รมต.สำนักนายกฯ แจง กมธ.สอบโกงและธรรมาภิบาล วุฒิสภา ยันรัฐบาลวางยุทธศาสตร์ป้องกันทุจริต 6 แนวทาง พร้อมเร่งจัดการปราบโกง อ้อน ส.ว.ช่วยออกกฎหมาย ไม่รู้ฮ่องกงแฉเงินโผล่ ด้านรองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศแจงจำนำข้าว อ้างขายได้แล้ว 7 ล้านตัน แต่เปิดเผยไม่ได้ เหตุคู่สัญญาบางประเทศต่อต้านข้าวนอก โอ่คืน ธ.ก.ส.แล้ว 4 หมื่นล้าน ส่งข้าวล็อตแรกไปแล้ว
วันนี้ (11 ต.ค.) ที่รัฐสภา คณะกรรมาธิการ (กมธ.) การศึกษาตรวจสอบเรื่องการทุจริต และเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา ที่มี น.ส.สุมล สุตะวิริยะวัฒน์ ส.ว.เพชรบุรี เป็นประธานกรรมาธิการได้เชิญนายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพรศาล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เข้าร่วมประชุมเพื่อพิจารณาศึกษาเกี่ยวกับยุทธศาสตร์เกี่ยวกับการต่อต้านทุจริตและคอร์รัปชันและแผนของรัฐบาลในการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน
โดยนายนิวัฒน์ธำรงชี้แจงว่า รัฐบาลได้วางยุทธศาสตร์ป้องกันการทุจริตไว้ 6 แนวทาง เช่น การปลุกจิตสำนึกให้แก่ประชาชน การพัฒนาองค์กร การเฝ้าระวังการทุจริตในเชิงรุก และการปราบปราบการทุจริตอย่างจริงจัง และรัฐบาลได้กำหนดให้หน่วงงานต่างๆในระดับกรม และแต่ละจังหวัด ทั้งสิ้นรวม 220 หน่วงงาน จัดทำโครงการ 1 กรม 1 ป้องกันโครง เพื่อกระตุ้นให้ทุกหน่วยงานช่วยกันตรวจสอบโครงการต่างๆ ที่อาจนำไปสู่การส่อทุจริตได้
ขณะที่ทาง กมธ.ได้ตั้งข้อสงสัยว่ายุทธศาสตร์ของรัฐบาลมุ่งเน้นไปที่หน่วยงานของรัฐ โดยเฉพาะระดับกรม แต่ปัญหาการทุจริตหลายกรณีมักเชื่อมโยงถึงข้าราชการระดับสูง รวมถึงนักการเมือง เช่น โครงการรับจำนำข้าว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ก็ไม่เคยให้ความชัดเจนเรื่องตัวเลขการส่งออก และการที่ศาลรัฐธรรมนูญยกคำร้องของอาจารย์ นิด้าไป ก็ไม่ใช่เครื่องยืนยันว่าโครงการรับจำนำข้าวจะไม่มีการทุจริต นอกจากนี้ยังมีการตั้งข้อสังเกตอีกหลายประเด็น อาทิ ยุทธศาสตร์ที่นายนิวัฒน์ธำรงกล่าวมานั้นยังไม่เพียงพอที่จะเป็นการปราบการทุจริตที่เป็นปัญหาใหญ่ จึงควรให้น้ำหนักไปที่การปราบปรามมากกว่าการป้องกัน และที่ผ่านมามีการร้องเรียกเรื่องทุจริตเป็นจำนวนมาก หน่วยงานที่ดำเนินการในเรื่องนี้อาจไม่สามารถดำเนินการได้อย่างทั่วถึง ควรให้อำนาจหน่อยงานต่างๆ ในการตรวจสอบหน่อยงานของตนด้วย และระยะเวลาในการดำเนินการเกี่ยวกับการทุจริตใช้เวลานานเกินไป และควรเพิ่มมาตรการคุ้มครองพยานที่แจ้งเบาะแสการทุจริตอย่างเต็มที่ นอกจากนี้ยังมีการถามถึงการที่หน่วยงานด้านการปราบปรามการทุจริตของฮ่องกง เปิดเผยว่ามีการยึดเงินที่อาจเกี่ยวข้องกับการทุจริตที่โอนไปจากประเทศไทยกว่า 1.6 หมื่นล้านบาท ว่าเรื่องนี้ได้ดำเนินการถึงขั้นไหนแล้ว
โดยนายนิวัฒน์ธำรงกล่าวว่า ยุทธศาสตร์ที่ออกมาอาจจะยังไม่ครอบคลุม และปีนี้เป็นการดำเนินการในปีแรกก็จะต้องปรับปรุงเพิ่มเติมต่อไป พร้อมทั้งยอมรับว่าการดำเนินการเกี่ยวกับการทุจริตต้องใช้เวลานาน แต่พยายามจะทำให้เร็วขึ้น ซึ่งต้องอาศัยผู้ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย เช่น ส.ส.และ ส.ว.ช่วยกันออกกฎหมายให้การดำเนินการเป็นไปด้วยความรวดเร็ว และการดำเนินการในเกี่ยวกับการทุจริตจะต้องสอบสวนถึงผู้สั่งการได้อย่างแน่นอน ส่วนเรื่องเงินที่อาจเกี่ยวข้องกับการทุจริตที่ทางฮ่องกงเปิดเผยมานั้นตนไม่ทราบในรายละเอียดหน่วยงานไหนเป็นผู้รับผิดชอบแต่จะติดตามความคืบหน้าในเรื่องนี้ต่อไป
จากนั้น คณะกรรมาธิการฯ ได้เชิญนายสุรศักดิ์ เรียงเครือ รองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ มาชี้แจงในกรณีโครงการรับจำนำข้าวที่กำลังมีการวิพากษ์วิจารณ์อยู่ โดยประธานกรรมาธิการกล่าวว่า คณะกรรมาธิการต้องการทราบข้อมูลเกี่ยวกับการขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ในโครงการจำนำข้าว ซึ่งต้อการทราบจำนวนข้าวที่ขาย และข้อมูลคู่สัญญา ซึ่งเป็นหน้าที่ของกรมการค้างต่างประเทศต้องชี้แจงให้ประชาชนทราบเพื่อให้เกิดความโปร่งใส เพราะตนไม่เชื่อว่าการซื้อขายข้าวเป็นความลับตามที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
โดยนายสุรศักดิ์ชี้แจงว่า โครงการดังกล่าวเป็นความต้องการยกระดับราคาข้าวของกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งที่ผ่านมากระทรวงพาณิชย์ก็ได้เจรจาขาย และระบายข้าวไปในหลายประเทศ โดยมีประเทศจีน, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์, บังกลาเทศ และโกตดิวัวร์ ซึ่งก็เป็นลูกค้าที่เคยค้าขายกันมาก่อนแล้ว ส่วนสาเหตุที่ไม่มีการเปิดเผยข้อมูลเนื่องจากในประเทศคู่ค้าแต่ละประเทศก็จะมีกลุ่มต่อต้านเรื่องการซื้อข้าวจากต่างประเทศ เพราะบางประเทศมีนโยบายพึ่งตนเอง และจะทำให้กลุ่มเกษตรกรไม่พอใจ ซึ่งในประเทศที่มีการคัดค้านรุนแรงก็คือ อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ทั้งนี้ก็ขอยื่นยันตัวเลขการขายข้าวตามที่นายบุญทรงเคยยืนยันไว้ก่อนหน้านี้ประมาณ 7 ล้านตัน ในส่วนของการขายเพื่อเป็นการป้องกันปัญหาต่างๆ ก็จะมีการขายแบบหน้าโกดัง โดยผู้ซื้อมีภาระต้องดูแลเรื่องการซื้อขาย อย่างไรก็ตาม การขายในลักษณะดังกล่าวก็มีการใช้ในรัฐบาลที่ผ่านมาเช่นกันซึ่งก็พบว่าสามารถยกระดับราคาได้ตามที่ต้องการ
ซึ่งนายคำนูณ สิทธิสมาน รองประธานกรรมาธิการ ถามว่า ยืนยันคำตอบหรือไม่ว่าการขายแบบจีทูจีคือการขายหน้าโกดัง ซึ่งนายสุรศักดิ์กล่าวว่า ยืนยันตามที่นายบุญทรงให้สัมภาษณ์ แต่เมื่อถามย้ำว่ามีการเริ่มต้นการขายหน้าโกดังเมื่อใด และยืนยันหรือไม่ว่าจีทูจีคือการขายหน้าโกดัง นายสุรศักดิ์กล่าวว่า ไม่แน่ใจ ซึ่งในเรื่องรูปแบบการซื้อขายตนขอกลับไปทบทวนอีกที ส่วนกรณีที่นายบุญทรงระบุว่าขายข้าวไปแล้ว 7 ล้านตัน ขาดทุนหรือได้กำไรนั้น จะทราบเมื่อขายข้าวหมดแล้ว ซึ่งตอนนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการ จึงไม่แน่นอนว่าจะได้กำไรหรือขาดทุน แต่จุดมุ่งหมายคือการยกระดับราคาเรื่องกำไรขาดทุนจึงเป็นเรื่องรอง ตนไม่สามารถให้คำตอบได้ว่าจะได้กำไรหรือขาดทุน เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องลับจริงๆ เพราะอาจกระทบกับราคา และลูกค้า เป็นความมั่นคงทางเศรษฐกิจ เมื่อเสร็จโครงการแล้วน่าจะเปิดเผยได้ทุกอย่าง
ด้านนายไพบูลย์ นิติตะวัน กรรมาธิการ ถามว่า การที่อ้างว่าขายแบบจีทูจีเพื่อยกระดับราคานั้น แสดงว่าสามารถขายข้าวได้แพงกว่าการขายแบบเดิมใช่หรือไม่ โดยนายสุรศักดิ์ชี้แจงว่า จริงๆ แล้วการขายแบบจีทูจีมีจุดหมายที่การยกระดับราคา แต่การเก็บข้าวก็เป็นอีกส่วนหนึ่งเพื่อรอปล่อยในจังหวะที่เหมาะสม ซึ่งก็เป็นการยกระดับในระยะยาว ซึ่งนายไพบูลย์ถามย้ำอีกครั้ง ก็ได้คำตอบว่าจีทูจีเป็นเครื่องมือที่ทำให้ข้าวไทยมีราคาสูงขึ้นในตลาดโลก และในภาพรวมแล้วราคาข้าวไทยก็สูงกว่าข้าวต่างประเทศอยู่แล้ว ซึ่งประธานกรรมาธิการก็แย้งว่าแท้ที่จริงเคยหารือกับผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ก็พบว่าราคาข้าวไทยสูงกว่าต่างประเทศอยู่แล้ว ซึ่งก็เป็นมาโดยตลอด แต่การอ้างว่าเพื่อทำให้ข้าวมีราคาสูงจึงต้องเก็บเป็นความลับซึ่งฟังแล้วกลุ้ม หลังจากนั้นกรรมาธิการได้ถามว่าตกลงมีการทำสัญญาซื้อขาย หรือเอ็มโอยูกันแน่ ซึ่งก็ได้คำตอบว่าจริงๆ แล้วที่พูดก็ถูกทั้งหมดเพราะมีหลายรูปแบบการขาย ปกติก็เริ่มที่เอ็มโอยูก่อน อย่างไรก็ตาม ยืนยันตามที่นายบุญทรงแถลง ส่วนสัญญาณที่บอกว่าไม่มีการส่งออกนั้น ตนยืนยันว่ามีการส่งออกจริง และอยู่ในช่วงการส่งออก เมื่อกรรมาธิการถามว่าเงินที่ได้จากการขายข้าว 7 ล้านตันนั้นส่งคืนให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) แล้วเท่าไหร่ ซึ่งนายสุรศักดิ์ชี้แจงว่า หลังจากที่มีการทำสัญญาซื้อขายก็มีการทยอยส่งมอบเงินให้ ธ.ก.ส.เรื่อยๆ โดยมีการส่งคืนแล้วประมาณ 4 หมื่นล้านบาท ซึ่งเข้าใจว่าสิ้นปีนี้จะมีเงินส่งคืน ธ.ก.ส. รวมเป็นเงนประมาณ 8 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้ตนคาดว่าในช่วงที่เสร็จสิ้นโครงการน่าจะส่งเงินคือให้ ธ.ก.ส.ได้ 2 แสนล้านบาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่รองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศพยายามชี้แจงว่าไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลทั้งจำนวนซื้อขาย หรือประเทศคู่ค้าได้ กรรมาธิการหลายคนได้มีการยกสิทธิในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 ซึ่งนายสุรศักดิ์ก็ชี้แจงว่า ถ้าถึงเวลาที่เหมาะสมก็จะมีการเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะได้ ซึ่งกรรมาธิการก็พยายามคาดคั้นว่าหากไม่สามารถตอบในที่สาธารณะได้ก็ให้ทำเอกสารชี้แจงมายังคณะกรรมาธิการได้หรือไม่ ซึ่งก็ได้คำตอบว่า ตนเข้าใจว่าคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) คงจะมีอำนาจที่จะให้หรือไม่ให้ ซึ่งต้องผ่านคณะกรรมการ กขช.ก่อน อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมกรรมาธิการได้เห็นว่าจะให้เชิญอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศเข้าชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการพร้อมเอกสารอีกครั้ง