ในระยะนี้มักได้ยินคนพูดถึงคำว่า “จริยธรรม” กันบ่อยๆ แม้แต่คนอย่างทักษิณ ชินวัตร ยังออกมาพูดถึงเรื่องคนขาดจริยธรรม และเรื่องนิติรัฐทำให้บ้านเมืองวุ่นวาย เล่นเอาผู้คนเอ๋อไปตามๆ กันว่าแกพูดถึงใคร
แทบไม่เชื่อหูตัวเองหลังจากได้ยินน้องเนวินพูดถึงการวางมือทางการเมืองในงานวันเกิดของตัวเอง “เพื่อปรับเปลี่ยนจากคนรุ่นหนึ่งสู่อีกรุ่นหนึ่ง เพื่อทำให้มิติทางการเมืองของประชาชนดีขึ้น มีแต่คนพูดว่าปรองดอง แต่ไม่มีอะไรเป็นรูปธรรม” เนวินพูดว่า “นักการเมืองปัจจุบันคือตัวปัญหา ต้องยอมรับว่าเราคือฟืนดุ้นหนึ่ง การที่ตัวเองถอยออกมาคือการช่วยเอาฟืนออกจากกองไฟ” คำพูดหล่อๆ ของเนวินคราวนี้ ไม่รู้ว่าถ้าพ่อชัยได้ยินแล้ว จะผิดหวังแค่ไหน กับความฝันที่จะเห็นลูกชายสุดเลิฟในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
บรรหาร เสนาะ สนั่น ชวลิต ไม่คิดอะไรบ้างเลยหรือ กับคำพูดของนักการเมืองรุ่นลูกที่ดูเหมือนจะมองการเมืองออกว่ามันไปไม่รอดแล้ว
น้องเนวินครับ พี่ภูมิใจในเลือดสวนกุหลาบที่ทำให้น้องรู้จักแพ้-ชนะ และคิดที่จะให้คนรุ่นใหม่เข้ามาเปลี่ยนแปลงบ้านเมือง ถ้าสิ่งที่น้องพูดนั้นออกมาจากใจจริง
อย่าให้เหมือนเมื่อครั้งที่เสนาะ เทียนทอง มาขึ้นเวทีพันธมิตรฯ ที่ท้องสนามหลวง เปิดโปงทักษิณ ทั้งเบื้องหน้าเบื้องหลังและความเลวต่างๆ นานา จนพี่สมเกียรติ (พล.ต.ท.สมเกียรติ พ่วงทรัพย์) ถึงกับเอ่ยปากว่า คำพูดของคุณเสนาะวันนั้นจับใจมาก จนให้อภัยหมดใจเลยกับสิ่งเก่าๆ ที่คุณเสนาะเคยทำ
แล้วมาวันนี้คนชื่อเสนาะ เทียนทอง คลานกลับไปอยู่กับทักษิณ กลับไปยกย่องชมเชยคนที่ตัวเองเคยด่า กระชากหน้ากาก แฉความจริงกันกลางท้องสนามหลวง ไม่มีใครจะรับรองใครได้เลยในเรื่องของจริยธรรมและสำนึกที่มีต่อบ้านเมือง ที่หยั่งยากคือใจคน
เนวินจมูกไว วิเคราะห์การเมืองได้ค่อนข้างเร็วกว่าคนอื่น เขารู้ว่าระบบรัฐสภาล้มละลายแล้ว รัฐบาลในระบบเลือกตั้งอาจเป็นชุดสุดท้าย ประชาชนเริ่มเบื่อหน่ายและสุดจะทนกับพฤติกรรมของนักการเมือง ถึงกระนั้นก็ตามกรรมเก่าที่ใครทำไว้ก็รับกันไปเอง เพียงแค่คิดจะทำความดีมันยังไม่พอ ต้องปฏิบัติให้เห็นด้วย
ผมเคยแนะให้พรรคประชาธิปัตย์แขวนป้ายหยุดปรับปรุงพรรคชั่วคราวสัก 6-7 ปี เพราะเคยเป็นฝ่ายค้านมานานเช่นเดียวกัน คราวนี้ยากที่จะกลับไปเป็นรัฐบาล ลาออกกันทั้งสภาแล้วหันหน้ากลับมาหาภาคประชาชนจะดีกว่า มากินมานอนข้างถนนดูบ้าง เผื่อจะเห็นการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งใหญ่
หลายคนบอกว่าผมฝันกลางวัน เพราะพรรคนั้นเขาเป็นพรรคเพื่อรอการเลือกตั้งในสภาเท่านั้น ไม่เคยคิดถึงชาติบ้านเมืองสักเท่าไหร่หรอก ดูจากประวัติศาสตร์พรรคก็รู้
ไหนๆ ก็พูดถึงจริยธรรมแล้ว ลองไปตรวจสอบประธานรัฐสภา นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ที่พาพวกและสื่อมวลชนเสื้อแดงไปปลอบขวัญกันถึงต่างประเทศ ทั้งที่ยังอยู่ในสมัยประชุมสภา เหตุผลประการสำคัญคือต้องการถลุงเงิน 7 ล้านให้หมดทันก่อนปีงบประมาณ สื่อด้วยกันเองก็ตั้งคำถามถึงความเหมาะสมของตัวแทนสื่อที่ไปครั้งนี้ว่าใครเป็นคนคัดเลือก ไปในนามของใคร ถือเป็นการรับสินบนรูปแบบหนึ่งหรือไม่ ส่วนนักวิชาการก็โดนหนักไม่แพ้กัน ถามว่าทำไมต้องเป็น พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ อาจารย์หรือนักวิชาการท่านอื่นเหตุใดจึงไม่ได้รับเลือก คนเหล่านี้มิใช่หรือที่เรียกหาจริยธรรม
การลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและสมาชิกรัฐสภาของนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ โดยมีคำกล่าวอ้างว่าเป็นการแสดงสำนึกทางด้านจริยธรรม แต่ก็มีคำถามตามมาว่าหนีคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่ ทำไมไม่เชื่อกฤษฎีกาต่อไปว่าตนไม่ผิด อีกทั้งยังมีมติมหาเถรสมาคมรับรองด้านจริยธรรมทางการเมืองว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ผุดผ่อง
อดีตปลัดกระทรวงมหาดไทย พระนาย สุวรรณรัฐ อุตส่าห์ยอมเปลืองตัวออกมาแถลงข่าวว่าเจ้านายเหนือหัวของตนบริสุทธิ์จาก พ.ร.บ.ล้างมลทินไปแล้ว ไม่มีผลต่อตำแหน่งรัฐมนตรีและส.ส. แต่ที่ลาออกเพราะมีจริยธรรม หรือเพราะจำนนต่อความผิดที่หนีไม่พ้นกรรมที่กระทำต่อยายเนื่อม หรือนอนไม่หลับเพราะใกล้ติดคุกตอนแก่
ยังจำได้หรือไม่ที่เคยเขียนหนังสือรับรองสมัยที่เป็นอธิบดีกรมที่ดิน เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2543
“กรมที่ดินได้ตรวจสอบแล้ว เห็นว่าการรับโอนที่ดินของบริษัทอัลไพน์กอล์ฟ จำกัด ได้ปฏิบัติตามระเบียบปฏิบัติของทางราชการ เป็นการดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายแล้ว”
(นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ)
อธิบดีกรมที่ดิน
ศาลแพ่ง ศาลฎีกา ได้เคยมีคำพิพากษาไว้แล้วว่า กรณีที่ดินสงฆ์จะโอนได้ก็ด้วยการออกเป็นพระราชบัญญัติเท่านั้น คนที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้โอกาสติดคุกจึงมีสูง
สื่อมวลชนมีส่วนสำคัญมากในการขุดคุ้ยการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ แต่วันนี้เรากลับได้เห็นสื่อมวลชนทุจริตและประพฤติมิชอบเสียเอง เช่น กรณีของนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา และบริษัทไร่ส้ม จำกัด โกงค่าโฆษณาจากบริษัท อ.ส.ม.ท. เป็นเงิน 138 ล้าน ป.ป.ช.ชี้มูลว่าเป็นการกระทำโดยมิชอบ และมีพนักงานของอ.ส.ม.ท.สมรู้ร่วมคิดโดยได้รับเงินตอบแทนจากนายสรยุทธ ข้ออ้างของพิธีกรชื่อดังรายนี้บอกว่าไม่ได้มีเจตนา และเงินจำนวนดังกล่าวก็ได้คืนไปเรียบร้อยแล้ว หลังจากถูกตรวจสอบและทวงเงิน การกระทำผิดยักยอกทรัพย์ เมื่อถูกจับได้แค่เอาเงินคืนก็ถือว่าพ้นผิดแล้วกระนั้นหรือ
สื่อมวลชนที่อ้างตนว่าเป็นสุนัขเฝ้าบ้าน วันนี้สุนัขกลับมาขโมยของเจ้าของบ้านเสียเอง จะเรียกหาจริยธรรมจากสุนัขเฝ้าบ้านได้อย่างไร งานนี้เรื่องคงไม่จบง่ายๆ สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติได้ออกแถลงการณ์ตอนหนึ่งที่น่าสนใจและควรกล่าวถึง เผื่อจะสะกิดต่อมสำนึกของใครได้บ้าง
“ผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน ซึ่งต้องอาศัยความเชื่อถือไว้วางใจของประชาชนเป็นสำคัญ กรณีนี้จึงมีเหตุผลที่สังคมควรต้องตั้งคำถาม และสภาวิชาชีพที่เกี่ยวข้องต้องดำเนินการตามขอบเขตหน้าที่และความรับผิดชอบ --- สื่อมวลชนที่ดีต้องไม่ประพฤติปฏิบัติการใดๆ อันจะนำมาซึ่งความเสื่อมเสียเกียรติศักดิ์แห่งวิชาชีพ ซึ่งในกรณีเช่นนี้พฤติกรรมของผู้ถูกกล่าวหา แม้จะยังไม่มีบทสรุปทางกฎหมาย แต่ในแง่ของการประกอบวิชาชีพนับว่าไม่เหมาะสม มีการกระทำที่สุ่มเสี่ยงต่อการละเมิดจรรยาบรรณแล้ว --- ผู้ถูกกล่าวหาก็สมควรพิจารณาตัวเอง”
ช่อง 3 ควรจะต้องรับฟังและทบทวนตัวเองบ้างในฐานะคู่สัญญากับนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา เพราะเรื่องนี้จะลามไปถึงกระแสความนิยมหากสังคมต่อต้าน โดยเฉพาะบริษัทที่เป็นผู้สนับสนุนรายการต่างๆ ของช่อง 3 ก็จำเป็นต้องทบทวนว่าคุณเป็นบริษัทที่มีธรรมาภิบาลหรือไม่ กำลังสนับสนุนการคอร์รัปชันอยู่หรือเปล่า ทั้งที่ภาคเอกชนเคยประกาศว่าจะไม่ให้ความร่วมมือกับนักการเมืองขี้โกง หรือมีข้อยกเว้นว่าร่วมมือกับสื่อโกงได้กระนั้นหรือ
ตัวอย่างทั้งหลายเพียงไม่กี่เรื่องที่ยกมาเขียนในคราวนี้ แต่ละคนล้วนพูดเกี่ยวกับเรื่องศีลธรรม จริยธรรมทั้งสิ้น แต่สุดท้ายแล้วกลับกลายเป็นตรงกันข้าม ราชบัณฑิตทั้งหลายน่าจะช่วยกันขยายความเรื่องศีลธรรมและจริยธรรมของนักการเมืองให้ชัดเจน จะดีกว่าเอาเวลาไปแก้คำศัพท์ภาษาอังกฤษให้คนด่ากันทั้งบ้านทั้งเมือง จนเกือบเสียบัณฑิต
ทุกวันนี้มีนักการเมืองชั่วและสื่อเลวเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมดแล้ว ไม่ปฏิวัติประเทศใหม่ ไปไม่ไหวจริงๆ
แทบไม่เชื่อหูตัวเองหลังจากได้ยินน้องเนวินพูดถึงการวางมือทางการเมืองในงานวันเกิดของตัวเอง “เพื่อปรับเปลี่ยนจากคนรุ่นหนึ่งสู่อีกรุ่นหนึ่ง เพื่อทำให้มิติทางการเมืองของประชาชนดีขึ้น มีแต่คนพูดว่าปรองดอง แต่ไม่มีอะไรเป็นรูปธรรม” เนวินพูดว่า “นักการเมืองปัจจุบันคือตัวปัญหา ต้องยอมรับว่าเราคือฟืนดุ้นหนึ่ง การที่ตัวเองถอยออกมาคือการช่วยเอาฟืนออกจากกองไฟ” คำพูดหล่อๆ ของเนวินคราวนี้ ไม่รู้ว่าถ้าพ่อชัยได้ยินแล้ว จะผิดหวังแค่ไหน กับความฝันที่จะเห็นลูกชายสุดเลิฟในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
บรรหาร เสนาะ สนั่น ชวลิต ไม่คิดอะไรบ้างเลยหรือ กับคำพูดของนักการเมืองรุ่นลูกที่ดูเหมือนจะมองการเมืองออกว่ามันไปไม่รอดแล้ว
น้องเนวินครับ พี่ภูมิใจในเลือดสวนกุหลาบที่ทำให้น้องรู้จักแพ้-ชนะ และคิดที่จะให้คนรุ่นใหม่เข้ามาเปลี่ยนแปลงบ้านเมือง ถ้าสิ่งที่น้องพูดนั้นออกมาจากใจจริง
อย่าให้เหมือนเมื่อครั้งที่เสนาะ เทียนทอง มาขึ้นเวทีพันธมิตรฯ ที่ท้องสนามหลวง เปิดโปงทักษิณ ทั้งเบื้องหน้าเบื้องหลังและความเลวต่างๆ นานา จนพี่สมเกียรติ (พล.ต.ท.สมเกียรติ พ่วงทรัพย์) ถึงกับเอ่ยปากว่า คำพูดของคุณเสนาะวันนั้นจับใจมาก จนให้อภัยหมดใจเลยกับสิ่งเก่าๆ ที่คุณเสนาะเคยทำ
แล้วมาวันนี้คนชื่อเสนาะ เทียนทอง คลานกลับไปอยู่กับทักษิณ กลับไปยกย่องชมเชยคนที่ตัวเองเคยด่า กระชากหน้ากาก แฉความจริงกันกลางท้องสนามหลวง ไม่มีใครจะรับรองใครได้เลยในเรื่องของจริยธรรมและสำนึกที่มีต่อบ้านเมือง ที่หยั่งยากคือใจคน
เนวินจมูกไว วิเคราะห์การเมืองได้ค่อนข้างเร็วกว่าคนอื่น เขารู้ว่าระบบรัฐสภาล้มละลายแล้ว รัฐบาลในระบบเลือกตั้งอาจเป็นชุดสุดท้าย ประชาชนเริ่มเบื่อหน่ายและสุดจะทนกับพฤติกรรมของนักการเมือง ถึงกระนั้นก็ตามกรรมเก่าที่ใครทำไว้ก็รับกันไปเอง เพียงแค่คิดจะทำความดีมันยังไม่พอ ต้องปฏิบัติให้เห็นด้วย
ผมเคยแนะให้พรรคประชาธิปัตย์แขวนป้ายหยุดปรับปรุงพรรคชั่วคราวสัก 6-7 ปี เพราะเคยเป็นฝ่ายค้านมานานเช่นเดียวกัน คราวนี้ยากที่จะกลับไปเป็นรัฐบาล ลาออกกันทั้งสภาแล้วหันหน้ากลับมาหาภาคประชาชนจะดีกว่า มากินมานอนข้างถนนดูบ้าง เผื่อจะเห็นการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งใหญ่
หลายคนบอกว่าผมฝันกลางวัน เพราะพรรคนั้นเขาเป็นพรรคเพื่อรอการเลือกตั้งในสภาเท่านั้น ไม่เคยคิดถึงชาติบ้านเมืองสักเท่าไหร่หรอก ดูจากประวัติศาสตร์พรรคก็รู้
ไหนๆ ก็พูดถึงจริยธรรมแล้ว ลองไปตรวจสอบประธานรัฐสภา นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ที่พาพวกและสื่อมวลชนเสื้อแดงไปปลอบขวัญกันถึงต่างประเทศ ทั้งที่ยังอยู่ในสมัยประชุมสภา เหตุผลประการสำคัญคือต้องการถลุงเงิน 7 ล้านให้หมดทันก่อนปีงบประมาณ สื่อด้วยกันเองก็ตั้งคำถามถึงความเหมาะสมของตัวแทนสื่อที่ไปครั้งนี้ว่าใครเป็นคนคัดเลือก ไปในนามของใคร ถือเป็นการรับสินบนรูปแบบหนึ่งหรือไม่ ส่วนนักวิชาการก็โดนหนักไม่แพ้กัน ถามว่าทำไมต้องเป็น พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ อาจารย์หรือนักวิชาการท่านอื่นเหตุใดจึงไม่ได้รับเลือก คนเหล่านี้มิใช่หรือที่เรียกหาจริยธรรม
การลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและสมาชิกรัฐสภาของนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ โดยมีคำกล่าวอ้างว่าเป็นการแสดงสำนึกทางด้านจริยธรรม แต่ก็มีคำถามตามมาว่าหนีคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่ ทำไมไม่เชื่อกฤษฎีกาต่อไปว่าตนไม่ผิด อีกทั้งยังมีมติมหาเถรสมาคมรับรองด้านจริยธรรมทางการเมืองว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ผุดผ่อง
อดีตปลัดกระทรวงมหาดไทย พระนาย สุวรรณรัฐ อุตส่าห์ยอมเปลืองตัวออกมาแถลงข่าวว่าเจ้านายเหนือหัวของตนบริสุทธิ์จาก พ.ร.บ.ล้างมลทินไปแล้ว ไม่มีผลต่อตำแหน่งรัฐมนตรีและส.ส. แต่ที่ลาออกเพราะมีจริยธรรม หรือเพราะจำนนต่อความผิดที่หนีไม่พ้นกรรมที่กระทำต่อยายเนื่อม หรือนอนไม่หลับเพราะใกล้ติดคุกตอนแก่
ยังจำได้หรือไม่ที่เคยเขียนหนังสือรับรองสมัยที่เป็นอธิบดีกรมที่ดิน เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2543
“กรมที่ดินได้ตรวจสอบแล้ว เห็นว่าการรับโอนที่ดินของบริษัทอัลไพน์กอล์ฟ จำกัด ได้ปฏิบัติตามระเบียบปฏิบัติของทางราชการ เป็นการดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายแล้ว”
(นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ)
อธิบดีกรมที่ดิน
ศาลแพ่ง ศาลฎีกา ได้เคยมีคำพิพากษาไว้แล้วว่า กรณีที่ดินสงฆ์จะโอนได้ก็ด้วยการออกเป็นพระราชบัญญัติเท่านั้น คนที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้โอกาสติดคุกจึงมีสูง
สื่อมวลชนมีส่วนสำคัญมากในการขุดคุ้ยการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ แต่วันนี้เรากลับได้เห็นสื่อมวลชนทุจริตและประพฤติมิชอบเสียเอง เช่น กรณีของนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา และบริษัทไร่ส้ม จำกัด โกงค่าโฆษณาจากบริษัท อ.ส.ม.ท. เป็นเงิน 138 ล้าน ป.ป.ช.ชี้มูลว่าเป็นการกระทำโดยมิชอบ และมีพนักงานของอ.ส.ม.ท.สมรู้ร่วมคิดโดยได้รับเงินตอบแทนจากนายสรยุทธ ข้ออ้างของพิธีกรชื่อดังรายนี้บอกว่าไม่ได้มีเจตนา และเงินจำนวนดังกล่าวก็ได้คืนไปเรียบร้อยแล้ว หลังจากถูกตรวจสอบและทวงเงิน การกระทำผิดยักยอกทรัพย์ เมื่อถูกจับได้แค่เอาเงินคืนก็ถือว่าพ้นผิดแล้วกระนั้นหรือ
สื่อมวลชนที่อ้างตนว่าเป็นสุนัขเฝ้าบ้าน วันนี้สุนัขกลับมาขโมยของเจ้าของบ้านเสียเอง จะเรียกหาจริยธรรมจากสุนัขเฝ้าบ้านได้อย่างไร งานนี้เรื่องคงไม่จบง่ายๆ สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติได้ออกแถลงการณ์ตอนหนึ่งที่น่าสนใจและควรกล่าวถึง เผื่อจะสะกิดต่อมสำนึกของใครได้บ้าง
“ผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน ซึ่งต้องอาศัยความเชื่อถือไว้วางใจของประชาชนเป็นสำคัญ กรณีนี้จึงมีเหตุผลที่สังคมควรต้องตั้งคำถาม และสภาวิชาชีพที่เกี่ยวข้องต้องดำเนินการตามขอบเขตหน้าที่และความรับผิดชอบ --- สื่อมวลชนที่ดีต้องไม่ประพฤติปฏิบัติการใดๆ อันจะนำมาซึ่งความเสื่อมเสียเกียรติศักดิ์แห่งวิชาชีพ ซึ่งในกรณีเช่นนี้พฤติกรรมของผู้ถูกกล่าวหา แม้จะยังไม่มีบทสรุปทางกฎหมาย แต่ในแง่ของการประกอบวิชาชีพนับว่าไม่เหมาะสม มีการกระทำที่สุ่มเสี่ยงต่อการละเมิดจรรยาบรรณแล้ว --- ผู้ถูกกล่าวหาก็สมควรพิจารณาตัวเอง”
ช่อง 3 ควรจะต้องรับฟังและทบทวนตัวเองบ้างในฐานะคู่สัญญากับนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา เพราะเรื่องนี้จะลามไปถึงกระแสความนิยมหากสังคมต่อต้าน โดยเฉพาะบริษัทที่เป็นผู้สนับสนุนรายการต่างๆ ของช่อง 3 ก็จำเป็นต้องทบทวนว่าคุณเป็นบริษัทที่มีธรรมาภิบาลหรือไม่ กำลังสนับสนุนการคอร์รัปชันอยู่หรือเปล่า ทั้งที่ภาคเอกชนเคยประกาศว่าจะไม่ให้ความร่วมมือกับนักการเมืองขี้โกง หรือมีข้อยกเว้นว่าร่วมมือกับสื่อโกงได้กระนั้นหรือ
ตัวอย่างทั้งหลายเพียงไม่กี่เรื่องที่ยกมาเขียนในคราวนี้ แต่ละคนล้วนพูดเกี่ยวกับเรื่องศีลธรรม จริยธรรมทั้งสิ้น แต่สุดท้ายแล้วกลับกลายเป็นตรงกันข้าม ราชบัณฑิตทั้งหลายน่าจะช่วยกันขยายความเรื่องศีลธรรมและจริยธรรมของนักการเมืองให้ชัดเจน จะดีกว่าเอาเวลาไปแก้คำศัพท์ภาษาอังกฤษให้คนด่ากันทั้งบ้านทั้งเมือง จนเกือบเสียบัณฑิต
ทุกวันนี้มีนักการเมืองชั่วและสื่อเลวเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมดแล้ว ไม่ปฏิวัติประเทศใหม่ ไปไม่ไหวจริงๆ