xs
xsm
sm
md
lg

“ชัจจ์”ตกใจ!เพิ่งรู้ แดงซุกปืนทบ. 68 กระบอก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

วานนี้(8 ต.ค.55) เมื่อเวลา 10.00 น. ที่รัฐสภา มีการประชุมคณะอนุกรรมาธิการการพัฒนาการเมืองและการสื่อสารมวลชน สภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายวัชระ เพชรทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ เป็นประธาน โดยมีการพิจารณาเรื่องศึกษาเพื่อหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับชายชุดดำ จากกรณีเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมือง ช่วงเดือนเม.ย.2553 โดยเชิญ พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพ พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม (ผู้อยู่ในเหตุการณ์) เข้าร่วมชี้แจง
ซึ่ง พ.อ.สรรเสริญ กล่าวว่าเหตุการณ์เดือน เม.ย. 2553 ที่ต้องมีการใช้รถเกราะเนื่องจากต้องเพื่อเป็นการป้องกันความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ จากผู้ที่ใช้อาวุธสงครามที่ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ ซึ่งในเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นการใช้กระสุนซ้อมเพื่อควบคุมสถานการณ์ ส่วนกระสุนจริงก็จะมีการใช้ยิงขึ้นฟ้าหรือยิงใส่ผู้ที่ถืออาวุธและเล็งมายังเจ้าหน้าที่ สำหรับศพในวัดปทุมวารามราชวรวิหาร ยังมีความคลุมเครือว่าการเสียชีวิตเป็นการกระทำของใคร อย่าเหมารวมว่าเป็นเจ้าหน้าที่
ขณะที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ย้ำว่าไม่มีชายชุดดำนั้น จากข้อเท็จจริงก็มีการจับกุมและแจ้งข้อหาชายชุดดำรวมทั้งมีชื่อของแต่ละคน โดยเป็นคนที่เคยฝึกการใช้อาวุธกับ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล (เสธ.แดง) อดีตผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก ที่สนามหลวง ซึ่งในภาพรวมการชุมนุมมีชายชุดดำอยู่จริง แต่สามารถสันนิษฐานได้ 2 แนวทาง คือ
1. แกนนำไม่รู้ว่ามีชายชุดดำ ปะปนอยู่กับผู้ชุมนุม แสดงให้เห็นว่าการประเมินสถานการณ์ต่ำมาก ไม่ได้เรื่อง ไม่สามารถวิเคราะห์ได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับผู้ชุมนุม และ 2. แกนนำรู้ แต่ก็ขยิบตาทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น
สำหรับอาวุธปืนที่ถูกคนเสื้อแดงยึดเมื่อวันที่ 10 เม.ย.2553 ที่มีการนำไปโชว์บนเวทีการชุมนุมสะพานผ่านฟ้าลีลาศนั้น ขณะนี้ได้คืนเพียงปืนเอ็ม 16 จำนวน 1 กระบอก โดยเป็นปืนที่ค้นพบในวัดปทุมวนารามฯ และการที่ พล.ต.ท.ชัจจ์ ระบุว่ามีการมอบให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจหมดแล้วนั้น ก็ไม่ทราบว่าอยู่ที่ตำรวจคนใด ใครเอาไปก็ขอให้เอามาคืนด้วย เพราะแต่ละกระบอกจะมีเลขประจำอยู่ทั้งหมด โดยอาวุธปืนที่ยังไม่มีการคืน ได้แก่ ปืนทราโว้ 25 กระบอก ปืนเอ็ม 16 จำนวน 4 กระบอก ปืนลูกซอง 39 กระบอก และกระสุนปืนกับซองกระสุนอีกจำนวนมาก
ด้าน พล.ต.ท.ชัจจ์ กล่าวว่าเรื่องอาวุธปืนดังกล่าว ตนเห็นว่าได้มีการนำอาวุธสงครามที่ผู้ชุมนุมยึดได้และนำมาโชว์บนเวทีดังกล่าว มอบให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจไปหมดแล้ว แต่ก็เพิ่งทราบในวันนี้ว่ายังไม่มีคืนให้กับทหาร ซึ่งรู้สึกตกใจและยืนยันว่าจะช่วยทำเรื่องนี้จะช่วยสืบให้ว่าปืนทั้งหมดอยู่ที่ใครบ้าง ส่วนเรื่องชายชุดดำนั้นตนไม่ทราบว่ามีชายชุดดำอยู่ในการชุมนุมจริงๆ ทั้งนี้ไม่มีประเทศใดในโลกที่ใช้ทหารนำอาวุธหนัก รถเกราะสายพานลำเลียง เข้ามาสลายการชุมนุม ซึ่งต่างประเทศจะใช้ตำรวจควบคุมการชุมนุมแทน
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ในรายการฟ้าวันใหม่ ทาง Blue Sky Channel ถึงการเดินหน้าจัดเวที"ผ่าความจริง หยุดกฎหมายล้างผิดคนโกง"ว่า ในวันที่ 13 ต.ค. พรรคจะจัดเวทีปราศรัยและแสดงนิทรรศการให้ข้อมูลเกี่ยวกับชายชุดดำ และคนที่อยู่เบื้องหลัง ที่สวนลุมพินี ซึ่งจะถือเป็นภาคพิเศษ ที่รวบรวมข้อมูลชายชุดดำ เพื่อให้เห็นว่าความจริงที่เกิดขึ้นเป็นอย่างไร ทั้งนี้ตนได้เขียนหนังสือเรื่อง "ความจริงไม่มีสี" เพราะเห็นว่าหลังจากเกิดเหตุการณ์ในบ้านเมืองหลายปีที่ผ่านมา มีความพยายามที่จะเขียนประวัติศาสตร์กันใหม่ มีการพูดเสมือนว่า ถ้าเกิดอยู่สีนี้ก็เชื่อว่าสิ่งนี้เกิดขึ้น ถ้าอยู่สีนั้นก็ต้องเชื่อว่าอย่างนั้นเกิดขึ้น แต่เรื่องของความจริงจะมีอยู่ชุดเดียว แม้ว่าจะพยายามมองต่างมุมกันก็ตาม ความจริงไม่เลือกข้าง ไม่เลือกสี ตนจึงอยากถ่ายทอดจากสิ่งที่ตนประสบด้วยตัวเองว่า ในแต่ละเหตุการณ์นั้นตนอยู่ตรงไหน เกิดอะไรขึ้น มีใครมารายงานว่าอย่างไร เพื่อที่จะให้เห็นว่าอะไรมันปะติดปะต่อกันอย่างไร แต่ที่สำคัญคือ ความจริงนั้นถ้าเกิดเราไปมองดูแต่ละจุด แต่ละเหตุการณ์ เราอาจจะไม่ได้เห็นภาพรวมว่า จริงๆแล้วอะไรมันเกิดขึ้นในประเทศไทย มีความพยายามอย่างไรที่จะให้ประเทศไทยต้องประสบปัญหา
"นี่จะเป็นอีกจุดหนึ่งที่หวังว่าพอได้มองเหตุการณ์ในภาพรวมทั้ง 2 ปีแล้ว มันจะเห็นชัด แล้วก็จะเห็นว่าในหลายเหตุการณ์ ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นก็ไปในลักษณะเดียวกันซ้ำๆ เช่นทำไมการเจรจามันต้องล้มเหลวทุกครั้ง ทำไมในที่สุดแล้วจะมีเหตุการณ์ความรุนแรงเกิดขึ้นแล้ว แต่ว่ายังมีความพยายามที่จะเดินหน้าทำหลายสิ่งหลายอย่าง ทั้งๆที่รู้ว่าจะสุ่มเสี่ยงต่อการเกิดความสูญเสียมากขึ้น" นายอภิสิทธิ์ กล่าว
ที่รัฐสภา ในการประชุมวุฒิสภา ที่มีนายนิคม ไวยรัชพานิช ประธานวุฒิสภา เป็นประธานการประชุม ก่อนเข้าสู่วาระได้เปิดโอกาสให้สมาชิกหารือ โดยนายสมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหา กล่าวว่า ขอหารือผ่านไปยังนายกรัฐมนตรีและรมว.ยุติธรรม ในเรื่องเจตนารมณ์การก่อตั้งกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ในปีพ.ศ.2545 ซึ่งได้ระบุว่า สถานการณ์ของโลกเปลี่ยนแปลงไป จนกระทบต่อสังคม เศรษฐกิจ รวมทั้งก่อให้เกิดอาชญากรรมที่ได้ใช้เทคโนโลยีและอิทธิพลเครือข่ายภายในและภายนอกประเทศ ทำให้ยากต่อกระบวนการสืบสวนสอบสวนคดีตามปกติ จากสาเหตุนี้จึงตั้งองค์กรดังกล่าวขึ้น แต่ขณะนี้ดีเอสไอกลับปฏิบัติงานไม่ตรงตามเจตนารมณ์ ทำหน้าที่สอดรับกับนโยบายการเมืองของรัฐบาล และทำหน้าที่จับฉ่ายเลอะเทอะ ดังนั้นจึงขอให้คณะกรรมการพิเศษที่จัดตั้งองค์กรดังกล่าวได้หันมาทบทวนเรื่องนี้
นายสมชาย กล่าวต่อว่า ตนได้ศึกษาพ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 ในมาตรา 21 ซึ่งระบุว่าคดีที่ดีเอสไอจะรับไว้ตรวจสอบได้นั้น จะต้องเป็นคดีที่มีความซับซ้อน และรวบรวมหลักฐานเป็นพิเศษ เช่น ความผิดเกี่ยวกับพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ การประกอบธุรกิจแรงงานต่างด้าว การค้ามนุษย์ เป็นต้น แต่ในข้อเท็จจริงไม่เห็นว่าดีเอสไอจะรับเรื่องราวที่เกี่ยวข้อง เพราะขณะนี้ก็เห็นรับแต่คดีของ นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตส.ว.สรรหา ที่ไปร้องให้ตรวจสอบการพิจารณากฎหมายขององค์กรนิติบัญญัติที่ไม่ครบองค์ประชุม หรือเป็นเรื่องที่นายเรืองไกร ร้องให้ตรวจสอบ 2 พรรคการเมือง คือพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคภูมิใจไทย ในกรณีรับเงินบริจาค หรือตรวจสอบนายชัช ชลวร ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญว่าได้รับการโปรดเกล้าฯหรือไม่ หรือแม้แต่การตรวจสอบจีที 200 การลอกท่อระบายน้ำ เรื่องน้ำท่วม ทั้งนี้ จึงขอเรียกร้องให้ดีเอสไอกลับมาพิจารณาคดีที่พิเศษจริงๆ เช่น ชายชุดดำที่ถูกจับได้ และรับสารภาพจำคุกอยู่ที่เรือนจำพิเศษบางเขน อีกทั้งผู้ต้องหาที่สารภาพว่ายิงเอ็ม 79 และปาระเบิดใส่พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม อดีตรองเสธ.พล.ร.2 รอ.ค่ายจักรพงษ์
กำลังโหลดความคิดเห็น