การปรับปรุงตัวหุ้นที่ใช้คำนวณดัชนี Nasdaq ของตลาดหุ้นประเทศสหรัฐอเมริกาในปี 1999 ทำให้ดัชนีมีค่าเบี่ยงเบนสูงขึ้น และส่งผลให้ดัชนีอ่อนแอลงมาก Hedge Funds ผู้ที่เข้าใจกลไกในตลาดหุ้นทุกซอกทุกมุม สวมรอยลากดัชนี Nasdaq สูงขึ้นอย่างรวด ช่วงระยะปีกว่า จากปลายปี 1998 ไปสูงสุดในต้นปี 2000 เพิ่มขึ้นมา 245 เปอร์เซ็นต์ แล้วก็ถล่มทุบทลายลงมาในช่วงอีกกว่า 2 ปีถัดมา ถึงปลายปี 2002 ดัชนีตกลงไป 78 เปอร์เซ็นต์ จากนั้นความเลวร้ายทางเศรษฐกิจก็ถล่มใส่ประเทศสหรัฐอเมริกา คนอเมริกัน และประเทศต่างๆ ทั่วโลกอย่างทารุณ ผู้เขียนเคยบอกว่า การพังทลายของตลาด Nasdaq ในปี 2000 คือการพ่ายแพ้สงครามโลกครั้งที่ 3 ของโลกทั้งโลก มันคือสงครามทางครามเศรษฐกิจอันเลวร้าย เป็นชัยชนะของ Hedge Funds ที่ได้ยึดครองเศรษฐกิจของโลกไว้ในกำมือเรียบร้อยแล้ว
ผู้เขียนได้นำเสนอเรื่องการเปลี่ยนแปลงอย่างผิดปกติของดัชนี Nasdaq มาบ่อยครั้ง ซึ่งผู้เขียนจะไม่ขอนำเสนอในนี้อีก ที่ลิงก์ข้างล่างนี้ ผู้เขียนรู้สึกว่าได้เรียบเรียงและนำเสนอเรื่องการเปลี่ยนแปลงของดัชนี Nasdaq ไว้อย่างเป็นระบบพอสมควร ผู้ที่สนใจสามารถเข้าไปศึกษาได้http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9550000118887
โดยได้สรุปว่า การพังทลายของตลาดหุ้น Nasdaq ในปี 2000 เป็นต้นเหตุให้ค่าเงินเหรียญสหรัฐเสียหาย เป็นธรรมดาอยู่เอง ไม่ว่าเงินสกุลใดเสียหาย นักลงทุนโลกก็จะไม่ถือสกุลเงินนั้น ทิ้งสกุลเงินนั้น วิธีการทิ้งสกุลเงินเหรียญสหรัฐที่เสียหาย ก็คือเอาเงินเหรียญสหรัฐไปแลกกับสกุลเงินอื่นๆ (ไปซื้อ) เช่น เอาไปซื้อ Euro Pound Yen Yuan ฯลฯ รวมทั้ง Baht ทำให้สกุลเงินดังกล่าวแข็งขึ้นทั่วหน้า
ไปซื้อหุ้นประเทศต่างๆ ทำให้ตลาดหุ้นประเทศต่างๆ สูงขึ้น หรือตลาดหุ้นทั่วโลกสูงขึ้น(G92 index) หุ้นโลกเริ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2001 ไปสูงสุดปลายปี 2007 แล้วพังทลายลงในปี 2008 ที่รู้จักกันในชื่อ Hamburger crisis ทำความเดือดร้อน ก่อให้เกิดเงินเฟ้อไปทั่วโลก และหุ้นโลกเริ่มมาฟื้นตัวในต้นปี 2009
เงินเหรียญสหรัฐเป็นสกุลเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีส่วนแบ่งของสกุลเงินของโลกมากที่สุด หรือเรียกได้ว่าเป็นสกุลเงินของโลกได้ สินค้าและบริการทั่วโลกจึงอ้างอิงราคาเป็นสกุลเงินเหรียญสหรัฐ
ค่าเงินเหรียญสหรัฐอ่อนลงหรือเสียหาย สังเกตได้จากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ สูงขึ้นกันทั่วหน้าในช่วงเดียวกันกับการสูงขึ้นของตลาดหุ้นโลก ไม่ว่าสินค้าเกษตร พวกโลหะ เงิน แพลทินัม ทองแดง ทองคำ รวมทั้งน้ำมัน ราคาสูงขึ้น เงินเฟ้อของประเทศสหรัฐอเมริกาสูงขึ้น
และหรือเป็นต้นเหตุอันเดียวกันที่ทำให้เงินเฟ้อทั่วโลกเพิ่มขึ้น
สองภาพนี้ แสดงให้เห็นถึงดัชนีตลาดหุ้นโลก (G92 index) และน้ำมัน (Brent) มีราคาสูงขึ้นหลังการพังทลายของตลาดหุ้นและค่าเงินเหรียญสหรัฐในปี 2000 และมีรูปแบบ (Patterns) การเปลี่ยนแปลง รวมการทั้งการพังทลายลงกรณี Hamburger crisis แบบเดียวกัน
การไม่ถือเงินเหรียญสหรัฐ หรือการทิ้งสกุลเงินสหรัฐ หลังการพังทลายของตลาดหุ้น Nasdaq ในปี 2000 ส่งผลให้สภาพคล่องของระบบในประเทศสหรัฐอเมริกาเสียหาย เป็นที่มาของการล้มลงของเอกชนทั้งประเทศ ทั้ง Subprime และเอกชนขนาดใหญ่
ตัวเลขการว่างงานปี 2009-2000 พุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการในรอบ 20 ปี สูงถึงระดับ 9-10 เปอร์เซ็นต์
หลังปี 2000 เพดานหนี้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ปี 2000 เพดานหนี้อยู่ที่ 5.95 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ สิ้นเดือนสิงหาคม 2012 อยู่ที่ 16.39 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 10.44 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 2.75 เท่า
เท่านั้นไม่พอ ยังมีการพิมพ์เงินออกมาใช้ด้วย (Quantitative Easing QE) ปี 2009 QE1 พิมพ์ออกมา 1.7 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ปี 2010 QE2 พิมพ์ออกมาอีก 0.6 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2012 ประธานธนาคารกลางสหรัฐ นายเบน เบอร์นันเก้แถลงว่าจะมีการพิมพ์เงินออกมาใช้อีก QE3 เดือนละ 40,000 ล้านเหรียญสหรัฐ จนกว่าอัตราการว่างงานและเศรษฐกิจของประเทศสหรัฐอเมริกาจะดีขึ้น
ตัวเลขต่างๆ เหล่านี้แสดงถึงความย่อยยับทางเศรษฐกิจของประเทศสหรัฐอเมริกา
คนอเมริกันออกมาชุมนุม เดินขบวนบนท้องถนน Occupy Wall Street แสดงให้เห็นถึงความเดือดร้อนของคนอเมริกัน
นี่คือการพ่ายแพ้ของประเทศสหรัฐอเมริกา
ก่อนการย่อยยับทางเศรษฐกิจของประเทศสหรัฐอเมริกา เคยมีเหตุการณ์แบบเดียวกันนี้เกิดขึ้นกับที่ประเทศไทยมาก่อน
เดือนตุลาคมปี 2536 มีการนำเครื่องมือ Force sell และ maintenance margin มาใช้ในตลาดหุ้น
Force Sell และ maintenance margin คือให้นักลงทุนกู้ยืมเงินมาซื้อขายหุ้นได้ โดยใช้ใบหุ้นเป็นหลักประกัน หากราคาหุ้นสูงขึ้น มูลค่าหุ้นสูงขึ้น ก็สามารถกู้เงินมาซื้อหุ้นเพิ่มได้ แต่เมื่อราคาหุ้นและมูลค่าหุ้นตกลง จะต้องหาหลักประกันมาเพิ่ม เรียกว่า Call margin แต่หากไม่สามารถหาหลักประกันมาเพิ่มได้ ก็จะถูกบังคับขายหุ้น Forced Sell
Hedge Fund ทราบกลไกของอันตรายที่จะเกิดขึ้นจากการนำเครื่องมือแบบนี้มาใช้ จึงมีการฉวยโอกาสลากดัชนีตลาดหุ้น SET index จากระดับ 1,000 จุด ขึ้นไปสูงสุดที่ต้นปี 2537(1994) ที่ระดับ 1,750 จุด ลากไปออกของ โดยใช้เวลาเพียง 3 เดือน จากนั้นก็ทุบถล่มให้พังทลายลงมา มีการบังคับขายหุ้นของนักลงทุนท้องถิ่นอย่างทารุณ ซ้ำเติมให้ตลาดหุ้นตกหนักลงไปอีก ดัชนีตลาดหุ้น SET index ตกไปต่ำสุดที่ 207 จุด ในช่วงปลายปี 2541(1998) หรือตกลงไป 88 เปอร์เซ็นต์
ค่าเงินบาทเสียหาย ด้วยความไม่รู้ว่าค่าเงินบาทเสียหาย ได้เข้าไปปกป้องค่าเงินบาท ใช้เงินไป 180,000 ล้านบาท แต่ก็พ่ายแพ้ต่อการปกป้องค่าเงินบาท ต้องลอยค่าเงินบาทเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 (1997) และประเทศไทยต้องเข้ารับความช่วยเหลือทางการเงินจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เป็นครั้งที่ 2 ประเทศไทยเคยเข้ารับความช่วยเหลือทางการเงินจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) มาแล้วครั้งหนึ่งหลังการพังทลายของตลาดหุ้นในปี 2521(1978)
ผู้คนเข้าใจผิด คิดว่าการเปิด BIBF เป็นต้นเหตุการเกิดวิกฤตเศรษฐกิจครั้งที่ 2 และคิดว่าวิกฤตเศรษฐกิจของประเทศไทยครั้งที่ 2 เกิดขึ้นในปี 2540 ความจริงแล้วไม่ใช่ ความจริงแล้ววิกฤตเศรษฐกิจ วิกฤตเศรษฐกิจครั้งที่ 2 เกิดขึ้นในปี 2536 ที่มีการนำระบบ Maintenance margin และ Force sell มาใช้ในตลาดหุ้น แล้วตลาดหุ้นถูกลากให้ไปสูงสุดในต้นปี 2537 แล้วก็ทุบให้ถล่มพังทลายลงมา
ปี 2540 ไม่ใช่ปีของการเกิดวิกฤต แต่ เป็นปีที่ประเทศไทยยกธงขาว พ่ายแพ้ต่ออวิชชาเป็นครั้งที่ 2 ของการเกิดมีตลาดหุ้นในประเทศไทยต่างหาก และอวิชชานี้ยังคงอยู่ในประเทศไทยจนถึงทุกวันนี้
เมื่อก่อน Internet ยังไม่เจริญ ยังไม่มี Social net work แบบทุกวันนี้ ผู้เขียนได้นำเสนอเป็นบทความในรูปแบบต่างๆ ส่งไปยังหนังสือพิมพ์สำนักต่างๆ ได้รับการตีพิมพ์บ้าง ไม่ได้รับการตีพิมพ์บ้าง วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2540 (ก่อนการลอยค่าเงินบาทและเข้าโครงการ IMF ในวันที่ 2 กรกฎาคม 2540) ได้นำเสนอเรื่อง “บังคับขายประเทศไทย” (เกี่ยวกับเรื่อง Maintenance Margin และ force sell) ต่อคณะกรรมการหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.)โดยตรง แต่ก็ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น แต่จะเห็นว่าหลังการลอยค่าเงินบาท เกิดเหตุการณ์เลวร้ายทางเศรษฐกิจกับประเทศไทยแบบเหลือเชื่อ ผู้บริหารระดับสูงของประเทศไทยเดินทางไปประเทศสิงคโปร์ นำใบหุ้นของเอกชนขนาดใหญ่ไปจำนองกับประเทศสิงคโปร์ เพื่อนำสภาพคล่องมาใช้ และทุกวันนี้ก็ไม่สามารถไถ่ถอนใบหุ้นดังกล่าวคืนได้ ก็คล้ายกับ เขาไม่ได้บังคับซื้อประเทศไทย แต่เราบังคับขายประเทศตัวเองให้สิงคโปร์มากกว่า
โชคร้ายเกิดขึ้นกับประเทศไทยต่อเนื่อง ต้นปี 2549 เอกชนนักการเมืองประเทศไทยยังเอา “ชินคอร์ป” ไปขายให้สิงคโปร์แบบราคาถูกๆ แบบได้เปล่า
ทำแต่เรื่องเกินความพอเพียง ทุกวันนี้มีแต่ชื่อเท่านั้นที่เป็นประเทศไทย แต่ไส้ในเป็นของสิงคโปร์ และทุกวันนี้ได้ทราบว่าประเทศอื่นๆ เขาไม่ได้ตื่นเต้นอะไรกับการเปิดเออีซี มีแต่ประเทศไทยที่ให้สื่อโฆษณากรอกหูคนไทยทั้งวันทั้งคืน คอยตามดูกัน เปิดอาเซียนเมื่อใดประเทศไทยจะตกเป็นของสิงคโปร์มากขึ้นไปอีก
Derivatives market ที่ตั้งขึ้นในปี 2548-2549 จะเป็นต้นเหตุให้ประเทศไทยเกิดวิกฤตเศรษฐกิจครั้งที่ 3 ที่รุนแรงกว่าวิกฤตเศรษฐกิจทั้งสองครั้งที่ผ่านมา
กลไกการเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ ตลาดหุ้นเสียหาย ทำให้ค่าเงินเสียหาย ทำให้สภาพคล่องของระบบประเทศเสียหาย ทำให้ระบบเศรษฐกิจล้มลง ทำให้คนตกงานมาก ทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้น ทำให้เกิดหนี้เสียสูง วิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นกับประเทศสหรัฐอเมริกาในปี 1999-2000 ก็เช่นกัน มีต้นเหตุจากเรื่องเดียวกันที่เคยเกิดขึ้นกับประเทศไทยมาก่อนแล้วในปี 2536-2537
วิกฤตเศรษฐกิจยุโรป เงินไหลออกจากประเทศสหรัฐอเมริกาในปี 2000 ไหลเข้ายุโรปด้วย ทำให้ตลาดหุ้นยุโรปสูงขึ้น แล้วก็พังทลายลงในปี 2008 (Hamburger crisis) เช่นเดียวกับตลาดหุ้นทั่วโลก ยืนยัน (Confirm) ตรงกับข้อมูล “ตลาดหุ้นเสียหาย ทำให้ค่าเงินเสียหาย ทำให้สภาพคล่องของระบบประเทศเสียหาย ทำให้ระบบเศรษฐกิจล้มลง ทำให้คนตกงานมาก ทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้น ทำให้เกิดหนี้เสียสูง” อีก เป็นวิกฤตเศรษฐกิจของยุโรป เป็นที่ฮือฮากันอยู่ทุกวันนี้ มีการเดินขบวน จลาจลกันในหลายประเทศ
เป็นการพ่ายแพ้อย่างแสนสาหัสของประชาคมเศรษฐกิจยุโรป
ระบบเศรษฐกิจของจีน ก็ได้รับผลพวงจากการไหลเข้าของเงินเหรียญสหรัฐในปี 2000 เช่นกัน เพียงแต่ว่าทางการจีนมีการผูกค่าเงินหยวนไว้กับเงินเหรียญสหรัฐ เงินเหรียญสหรัฐอ่อนตามความเป็นจริง แต่เงินหยวนของจีนจึงอ่อนผิดจริง ทำให้บรรดานักเก็งกำไรโลก Hedge Funds เข้ามาไล่เก็บเงินหยวนของจีนกันเหมือนแร้งลง Hedge Fund เข้ามาเก็บหยวนตั้งแต่ปี 2000-2001
กระทั่งกลางปี 2005 เงินหยวนพร่องไปจากธนาคารกลางจีน แต่มีเงินตราต่างประเทศเข้าไปอยู่ในธนาคารกลางของประเทศจีนแทน ทำให้ประเทศจีนกลายเป็นประเทศที่มีทุนสำรองเงินตราต่างประเทศสูงที่สุดในโลกทันที
ในที่สุด กลางปี 2005 ประเทศจีนไม่สามารถผูกค่าเงินหยวนกับเงินเหรียญสหรัฐได้อีกต่อไป ยอมลอยค่าเงินหยวน ทำให้เงินหยวนลอยขึ้น
เป็นการพ่ายแพ้ของประเทศจีนเรื่องแรกต่อ Hedge Funds ที่มาไล่ซื้อหยวนของจีน
ความจริง ตลาดหุ้นจีนควรจะเริ่มขึ้นในปี 2000-2001 เหมือนกับประเทศต่างๆทั่งโลก แต่ Hedge Funds ต้องไปไล่เก็บเงินหยวนก่อน กระทั่งได้รับชัยชนะในการซื้อเงินหยวนเมื่อกลางปี 2005 แล้วจึงเข้ามาไล่เก็บหุ้นในตลาดหุ้น สังเกตว่าตลาดหุ้นของจีนก็เริ่มสูงขึ้นเมื่อกลางปี 2005
ตลาดหุ้นจีนขึ้นไปสูงสุดช่วงปลายปี 2007 (แบบเดียวกับหุ้นทั่วโลก G92 index) ตลาดหุ้นจีนสูงขึ้นอย่างรวดเร็วมาก แล้วก็พังทลายลงพร้อมกับตลาดหุ้นทั่วโลกในปี 2008 นั่นเอง (Hamburger crisis)
พังทลายของตลาดหุ้นจีนในปี 2008 จึงเป็นการพ่ายแพ้ของประเทศจีนเป็นเรื่องที่ 2
ปี 2012 มีข่าวออกมาเป็นระยะระยะ ว่าประเทศจีนประสบปัญหาสภาพคล่อง นั่นแสดงว่าเศรษฐกิจประเทศจีนเริ่มมีปัญหาแล้วก็ได้
วุฒิสมาชิกประยูร เจนลาภวัฒนกุล ถามนอกการประชุมอนุกรรมการด้านการธนาคาร และสถาบันการเงินในตลาดเงินว่า “ทุกประเทศมีแต่หนี้ มีแต่ลูกหนี้ แล้วประเทศใดเป็นเจ้าหนี้” ผู้เขียนรู้แล้ว แต่ไม่ได้ตอบ เนื่องจากตอบไปก็คงทำความเข้าใจได้ยาก จะต้องอธิบายความเป็นมาของหนี้อย่างที่นำมาเสนอในบทความนี้ก่อน แล้วจึงค่อยตอบคำถาม ก็จะทำให้เกิดความเข้าใจได้ดีกว่า
ตลาดหุ้นคือสิ่งผิดปกติในโลกทุนนิยม มีความเป็นอภิมหาอบายมุขกองโตที่สุดในโลก ยิ่งมีการพัฒนาตลาดหุ้นมากขึ้นเท่าใด เช่นตลาดอนุพันธ์ (Derivatives) ที่เป็นการซื้อขายตัวเลขอ้างอิงต่างๆ ทำได้ทั้งด้านซื้อ (Long) และด้านขาย (Short) ใช้เงินประกันเพียง 10 บาท ก็ซื้อตัวเลขอ้างอิงได้ 100 บาท ไม่มีตัวสินค้าหรือผลิตภัณฑ์หรือผลิตผลจริงในธุรกรรม ซึ่งไม่ต่างอะไรกับการซื้อหวยบนดินหรือใต้ดิน ยิ่งเพิ่มความเป็นอบายมุขมากขึ้น
ผู้เขียนไม่ตำหนิ Hedge Funds แต่ผู้เขียนตำหนิการตั้งตลาดหุ้นให้ Hedge Fund มีเวทีเล่นมากกว่า เขาเป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องตลาดทุน ตลาดเงินตรา และตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ ที่แม้แต่ประธานธนาคารกลาง ผู้ว่าการธนาคารกลาง รวมทั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังทั่วโลกก็ตามไม่ทัน
ขณะที่ปี 2011 GDP โลกเพิ่ม 3.90 เปอร์เซ็นต์ แต่ทุนสำรองโลกเพิ่มในอัตราส่วนที่สูง ปี 2010 ทุนสำรองของโลกอยู่ที่ 9.74 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ปี 2011 ทุนสำรองของโลกอยู่ที่ 11.59 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ นั่นคือ เพิ่มขึ้น 19 เปอร์เซ็นต์
GDP โลกเคยติดลบ แต่อัตราส่วนของทุนสำรองโลกไม่เคยติดลบ หรือช่วงที่ GDP โลกติดลบ อัตราส่วนทุนสำรองโลกอาจจะสูงกว่าผิดปกติได้
เงินทุนสำรองที่อยู่ในธนาคารกลางของประเทศต่างๆ ส่วนใหญ่เป็นของบรรดา Hedge Fund ที่นำไปฝากไว้ ประเทศใดบริหารจัดการเศรษฐกิจไม่เข้าท่า วิสัยทัศน์เบี่ยงเบน อย่างที่เกิดขึ้นกับประเทศสหรัฐอเมริกา ทำให้เศรษฐกิจเสียหาย เขาก็ย้ายเงินทุนออก ทำให้สภาพคล่องเสียหาย กระทั่งต้องเพิ่มเพดานหนี้ และพิมพ์เงินออกมาใช้
พระพุทธเจ้าทรงเทศนา สอนว่า อบายมุขเป็นทางของความเสื่อม โลกกำลังเสื่อม โลกได้พ่ายแพ้ต่ออวิชชาแห่งตนอย่างแท้จริงในปี 2000
หนี้ เพดานหนี้ หนี้สาธารณะ เป็นของแทบทุกประเทศ มากน้อยต่างกัน แต่ความมั่งคั่งเป็นของบรรดา Hedge Fund แต่ฝ่ายเดียว
เงินท่วมธนาคารกลางโลก หรือเงินท่วมโลก แต่ในเวลาเดียวกันโลกทั้งโลกเต็มไปด้วยหนี้
เงินท่วมโลก แต่โลกยากจนลง
ผู้เขียนได้นำเสนอเรื่องการเปลี่ยนแปลงอย่างผิดปกติของดัชนี Nasdaq มาบ่อยครั้ง ซึ่งผู้เขียนจะไม่ขอนำเสนอในนี้อีก ที่ลิงก์ข้างล่างนี้ ผู้เขียนรู้สึกว่าได้เรียบเรียงและนำเสนอเรื่องการเปลี่ยนแปลงของดัชนี Nasdaq ไว้อย่างเป็นระบบพอสมควร ผู้ที่สนใจสามารถเข้าไปศึกษาได้http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9550000118887
โดยได้สรุปว่า การพังทลายของตลาดหุ้น Nasdaq ในปี 2000 เป็นต้นเหตุให้ค่าเงินเหรียญสหรัฐเสียหาย เป็นธรรมดาอยู่เอง ไม่ว่าเงินสกุลใดเสียหาย นักลงทุนโลกก็จะไม่ถือสกุลเงินนั้น ทิ้งสกุลเงินนั้น วิธีการทิ้งสกุลเงินเหรียญสหรัฐที่เสียหาย ก็คือเอาเงินเหรียญสหรัฐไปแลกกับสกุลเงินอื่นๆ (ไปซื้อ) เช่น เอาไปซื้อ Euro Pound Yen Yuan ฯลฯ รวมทั้ง Baht ทำให้สกุลเงินดังกล่าวแข็งขึ้นทั่วหน้า
ไปซื้อหุ้นประเทศต่างๆ ทำให้ตลาดหุ้นประเทศต่างๆ สูงขึ้น หรือตลาดหุ้นทั่วโลกสูงขึ้น(G92 index) หุ้นโลกเริ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2001 ไปสูงสุดปลายปี 2007 แล้วพังทลายลงในปี 2008 ที่รู้จักกันในชื่อ Hamburger crisis ทำความเดือดร้อน ก่อให้เกิดเงินเฟ้อไปทั่วโลก และหุ้นโลกเริ่มมาฟื้นตัวในต้นปี 2009
เงินเหรียญสหรัฐเป็นสกุลเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีส่วนแบ่งของสกุลเงินของโลกมากที่สุด หรือเรียกได้ว่าเป็นสกุลเงินของโลกได้ สินค้าและบริการทั่วโลกจึงอ้างอิงราคาเป็นสกุลเงินเหรียญสหรัฐ
ค่าเงินเหรียญสหรัฐอ่อนลงหรือเสียหาย สังเกตได้จากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ สูงขึ้นกันทั่วหน้าในช่วงเดียวกันกับการสูงขึ้นของตลาดหุ้นโลก ไม่ว่าสินค้าเกษตร พวกโลหะ เงิน แพลทินัม ทองแดง ทองคำ รวมทั้งน้ำมัน ราคาสูงขึ้น เงินเฟ้อของประเทศสหรัฐอเมริกาสูงขึ้น
และหรือเป็นต้นเหตุอันเดียวกันที่ทำให้เงินเฟ้อทั่วโลกเพิ่มขึ้น
สองภาพนี้ แสดงให้เห็นถึงดัชนีตลาดหุ้นโลก (G92 index) และน้ำมัน (Brent) มีราคาสูงขึ้นหลังการพังทลายของตลาดหุ้นและค่าเงินเหรียญสหรัฐในปี 2000 และมีรูปแบบ (Patterns) การเปลี่ยนแปลง รวมการทั้งการพังทลายลงกรณี Hamburger crisis แบบเดียวกัน
การไม่ถือเงินเหรียญสหรัฐ หรือการทิ้งสกุลเงินสหรัฐ หลังการพังทลายของตลาดหุ้น Nasdaq ในปี 2000 ส่งผลให้สภาพคล่องของระบบในประเทศสหรัฐอเมริกาเสียหาย เป็นที่มาของการล้มลงของเอกชนทั้งประเทศ ทั้ง Subprime และเอกชนขนาดใหญ่
ตัวเลขการว่างงานปี 2009-2000 พุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการในรอบ 20 ปี สูงถึงระดับ 9-10 เปอร์เซ็นต์
หลังปี 2000 เพดานหนี้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ปี 2000 เพดานหนี้อยู่ที่ 5.95 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ สิ้นเดือนสิงหาคม 2012 อยู่ที่ 16.39 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 10.44 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 2.75 เท่า
เท่านั้นไม่พอ ยังมีการพิมพ์เงินออกมาใช้ด้วย (Quantitative Easing QE) ปี 2009 QE1 พิมพ์ออกมา 1.7 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ปี 2010 QE2 พิมพ์ออกมาอีก 0.6 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2012 ประธานธนาคารกลางสหรัฐ นายเบน เบอร์นันเก้แถลงว่าจะมีการพิมพ์เงินออกมาใช้อีก QE3 เดือนละ 40,000 ล้านเหรียญสหรัฐ จนกว่าอัตราการว่างงานและเศรษฐกิจของประเทศสหรัฐอเมริกาจะดีขึ้น
ตัวเลขต่างๆ เหล่านี้แสดงถึงความย่อยยับทางเศรษฐกิจของประเทศสหรัฐอเมริกา
คนอเมริกันออกมาชุมนุม เดินขบวนบนท้องถนน Occupy Wall Street แสดงให้เห็นถึงความเดือดร้อนของคนอเมริกัน
นี่คือการพ่ายแพ้ของประเทศสหรัฐอเมริกา
ก่อนการย่อยยับทางเศรษฐกิจของประเทศสหรัฐอเมริกา เคยมีเหตุการณ์แบบเดียวกันนี้เกิดขึ้นกับที่ประเทศไทยมาก่อน
เดือนตุลาคมปี 2536 มีการนำเครื่องมือ Force sell และ maintenance margin มาใช้ในตลาดหุ้น
Force Sell และ maintenance margin คือให้นักลงทุนกู้ยืมเงินมาซื้อขายหุ้นได้ โดยใช้ใบหุ้นเป็นหลักประกัน หากราคาหุ้นสูงขึ้น มูลค่าหุ้นสูงขึ้น ก็สามารถกู้เงินมาซื้อหุ้นเพิ่มได้ แต่เมื่อราคาหุ้นและมูลค่าหุ้นตกลง จะต้องหาหลักประกันมาเพิ่ม เรียกว่า Call margin แต่หากไม่สามารถหาหลักประกันมาเพิ่มได้ ก็จะถูกบังคับขายหุ้น Forced Sell
Hedge Fund ทราบกลไกของอันตรายที่จะเกิดขึ้นจากการนำเครื่องมือแบบนี้มาใช้ จึงมีการฉวยโอกาสลากดัชนีตลาดหุ้น SET index จากระดับ 1,000 จุด ขึ้นไปสูงสุดที่ต้นปี 2537(1994) ที่ระดับ 1,750 จุด ลากไปออกของ โดยใช้เวลาเพียง 3 เดือน จากนั้นก็ทุบถล่มให้พังทลายลงมา มีการบังคับขายหุ้นของนักลงทุนท้องถิ่นอย่างทารุณ ซ้ำเติมให้ตลาดหุ้นตกหนักลงไปอีก ดัชนีตลาดหุ้น SET index ตกไปต่ำสุดที่ 207 จุด ในช่วงปลายปี 2541(1998) หรือตกลงไป 88 เปอร์เซ็นต์
ค่าเงินบาทเสียหาย ด้วยความไม่รู้ว่าค่าเงินบาทเสียหาย ได้เข้าไปปกป้องค่าเงินบาท ใช้เงินไป 180,000 ล้านบาท แต่ก็พ่ายแพ้ต่อการปกป้องค่าเงินบาท ต้องลอยค่าเงินบาทเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 (1997) และประเทศไทยต้องเข้ารับความช่วยเหลือทางการเงินจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เป็นครั้งที่ 2 ประเทศไทยเคยเข้ารับความช่วยเหลือทางการเงินจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) มาแล้วครั้งหนึ่งหลังการพังทลายของตลาดหุ้นในปี 2521(1978)
ผู้คนเข้าใจผิด คิดว่าการเปิด BIBF เป็นต้นเหตุการเกิดวิกฤตเศรษฐกิจครั้งที่ 2 และคิดว่าวิกฤตเศรษฐกิจของประเทศไทยครั้งที่ 2 เกิดขึ้นในปี 2540 ความจริงแล้วไม่ใช่ ความจริงแล้ววิกฤตเศรษฐกิจ วิกฤตเศรษฐกิจครั้งที่ 2 เกิดขึ้นในปี 2536 ที่มีการนำระบบ Maintenance margin และ Force sell มาใช้ในตลาดหุ้น แล้วตลาดหุ้นถูกลากให้ไปสูงสุดในต้นปี 2537 แล้วก็ทุบให้ถล่มพังทลายลงมา
ปี 2540 ไม่ใช่ปีของการเกิดวิกฤต แต่ เป็นปีที่ประเทศไทยยกธงขาว พ่ายแพ้ต่ออวิชชาเป็นครั้งที่ 2 ของการเกิดมีตลาดหุ้นในประเทศไทยต่างหาก และอวิชชานี้ยังคงอยู่ในประเทศไทยจนถึงทุกวันนี้
เมื่อก่อน Internet ยังไม่เจริญ ยังไม่มี Social net work แบบทุกวันนี้ ผู้เขียนได้นำเสนอเป็นบทความในรูปแบบต่างๆ ส่งไปยังหนังสือพิมพ์สำนักต่างๆ ได้รับการตีพิมพ์บ้าง ไม่ได้รับการตีพิมพ์บ้าง วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2540 (ก่อนการลอยค่าเงินบาทและเข้าโครงการ IMF ในวันที่ 2 กรกฎาคม 2540) ได้นำเสนอเรื่อง “บังคับขายประเทศไทย” (เกี่ยวกับเรื่อง Maintenance Margin และ force sell) ต่อคณะกรรมการหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.)โดยตรง แต่ก็ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น แต่จะเห็นว่าหลังการลอยค่าเงินบาท เกิดเหตุการณ์เลวร้ายทางเศรษฐกิจกับประเทศไทยแบบเหลือเชื่อ ผู้บริหารระดับสูงของประเทศไทยเดินทางไปประเทศสิงคโปร์ นำใบหุ้นของเอกชนขนาดใหญ่ไปจำนองกับประเทศสิงคโปร์ เพื่อนำสภาพคล่องมาใช้ และทุกวันนี้ก็ไม่สามารถไถ่ถอนใบหุ้นดังกล่าวคืนได้ ก็คล้ายกับ เขาไม่ได้บังคับซื้อประเทศไทย แต่เราบังคับขายประเทศตัวเองให้สิงคโปร์มากกว่า
โชคร้ายเกิดขึ้นกับประเทศไทยต่อเนื่อง ต้นปี 2549 เอกชนนักการเมืองประเทศไทยยังเอา “ชินคอร์ป” ไปขายให้สิงคโปร์แบบราคาถูกๆ แบบได้เปล่า
ทำแต่เรื่องเกินความพอเพียง ทุกวันนี้มีแต่ชื่อเท่านั้นที่เป็นประเทศไทย แต่ไส้ในเป็นของสิงคโปร์ และทุกวันนี้ได้ทราบว่าประเทศอื่นๆ เขาไม่ได้ตื่นเต้นอะไรกับการเปิดเออีซี มีแต่ประเทศไทยที่ให้สื่อโฆษณากรอกหูคนไทยทั้งวันทั้งคืน คอยตามดูกัน เปิดอาเซียนเมื่อใดประเทศไทยจะตกเป็นของสิงคโปร์มากขึ้นไปอีก
Derivatives market ที่ตั้งขึ้นในปี 2548-2549 จะเป็นต้นเหตุให้ประเทศไทยเกิดวิกฤตเศรษฐกิจครั้งที่ 3 ที่รุนแรงกว่าวิกฤตเศรษฐกิจทั้งสองครั้งที่ผ่านมา
กลไกการเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ ตลาดหุ้นเสียหาย ทำให้ค่าเงินเสียหาย ทำให้สภาพคล่องของระบบประเทศเสียหาย ทำให้ระบบเศรษฐกิจล้มลง ทำให้คนตกงานมาก ทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้น ทำให้เกิดหนี้เสียสูง วิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นกับประเทศสหรัฐอเมริกาในปี 1999-2000 ก็เช่นกัน มีต้นเหตุจากเรื่องเดียวกันที่เคยเกิดขึ้นกับประเทศไทยมาก่อนแล้วในปี 2536-2537
วิกฤตเศรษฐกิจยุโรป เงินไหลออกจากประเทศสหรัฐอเมริกาในปี 2000 ไหลเข้ายุโรปด้วย ทำให้ตลาดหุ้นยุโรปสูงขึ้น แล้วก็พังทลายลงในปี 2008 (Hamburger crisis) เช่นเดียวกับตลาดหุ้นทั่วโลก ยืนยัน (Confirm) ตรงกับข้อมูล “ตลาดหุ้นเสียหาย ทำให้ค่าเงินเสียหาย ทำให้สภาพคล่องของระบบประเทศเสียหาย ทำให้ระบบเศรษฐกิจล้มลง ทำให้คนตกงานมาก ทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้น ทำให้เกิดหนี้เสียสูง” อีก เป็นวิกฤตเศรษฐกิจของยุโรป เป็นที่ฮือฮากันอยู่ทุกวันนี้ มีการเดินขบวน จลาจลกันในหลายประเทศ
เป็นการพ่ายแพ้อย่างแสนสาหัสของประชาคมเศรษฐกิจยุโรป
ระบบเศรษฐกิจของจีน ก็ได้รับผลพวงจากการไหลเข้าของเงินเหรียญสหรัฐในปี 2000 เช่นกัน เพียงแต่ว่าทางการจีนมีการผูกค่าเงินหยวนไว้กับเงินเหรียญสหรัฐ เงินเหรียญสหรัฐอ่อนตามความเป็นจริง แต่เงินหยวนของจีนจึงอ่อนผิดจริง ทำให้บรรดานักเก็งกำไรโลก Hedge Funds เข้ามาไล่เก็บเงินหยวนของจีนกันเหมือนแร้งลง Hedge Fund เข้ามาเก็บหยวนตั้งแต่ปี 2000-2001
กระทั่งกลางปี 2005 เงินหยวนพร่องไปจากธนาคารกลางจีน แต่มีเงินตราต่างประเทศเข้าไปอยู่ในธนาคารกลางของประเทศจีนแทน ทำให้ประเทศจีนกลายเป็นประเทศที่มีทุนสำรองเงินตราต่างประเทศสูงที่สุดในโลกทันที
ในที่สุด กลางปี 2005 ประเทศจีนไม่สามารถผูกค่าเงินหยวนกับเงินเหรียญสหรัฐได้อีกต่อไป ยอมลอยค่าเงินหยวน ทำให้เงินหยวนลอยขึ้น
เป็นการพ่ายแพ้ของประเทศจีนเรื่องแรกต่อ Hedge Funds ที่มาไล่ซื้อหยวนของจีน
ความจริง ตลาดหุ้นจีนควรจะเริ่มขึ้นในปี 2000-2001 เหมือนกับประเทศต่างๆทั่งโลก แต่ Hedge Funds ต้องไปไล่เก็บเงินหยวนก่อน กระทั่งได้รับชัยชนะในการซื้อเงินหยวนเมื่อกลางปี 2005 แล้วจึงเข้ามาไล่เก็บหุ้นในตลาดหุ้น สังเกตว่าตลาดหุ้นของจีนก็เริ่มสูงขึ้นเมื่อกลางปี 2005
ตลาดหุ้นจีนขึ้นไปสูงสุดช่วงปลายปี 2007 (แบบเดียวกับหุ้นทั่วโลก G92 index) ตลาดหุ้นจีนสูงขึ้นอย่างรวดเร็วมาก แล้วก็พังทลายลงพร้อมกับตลาดหุ้นทั่วโลกในปี 2008 นั่นเอง (Hamburger crisis)
พังทลายของตลาดหุ้นจีนในปี 2008 จึงเป็นการพ่ายแพ้ของประเทศจีนเป็นเรื่องที่ 2
ปี 2012 มีข่าวออกมาเป็นระยะระยะ ว่าประเทศจีนประสบปัญหาสภาพคล่อง นั่นแสดงว่าเศรษฐกิจประเทศจีนเริ่มมีปัญหาแล้วก็ได้
วุฒิสมาชิกประยูร เจนลาภวัฒนกุล ถามนอกการประชุมอนุกรรมการด้านการธนาคาร และสถาบันการเงินในตลาดเงินว่า “ทุกประเทศมีแต่หนี้ มีแต่ลูกหนี้ แล้วประเทศใดเป็นเจ้าหนี้” ผู้เขียนรู้แล้ว แต่ไม่ได้ตอบ เนื่องจากตอบไปก็คงทำความเข้าใจได้ยาก จะต้องอธิบายความเป็นมาของหนี้อย่างที่นำมาเสนอในบทความนี้ก่อน แล้วจึงค่อยตอบคำถาม ก็จะทำให้เกิดความเข้าใจได้ดีกว่า
ตลาดหุ้นคือสิ่งผิดปกติในโลกทุนนิยม มีความเป็นอภิมหาอบายมุขกองโตที่สุดในโลก ยิ่งมีการพัฒนาตลาดหุ้นมากขึ้นเท่าใด เช่นตลาดอนุพันธ์ (Derivatives) ที่เป็นการซื้อขายตัวเลขอ้างอิงต่างๆ ทำได้ทั้งด้านซื้อ (Long) และด้านขาย (Short) ใช้เงินประกันเพียง 10 บาท ก็ซื้อตัวเลขอ้างอิงได้ 100 บาท ไม่มีตัวสินค้าหรือผลิตภัณฑ์หรือผลิตผลจริงในธุรกรรม ซึ่งไม่ต่างอะไรกับการซื้อหวยบนดินหรือใต้ดิน ยิ่งเพิ่มความเป็นอบายมุขมากขึ้น
ผู้เขียนไม่ตำหนิ Hedge Funds แต่ผู้เขียนตำหนิการตั้งตลาดหุ้นให้ Hedge Fund มีเวทีเล่นมากกว่า เขาเป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องตลาดทุน ตลาดเงินตรา และตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ ที่แม้แต่ประธานธนาคารกลาง ผู้ว่าการธนาคารกลาง รวมทั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังทั่วโลกก็ตามไม่ทัน
ขณะที่ปี 2011 GDP โลกเพิ่ม 3.90 เปอร์เซ็นต์ แต่ทุนสำรองโลกเพิ่มในอัตราส่วนที่สูง ปี 2010 ทุนสำรองของโลกอยู่ที่ 9.74 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ปี 2011 ทุนสำรองของโลกอยู่ที่ 11.59 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ นั่นคือ เพิ่มขึ้น 19 เปอร์เซ็นต์
GDP โลกเคยติดลบ แต่อัตราส่วนของทุนสำรองโลกไม่เคยติดลบ หรือช่วงที่ GDP โลกติดลบ อัตราส่วนทุนสำรองโลกอาจจะสูงกว่าผิดปกติได้
เงินทุนสำรองที่อยู่ในธนาคารกลางของประเทศต่างๆ ส่วนใหญ่เป็นของบรรดา Hedge Fund ที่นำไปฝากไว้ ประเทศใดบริหารจัดการเศรษฐกิจไม่เข้าท่า วิสัยทัศน์เบี่ยงเบน อย่างที่เกิดขึ้นกับประเทศสหรัฐอเมริกา ทำให้เศรษฐกิจเสียหาย เขาก็ย้ายเงินทุนออก ทำให้สภาพคล่องเสียหาย กระทั่งต้องเพิ่มเพดานหนี้ และพิมพ์เงินออกมาใช้
พระพุทธเจ้าทรงเทศนา สอนว่า อบายมุขเป็นทางของความเสื่อม โลกกำลังเสื่อม โลกได้พ่ายแพ้ต่ออวิชชาแห่งตนอย่างแท้จริงในปี 2000
หนี้ เพดานหนี้ หนี้สาธารณะ เป็นของแทบทุกประเทศ มากน้อยต่างกัน แต่ความมั่งคั่งเป็นของบรรดา Hedge Fund แต่ฝ่ายเดียว
เงินท่วมธนาคารกลางโลก หรือเงินท่วมโลก แต่ในเวลาเดียวกันโลกทั้งโลกเต็มไปด้วยหนี้
เงินท่วมโลก แต่โลกยากจนลง