วันนี้ถ้าไม่พูดเรื่องโครงการจำนำข้าวทุกเมล็ดโดยไม่จำกัดจำนวนและพื้นที่ของรัฐบาลก็ดูจะไม่เข้ากับยุคสมัย ทั้งๆ ที่อยากจะพูดต่อเนื่องถึงประเด็นหนี้สาธารณะที่คณะรัฐมนตรีเพิ่งอนุมัติกรอบการก่อหนี้ปี 2556 ไปเมื่อสัปดาห์ก่อน แต่ไม่เป็นไร เพราะปลายทางของโครงการที่กำลังจะพูดถึงนี้ก็จะมีส่วนช่วยเพิ่มหนี้สาธารณะด้วยไม่น้อยเลย
โครงการจำนำข้าวทุกเมล็ดในราคาสูงกว่าตลาดร้อยละ 50 โดยไม่จำกัดจำนวนและพื้นที่เป็นสุดยอดวิทยายุทธทางการเมืองของรัฐบาลชินวัตร เป็นสุดยอดเพลงกระบี่ของจอมยุทธที่จะได้ทั้งกล่องทั้งเงิน
“เพลงกระบี่ 3 ต.”
ไหนๆ ช่วงนี้กลับมาอ่านนิยายกำลังภายในอีกครั้งก็ขอขนานนามไว้อย่างนี้เสียเลย โดยประยุกต์มาจากข้อสรุปของคุณรัชชพล เหล่าวาณิชย์ที่โดนใจเหลือเกิน โดนใจพอๆ กับมุมมองของ ดร.นิพนธ์ พัวพงศกร ที่ว่าถ้าต้องการจะให้ชาวนาได้เงินเพิ่ม 5 หมื่นล้านบาทต้นๆ สู้เอาเงินใส่ฮ.ไปโปรยให้ถึงตัวยังจะดีกว่า เพราะเสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่า และไม่เกิดผลข้างเคียงมหาศาล และโดนใจพอๆ กับการ์ตูนของบัญชา/คามินที่แปลจีทูจีว่าเจ๊ทูเจ๊ ขออนุญาตทุกท่านนำไปใช้ในการอภิปรายทั่วไปตามรัฐธรรมนูญมาตรา 161 ในวุฒิสภาที่หากได้เปิดเมื่อไร จะขอหารือกับท่านส.ว.ผู้ริเริ่มญัตติอภิปรายสรุปเป็นคนท้าย ๆ
เพลงกระบี่ 3 ต.ย่อมาจาก 3 ต.ดังต่อไปนี้
ต. 1 – ตกเขียว (คะแนนเสียง)
ต. 2 – ตีเมืองขึ้น (โรงสี,พ่อค้าข้าวเปลือก)
ต. 3 – ใต้โต๊ะ (ส่วนต่างการส่งออกแบบหน้าคลัง)
ต. 1 และ 2 มีเป้าหมายทางการเมืองเป็นด้านหลัก คำว่าตกเขียวแต่เดิมก็ใช้ในการทำนานั่นแหละ เป็นเรื่องที่พ่อค้ามาซื้อข้าวไว้ก่อนตั้งแต่เริ่มต้นทำนา ชาวนาไม่มีเงินก็ขายไปก่อนในราคาต่ำ มาคราวนี้ก็เหมือนกันเพียงแต่ไม่ใช่เงินที่จะกำไรจากการตกเขียวข้าว แต่เป็นคะแนนเสียงที่ได้ทันทีตั้งแต่เริ่มประกาศนโยบาย บวกงานการตลาดและงานมวลชนที่ถนัดเข้าไปอีกหน่อยก็ได้เรื่อง ใครขวางใครพยายามล้มก็ถูกชี้หน้าเป็นพวกอำมาตย์พวกนายทุนที่ไม่ต้องการให้ชาวนาลืมตาอ้าปากไปทันทีอย่างที่เห็นๆ กัน
ต. 2 นี่ล้ำลึก เพราะโครงการนี้รัฐไม่ได้ทำเองทั้งหมด ต้องมีโรงสีเข้าร่วมโครงการ และโรงสีก็จะได้ผลประโยชน์มากขึ้น ซึ่งก็ไม่มีอะไรฟรีครับ เมื่อถึงคราวเลือกตั้งก็ต้องใช้คืนทั้งในรูปคะแนนเสียง เครือข่ายหัวคะแนน แม้กระทั่งเงินลงขันในรูปแบบต่างๆ
ทั้ง ต. 1 และโดยเฉพาะ ต. 2 จะทำให้พรรคชินวัตรขยายฐานคะแนนเสียงมาสู่ภาคกลางมากขึ้น ไม่ได้จำกัดตัวอยู่แต่เฉพาะภาคอีสานของตายอีกต่อไป
ส่วน ต. 3 นั้นเป็นเรื่องของผลประโยชน์ในขั้นตอนการส่งออก ไอ้ที่บอกว่าจีทูจีคือการขายแบบรัฐต่อรัฐจึงไม่มีนอกไม่มีในนั้นไม่จริงหรอก กูรูในวงการค้าข้าวทั้งที่เป็นพ่อค้าเป็นนักวิชาการและเป็นสื่อมวลชนสายเศรษฐกิจนั้นพอได้ยินคำคำหนึ่งออกจากปากรัฐมนตรีพาณิชย์และอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศแล้วเขาก็ร้องอ๋อทันที
“ขายหน้าคลัง”
หรือ...
“ขายหน้าโกดัง”
เพราะการขายแบบนี้ รัฐต่างประเทศที่ซื้อไปต้องอาศัยพ่อค้าส่งออกในประเทศไทยดำเนินการนำข้าวออกจากคลังสินค้าหรือโกดังของรัฐไปผ่านขั้นตอนต่างๆ ที่จำเป็นของการส่งออกข้าวตั้งแตกการจำแนกประเภทไปถึงการบรรจุหีบห่อก่อนจะขนลงเรือ ซึ่งล้วนแต่มีค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น ก่อให้เกิดส่วนต่างของราคา
ต.ที่ 3 คือ(เงิน)ใต้โต๊ะจะเกิดขึ้นตรงนี้อย่างเป็นล่ำเป็นสัน ถ้านักการเมืองจะได้ก็จะได้ตรงนี้ ยิ่งปิดลับสัญญาจีทูจีกันเท่าไรยิ่งได้เรื่องเท่านั้น
ไอ้ระบบขายหน้าคลังอย่างนี้ทำให้เชื่อได้ว่ามันไม่ใช่จีทูจีอย่างที่ควรจะเป็น แต่จะมีนายหน้าที่เป็นพ่อค้าข้าวส่งออกเครือข่ายรัฐบาลทุกยุคทุกสมัยบางรายแทรกเข้ามา กูรูเขาว่าระบบจำนำบ้าระห่ำที่ทำให้ข้าวล้นคลังสินค้ารัฐอย่างนี้ พ่อค้ารายเดียวไม่พอ ต้องเอี่ยวกันมาเป็นพันธมิตรนายหน้า ต.ที่ 3 จะไม่เพียงย่อมาจาก(เงิน)ใต้โต๊ะเท่านั้น แต่น่าจะเรียกได้ว่าตั้งโต๊ะ(จัดสรรเงิน) กันเลยทีเดียว
กูรูบางท่านบอกว่าถ้านักการเมืองจะได้รับการจัดสรรก็จะได้กันที่โต๊ะนี้ ในอัตราประมาณ 20 ดอลลาร์สหรัฐ/ตัน
ขายขาดทุนเท่าไรไม่กระทบส่วนแบ่งที่แต่ละฝ่ายได้จากโต๊ะนี้!
โครงการจำนำข้าวแต่เดิมเป็นของดี เริ่มต้นตั้งแต่ยุคพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์เป็นนายกรัฐมนตรี น่าจะประมาณฤดูการผลิตปี 2524/2525 มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือชาวนาให้ไม่ต้องขายข้าวในราคาต่ำช่วงฤดูเก็บเกี่ยวที่มีข้าวออกมาพร้อมๆ กันทำให้อุปทานล้น ตลาดเป็นของผู้ซื้อ แต่ชาวนาแม้รู้ว่าราคาต่ำแต่ไม่ขายก็ไม่ได้เพราะต้องการนำเงินไปใช้จ่ายและชำระหนี้สิน โครงการจำนำจึงเกิดขึ้นเพื่อให้ชาวนาได้เงินไปใช้จ่ายก่อนประการหนึ่ง และช่วยลดอุปทานในตลาดลงส่วนหนึ่ง เพื่อให้กลไกการตลาดทำงานช่วยยกระดับราคาให้สูงขึ้น ซึ่งเมื่อสูงได้ระดับแล้วชาวนาก็จะมาไถ่ถอนข้าวที่จำนำไว้ไปขายตามกระบวนการปรกติต่อไป หรือถ้าราคาไม่สูงพอที่จะจูงใจให้ชาวนามาไถ่ถอนคืนก็ไม่เป็นไร รัฐบาลรับภาระในการระบายข้าวออกเอง ซึ่งก็ไม่ลำบากอะไรนักเพราะราคาจำนำที่รัฐบาลตั้งไว้แต่ต้นเป็นเพียงร้อยละ 80 ของราคาตลาดเท่านั้น
แม้ตลอดระยะเวลา 30 ปีที่ผ่านมา จะมีการปรับราคารับจำนำให้สูงขึ้นจากร้อยละ 80 เป็น 90 เป็น 100 หรือขึ้นไปสูงถึง 110 แต่ก็ยังไม่เหมือนปัจจุบัน เพราะนอกจากราคาที่ไม่บ้าระห่ำสูงถึงประมาณร้อยละ 150 ของราคาตลาดแล้ว ยังคงรับจำนำเป็นเพียงบางส่วนเท่านั้น ไม่ใช่รับจำนำทุกเมล็ด
ทำไมต้องบ้าระห่ำคิดโครงการจำนำข้าวทุกเมล็ดในราคาสูงกว่าตลาดร้อยละ 50 ขนาดนี้?
ก็เพราะต้องการชนะการเลือกตั้งไง!
การเลือกตั้งปี 2554 เกิดขณะพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลอยู่แล้ว 2 ปีครึ่ง และดำเนินนโยบายประชานิยมเช่นกัน โดยในส่วนของผลิตผลทางการเกษตรก็ได้ให้กำเนินนโยบายประกันราคาผลิตผลการเกษตรขึ้นมา ถือเป็นนโยบายที่แม้เพิ่งเริ่มต้นแต่ก็โดนใจชาวนาไม่น้อย เพราะได้เงินง่ายๆ โดยรัฐบาลจะมีกลไกกำหนดราคาเป้าหมายในแต่ละช่วงเวลา ชาวนาขายข้าวได้เท่าไร ก็ไปเบิกส่วนต่างจาก ธกส.ได้ทันที เป็นหนึ่งในนโยบายที่พรรคประชาธิปัตย์คุยได้ว่าริเริ่มขึ้นมาเอง และถ้าอยู่นานต่อไป รวมทั้งขยับกลไกให้เข้าที่เข้าทาง โอกาสที่จะช่วงชิงฐานเสียงคนยากคนจนกลับมาก็พอมี
นอกจากนั้น นอมินีของพี่ใหญ่ทักษิณ ชินวัตรยังเป็นเพียงหญิงสาวที่เข้าสู่การเมืองไม่กี่สิบวัน จึงต้องใช้นโยบายประชานิยมบ้าระห่ำมาหาเสียงแบบไม่เกรงไม่กลัว ทำได้ไม่ได้อย่างไรขอเป็นรัฐบาลไว้ก่อน
จำนำข้าว 15,000 จึงเป็นชุดนโยบายไม้ตายเดียวกับค่าแรง 300 เงินเดือนปริญญาตรี 15,000
นโยบายนี้มันดีอย่างตรงที่ว่าหากขาดทุนก็บอกได้ว่าไม่สำคัญ เพราะมีวัตถุประสงค์ช่วยชาวนาเป็นหลัก พวกเราทุกคนในแผ่นดินก็รับผลการขาดทุนกันไปในรูปของหนี้สาธารณะที่จะต้องตั้งใช้จากงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่มาจากภาษีอากรทุกบาททุกสตางค์ของพวกเรา แถมยังเป็นความลับทางการค้าที่ต้องปกป้องประเทศผู้ซื้อ เมื่อเปิดเผยสัญญาจีทูจีไม่ได้ก็ตรวจสอบกันยาก
ชาวนาน่ะได้เงินเพิ่มแน่ แต่เป็นชาวนาจนหรือชาวนารวย และได้เพียง 5 – 7 หมื่นล้านต่อปีเท่านั้น
คนอื่นไม่ว่าโรงสี นายหน้าพ่อค้าส่งออก และอาจจะนักการเมืองทั้งระดับท้องถิ่นและระดับนายทุนเจ้าของพรรค ได้กันเท่าไรต่อปี รับรองได้ว่าไม่น้อยกว่าชาวนาหรอก เอา 5 – 7 หมื่นล้านบาทบวกกับต้นทุนค่าดำเนินการตามปกติมาหักออกจากต้นทุนต่อปี 3.5 แสนล้านบาทโดยประมาณ
เชื่อว่าเพลงกระบี่ 3 ต.นี้สุดท้ายจะพัฒนาไปเป็น ต.ที่ 4
ต.ตายกันทั้งประเทศ!!
โครงการจำนำข้าวทุกเมล็ดในราคาสูงกว่าตลาดร้อยละ 50 โดยไม่จำกัดจำนวนและพื้นที่เป็นสุดยอดวิทยายุทธทางการเมืองของรัฐบาลชินวัตร เป็นสุดยอดเพลงกระบี่ของจอมยุทธที่จะได้ทั้งกล่องทั้งเงิน
“เพลงกระบี่ 3 ต.”
ไหนๆ ช่วงนี้กลับมาอ่านนิยายกำลังภายในอีกครั้งก็ขอขนานนามไว้อย่างนี้เสียเลย โดยประยุกต์มาจากข้อสรุปของคุณรัชชพล เหล่าวาณิชย์ที่โดนใจเหลือเกิน โดนใจพอๆ กับมุมมองของ ดร.นิพนธ์ พัวพงศกร ที่ว่าถ้าต้องการจะให้ชาวนาได้เงินเพิ่ม 5 หมื่นล้านบาทต้นๆ สู้เอาเงินใส่ฮ.ไปโปรยให้ถึงตัวยังจะดีกว่า เพราะเสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่า และไม่เกิดผลข้างเคียงมหาศาล และโดนใจพอๆ กับการ์ตูนของบัญชา/คามินที่แปลจีทูจีว่าเจ๊ทูเจ๊ ขออนุญาตทุกท่านนำไปใช้ในการอภิปรายทั่วไปตามรัฐธรรมนูญมาตรา 161 ในวุฒิสภาที่หากได้เปิดเมื่อไร จะขอหารือกับท่านส.ว.ผู้ริเริ่มญัตติอภิปรายสรุปเป็นคนท้าย ๆ
เพลงกระบี่ 3 ต.ย่อมาจาก 3 ต.ดังต่อไปนี้
ต. 1 – ตกเขียว (คะแนนเสียง)
ต. 2 – ตีเมืองขึ้น (โรงสี,พ่อค้าข้าวเปลือก)
ต. 3 – ใต้โต๊ะ (ส่วนต่างการส่งออกแบบหน้าคลัง)
ต. 1 และ 2 มีเป้าหมายทางการเมืองเป็นด้านหลัก คำว่าตกเขียวแต่เดิมก็ใช้ในการทำนานั่นแหละ เป็นเรื่องที่พ่อค้ามาซื้อข้าวไว้ก่อนตั้งแต่เริ่มต้นทำนา ชาวนาไม่มีเงินก็ขายไปก่อนในราคาต่ำ มาคราวนี้ก็เหมือนกันเพียงแต่ไม่ใช่เงินที่จะกำไรจากการตกเขียวข้าว แต่เป็นคะแนนเสียงที่ได้ทันทีตั้งแต่เริ่มประกาศนโยบาย บวกงานการตลาดและงานมวลชนที่ถนัดเข้าไปอีกหน่อยก็ได้เรื่อง ใครขวางใครพยายามล้มก็ถูกชี้หน้าเป็นพวกอำมาตย์พวกนายทุนที่ไม่ต้องการให้ชาวนาลืมตาอ้าปากไปทันทีอย่างที่เห็นๆ กัน
ต. 2 นี่ล้ำลึก เพราะโครงการนี้รัฐไม่ได้ทำเองทั้งหมด ต้องมีโรงสีเข้าร่วมโครงการ และโรงสีก็จะได้ผลประโยชน์มากขึ้น ซึ่งก็ไม่มีอะไรฟรีครับ เมื่อถึงคราวเลือกตั้งก็ต้องใช้คืนทั้งในรูปคะแนนเสียง เครือข่ายหัวคะแนน แม้กระทั่งเงินลงขันในรูปแบบต่างๆ
ทั้ง ต. 1 และโดยเฉพาะ ต. 2 จะทำให้พรรคชินวัตรขยายฐานคะแนนเสียงมาสู่ภาคกลางมากขึ้น ไม่ได้จำกัดตัวอยู่แต่เฉพาะภาคอีสานของตายอีกต่อไป
ส่วน ต. 3 นั้นเป็นเรื่องของผลประโยชน์ในขั้นตอนการส่งออก ไอ้ที่บอกว่าจีทูจีคือการขายแบบรัฐต่อรัฐจึงไม่มีนอกไม่มีในนั้นไม่จริงหรอก กูรูในวงการค้าข้าวทั้งที่เป็นพ่อค้าเป็นนักวิชาการและเป็นสื่อมวลชนสายเศรษฐกิจนั้นพอได้ยินคำคำหนึ่งออกจากปากรัฐมนตรีพาณิชย์และอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศแล้วเขาก็ร้องอ๋อทันที
“ขายหน้าคลัง”
หรือ...
“ขายหน้าโกดัง”
เพราะการขายแบบนี้ รัฐต่างประเทศที่ซื้อไปต้องอาศัยพ่อค้าส่งออกในประเทศไทยดำเนินการนำข้าวออกจากคลังสินค้าหรือโกดังของรัฐไปผ่านขั้นตอนต่างๆ ที่จำเป็นของการส่งออกข้าวตั้งแตกการจำแนกประเภทไปถึงการบรรจุหีบห่อก่อนจะขนลงเรือ ซึ่งล้วนแต่มีค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น ก่อให้เกิดส่วนต่างของราคา
ต.ที่ 3 คือ(เงิน)ใต้โต๊ะจะเกิดขึ้นตรงนี้อย่างเป็นล่ำเป็นสัน ถ้านักการเมืองจะได้ก็จะได้ตรงนี้ ยิ่งปิดลับสัญญาจีทูจีกันเท่าไรยิ่งได้เรื่องเท่านั้น
ไอ้ระบบขายหน้าคลังอย่างนี้ทำให้เชื่อได้ว่ามันไม่ใช่จีทูจีอย่างที่ควรจะเป็น แต่จะมีนายหน้าที่เป็นพ่อค้าข้าวส่งออกเครือข่ายรัฐบาลทุกยุคทุกสมัยบางรายแทรกเข้ามา กูรูเขาว่าระบบจำนำบ้าระห่ำที่ทำให้ข้าวล้นคลังสินค้ารัฐอย่างนี้ พ่อค้ารายเดียวไม่พอ ต้องเอี่ยวกันมาเป็นพันธมิตรนายหน้า ต.ที่ 3 จะไม่เพียงย่อมาจาก(เงิน)ใต้โต๊ะเท่านั้น แต่น่าจะเรียกได้ว่าตั้งโต๊ะ(จัดสรรเงิน) กันเลยทีเดียว
กูรูบางท่านบอกว่าถ้านักการเมืองจะได้รับการจัดสรรก็จะได้กันที่โต๊ะนี้ ในอัตราประมาณ 20 ดอลลาร์สหรัฐ/ตัน
ขายขาดทุนเท่าไรไม่กระทบส่วนแบ่งที่แต่ละฝ่ายได้จากโต๊ะนี้!
โครงการจำนำข้าวแต่เดิมเป็นของดี เริ่มต้นตั้งแต่ยุคพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์เป็นนายกรัฐมนตรี น่าจะประมาณฤดูการผลิตปี 2524/2525 มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือชาวนาให้ไม่ต้องขายข้าวในราคาต่ำช่วงฤดูเก็บเกี่ยวที่มีข้าวออกมาพร้อมๆ กันทำให้อุปทานล้น ตลาดเป็นของผู้ซื้อ แต่ชาวนาแม้รู้ว่าราคาต่ำแต่ไม่ขายก็ไม่ได้เพราะต้องการนำเงินไปใช้จ่ายและชำระหนี้สิน โครงการจำนำจึงเกิดขึ้นเพื่อให้ชาวนาได้เงินไปใช้จ่ายก่อนประการหนึ่ง และช่วยลดอุปทานในตลาดลงส่วนหนึ่ง เพื่อให้กลไกการตลาดทำงานช่วยยกระดับราคาให้สูงขึ้น ซึ่งเมื่อสูงได้ระดับแล้วชาวนาก็จะมาไถ่ถอนข้าวที่จำนำไว้ไปขายตามกระบวนการปรกติต่อไป หรือถ้าราคาไม่สูงพอที่จะจูงใจให้ชาวนามาไถ่ถอนคืนก็ไม่เป็นไร รัฐบาลรับภาระในการระบายข้าวออกเอง ซึ่งก็ไม่ลำบากอะไรนักเพราะราคาจำนำที่รัฐบาลตั้งไว้แต่ต้นเป็นเพียงร้อยละ 80 ของราคาตลาดเท่านั้น
แม้ตลอดระยะเวลา 30 ปีที่ผ่านมา จะมีการปรับราคารับจำนำให้สูงขึ้นจากร้อยละ 80 เป็น 90 เป็น 100 หรือขึ้นไปสูงถึง 110 แต่ก็ยังไม่เหมือนปัจจุบัน เพราะนอกจากราคาที่ไม่บ้าระห่ำสูงถึงประมาณร้อยละ 150 ของราคาตลาดแล้ว ยังคงรับจำนำเป็นเพียงบางส่วนเท่านั้น ไม่ใช่รับจำนำทุกเมล็ด
ทำไมต้องบ้าระห่ำคิดโครงการจำนำข้าวทุกเมล็ดในราคาสูงกว่าตลาดร้อยละ 50 ขนาดนี้?
ก็เพราะต้องการชนะการเลือกตั้งไง!
การเลือกตั้งปี 2554 เกิดขณะพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลอยู่แล้ว 2 ปีครึ่ง และดำเนินนโยบายประชานิยมเช่นกัน โดยในส่วนของผลิตผลทางการเกษตรก็ได้ให้กำเนินนโยบายประกันราคาผลิตผลการเกษตรขึ้นมา ถือเป็นนโยบายที่แม้เพิ่งเริ่มต้นแต่ก็โดนใจชาวนาไม่น้อย เพราะได้เงินง่ายๆ โดยรัฐบาลจะมีกลไกกำหนดราคาเป้าหมายในแต่ละช่วงเวลา ชาวนาขายข้าวได้เท่าไร ก็ไปเบิกส่วนต่างจาก ธกส.ได้ทันที เป็นหนึ่งในนโยบายที่พรรคประชาธิปัตย์คุยได้ว่าริเริ่มขึ้นมาเอง และถ้าอยู่นานต่อไป รวมทั้งขยับกลไกให้เข้าที่เข้าทาง โอกาสที่จะช่วงชิงฐานเสียงคนยากคนจนกลับมาก็พอมี
นอกจากนั้น นอมินีของพี่ใหญ่ทักษิณ ชินวัตรยังเป็นเพียงหญิงสาวที่เข้าสู่การเมืองไม่กี่สิบวัน จึงต้องใช้นโยบายประชานิยมบ้าระห่ำมาหาเสียงแบบไม่เกรงไม่กลัว ทำได้ไม่ได้อย่างไรขอเป็นรัฐบาลไว้ก่อน
จำนำข้าว 15,000 จึงเป็นชุดนโยบายไม้ตายเดียวกับค่าแรง 300 เงินเดือนปริญญาตรี 15,000
นโยบายนี้มันดีอย่างตรงที่ว่าหากขาดทุนก็บอกได้ว่าไม่สำคัญ เพราะมีวัตถุประสงค์ช่วยชาวนาเป็นหลัก พวกเราทุกคนในแผ่นดินก็รับผลการขาดทุนกันไปในรูปของหนี้สาธารณะที่จะต้องตั้งใช้จากงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่มาจากภาษีอากรทุกบาททุกสตางค์ของพวกเรา แถมยังเป็นความลับทางการค้าที่ต้องปกป้องประเทศผู้ซื้อ เมื่อเปิดเผยสัญญาจีทูจีไม่ได้ก็ตรวจสอบกันยาก
ชาวนาน่ะได้เงินเพิ่มแน่ แต่เป็นชาวนาจนหรือชาวนารวย และได้เพียง 5 – 7 หมื่นล้านต่อปีเท่านั้น
คนอื่นไม่ว่าโรงสี นายหน้าพ่อค้าส่งออก และอาจจะนักการเมืองทั้งระดับท้องถิ่นและระดับนายทุนเจ้าของพรรค ได้กันเท่าไรต่อปี รับรองได้ว่าไม่น้อยกว่าชาวนาหรอก เอา 5 – 7 หมื่นล้านบาทบวกกับต้นทุนค่าดำเนินการตามปกติมาหักออกจากต้นทุนต่อปี 3.5 แสนล้านบาทโดยประมาณ
เชื่อว่าเพลงกระบี่ 3 ต.นี้สุดท้ายจะพัฒนาไปเป็น ต.ที่ 4
ต.ตายกันทั้งประเทศ!!