหน้านี้ ได้เคยหารือกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาประเด็นดังกล่าวแล้ว ซึ่งทางกฤษฎีกาก็แจ้งมาว่าไม่เข้าข่ายมาตรากฎหมายดังกล่าว
นางวัชรี วิมุกตายน ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า การขายข้าวไม่จำเป็นต้องขอความเห็นชอบจากรัฐสภา เพราะการขายข้าวไม่ได้เป็นสัญญาผูกพันกับผลประโยชน์ของประเทศในระยะยาว ขณะเดียวกันการขายข้าวจีทูจีไม่ได้เป็นการสร้างความเสียหายแก่ประเทศด้วย เพราะแต่ละปีประเทศไทยปลูกข้าวได้มากและต้องการขายอยู่แล้ว ซึ่งการขายจีทูจีส่วนใหญ่ก็ได้ราคาดีและปริมาณมาก จึงถือว่าเป็นประโยชน์ซึ่งดีกว่าเก็บข้าวไว้แล้วขายไม่ได้ ที่สำคัญการขายระบบจีทูจีก็มีการขายต่อเนื่องมาหลายรัฐบาล ขณะที่รัฐบาลชุดที่แล้วก็มีการขายจีทูจีและไม่ต้องผ่านการพิจารณาของรัฐสภาแต่อย่างใด
**เชื่อกว่า 3 ล้านครัวเรือนเดือดร้อน
นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ส.ส.กทม.ในฐานะโฆษกคณะรัฐมนตรีเงา พรรคประชาธิปัตย์ แถลงถึงผลการประชุมครม.เงาว่า ที่ประชุมมีการหารือถึง โครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลยังมีงบประมาณรั่วไหลเป็นอย่างมาก ซึ่งหากนำมาเปรียบเทียบกับโครงการประกันรายได้ของรัฐบาลที่แล้ว พบว่าการประกันรายได้สามารถช่วยเหลือเกษตรกรได้ทั่วถึงมากกว่า ซึ่งจากการรวบรวมข้อมูลในขณะนี้พบว่าโครงการรับจำนำข้าวใช้งบประมาณไปแล้วกว่า 3.3 แสนล้านบาท แต่ชาวนาได้รับงบประมาณจริงเพียง7หมื่นล้านเท่านั้น ส่วนครอบครัวชาวนากว่า 4ล้านครอบครัว ก็ได้รับการช่วยเหลือเพียง 1 ล้านครอบครัวเท่านั้น ดังนั้น พรรคประชาธิปัตย์จึงเห็นว่าโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับนักการเมืองไม่ใช่ชาวนา
**แฉซ้ำอ้างชื่อจีทูจีขายข้าวให้เอกชน
นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ตนได้รับการยืนยันจากคนในวงการค้าข้าวส่งออกว่า ไม่มีการส่งออกข้าวไปยังต่างประเทศที่อ้างว่าได้ขายข้าวให้ต่าวประเทศแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ตามที่กระทรวงพาณิชย์และรัฐบาลระบุแต่อย่างใด แต่เป็นการอ้างว่าขายแบบจีทูจีลอยๆ หรือเป็นจีทูจีสีขาวที่รัฐบาลเปิดโอกาสให้บริษัทเอกชนที่มีความใกล้ชิดเอาข้าวออกจากคลังไปปรับปรุงเพื่อส่งขายต่ออีกทอด ซึ่งบริษัทดังกล่าวมีชื่อย่อ 3พยางค์ที่มีคนที่เคยเป็นข่าวเกี่ยวกับวงการค้าข้าวที่เกี่ยวพันกับการทุจริตมาก่อนหน้านี้
**ทีดีอาร์ไอไม่เชื่อจำนำทำราคาข้าวพุ่ง
นายวิโรจน์ ณ ระนอง ผู้อำนวยการวิจัยด้านเศรษฐศาสตร์สาธารณสุขและการเกษตร มูลนิธิสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวระหว่างการประชุมพิจารณาศึกษาผลกระทบจากนโยบายรับจำนำข้าว ในคณะกรรมาธิการพัฒนาเศรษฐกิจ สภาฯ ว่า ไม่เชื่อว่าโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลจะสามารถยกระดับราคาข้าวในตลาดโลกให้สูงขึ้นได้ เพราะราคาข้าวในประเทศอินเดีย และประเทศเวียดนามมีราคาต่ำกว่า การที่ประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกข้าวคุณภาพรายใหญ่และอ้างว่าการเก็บข้าวในสต๊อกจะทำให้ข้าวหายไปจากตลาดและจะส่งผลให้ราคาข้าวในตลาดโลกสูงขึ้นตามมานั้นยอมรับว่ามีความเป็นไปได้ แต่จะสูงขึ้นเพียงชั่วคราวเท่านั้น เพราะในที่สุด หากรัฐเก็บข้าวไว้มากจนต้องปล่อยออกมา ก็จะส่งผลให้ราคาตก
"สิ่งที่รัฐบาลควรทำ คือ เร่งระบายข้าวที่ค้างในสต๊อกอย่างเร็วที่สุด ผ่านการประมูลอย่างโปร่งใส เพื่อให้ได้ราคาข้าวตามตลาดโลก ซึ่งจะส่งผลให้รัฐบาลขาดทุนราว 1 แสนล้านบาท เนื่องจากต้นทุนรับซื้อข้าวของรัฐบาลอยู่ที่ 800 เหรียญต่อตัน แต่ขายออกไปในราคาตลาด 500 เหรียญต่อตัน"