xs
xsm
sm
md
lg

จีอีทิ้งหุ้นBAYเล็งขายให้ทุนต่างชาติ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน/รอยเตอร์-กลุ่มจีอีเผยขายหุ้นธนาคารกรุงศรีอยุธยา 7.6 % ยันจะไม่ขายหุ้นออกอีกภายใน 180 วัน โดยรายงานการซื้อขายบิ๊กล็อต 523 ล้านหุ้น ให้แก่พวกนักลงทุนสถาบัน ทำให้จีอี แคปิตอล ยังเหลือหุ้นในกรุงศรีฯประมาณ 25 % ด้านแบงก์ชาติ"ประสาร ไตรรัตน์วรกุล "ชี้ยุโรปกดดันจีอีขายหุ้นและถือเป็นโอกาสของกลุ่มจีอีที่ต้องตัดสินใจขายสินทรัพย์ต่างประเทศในช่วงวิกฤตยูโร ขณะเดียวกันเป็นโอกาสของกลุ่มทุนใหม่ที่ต้องการขยายการลงทุนมายังเอเชีย นักการเงินวิเคราะห์ การขายหุ้นครั้งนี้ของจีอี อาจจะเป็นการเลี่ยงการทำเทนเดอร์ออฟเฟอร์ของนักลงทุนต่างชาติกลุ่มใหม่
ตามที่มีข่าวจากสื่อต่าง ๆ ว่า GE Capital Intrenational Holding Corporation หรือกลุ่มจีอีได้แจ้งต่อธนาคารเมื่อเวลา 09.40 น.วานนี้(26ก.ย.) ว่ากลุ่มจีอี ได้จัดให้มีการขายหุ้นประมาณ 7.6% ของหุ้นที่ถืออยู่ในธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) หรือ BAY ผ่านการขายในตลาดหลักทรัพย์แบบเจาะจง โดยมี Morgan Stanley เป็นผู้จัดจำหน่าย ทั้งนี้ กลุ่มจีอีแจ้งว่า จะไม่ทำการขายหุ้นของธนาคารเพิ่มเติมภายในระยะเวลา 180 วัน เว้นแต่จะเป็นการขายหุ้นส่วนที่เหลือทั้งหมด หรือเกือบทั้งหมดที่กลุ่มจีอีถืออยู่ตามกลยุทธ์ของกลุ่มจีอี หรือตามแต่ที่กลุ่มจีอีจะได้ตกลงกับ Morgan Stanley
ทั้งนี้ BAY ได้รายงานต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า วานนี้ (26 ก.ย.) หลักทรัพย์ของ BAY มีการซื้อขายบิ๊กล็อต จำนวน 27 รายการ คิดเป็นจำนวน 207.56 ล้านหุ้น ในราคาเฉลี่ยหุ้นละ 31.20 บาท รวมมูลค่า 6,476.90 พันล้านบาท และมีบิ๊กล็อตกระดานต่างประเทศอีก 9 รายการ จำนวน 315.85 ล้านหุ้น ราคาเฉลี่ยหุ้นละ 31.29 บาทต่อหุ้น มูลค่า 9,884.44 ล้านบาท รวมทั้งสิ้น 523.41 ล้านหุ้น มูลค่ารวม 16,361.34 ล้านบาท
รอยเตอร์ - จีอี แคปิตอล กิจการด้านการเงินของกลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่ เจเนอรัล อิเล็กทริก (จีอี) ได้ขายหุ้นธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ออกไปราว 1 ใน 4 ของที่ตนเองถือครองอยู่เมื่อวันพุธ(26) เพื่อแผ้วถางทางให้แก่การปล่อยขายหุ้นส่วนที่เหลือทั้งหมดในอนาคต ทั้งนี้ตามแผนการในระดับทั่วโลกของบริษัทแม่ ซึ่งมุ่งลดปริมาณสินทรัพย์ที่มิใช่ธุรกิจหลักลงมา ยิ่งกว่านั้นการลงทุนเป็นเวลา 5 ปีของกลุ่มจีอีในธนาคารที่มีกำไรมากที่สุดในไทยเวลานี้ ก็ได้มูลค่าเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 2 เท่าตัวแล้ว
***บิ๊กล็อตหุ้นแบงก์กรุงศรีฯ 523 ล้านหุ้น
รายงานข่าวจากตลาดหลักทรัพย์ฯ แจ้งว่า วานนี้ (26 ก.ย.) หลักทรัพย์ของ BAY มีการซื้อขายบิ๊กล็อต จำนวน 27 รายการ คิดเป็นจำนวน 207.56 ล้านหุ้น ในราคาเฉลี่ยหุ้นละ 31.20 บาท รวมมูลค่า 6,476.90 พันล้านบาท และมีบิ๊กล็อตกระดานต่างประเทศอีก 9 รายการ จำนวน 315.85 ล้านหุ้น ราคาเฉลี่ยหุ้นละ 31.29 บาทต่อหุ้น มูลค่า 9,884.44 ล้านบาท รวมทั้งสิ้น 523.41 ล้านหุ้น มูลค่ารวม 16,361.34 ล้านบาท
รอยเตอร์รายงานว่า บริษัทจีอี แคปิตอล แถลงเมื่อวานนี้ได้ขายหุ้นธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY)ในลักษณะการซื้อขายรายใหญ่ (block trade) เป็นจำนวน 7.6% ให้แก่พวกนักลงทุนสถาบัน และทำให้เวลานี้ จีอี แคปิตอล ยังเหลือหุ้นธนาคารใหญ่อันดับ 5 ของไทยแห่งนี้อยู่ในครอบครอง 25.3% จากสัดส่วนการถือครอง BAY ที่ยังเหลืออยู่ในปัจจุบัน หมายความว่า จีอี แคปิตอล สามารถปล่อยขายออกไปทั้งหมดแก่ผู้ที่สนใจ โดยผู้สนใจซื้อรายดังกล่าวไม่จำเป็นต้องเสนอขอซื้อหุ้น BAY เป็นการทั่วไป (general offer) รวมทั้งในกรณีที่ผู้สนใจซื้อเป็นธนาคารต่างประเทศ ก็จะไม่จำเป็นต้องขออนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เสียก่อนด้วย
“การขายหุ้นให้เหลือน้อยลงมาเช่นนี้ เป็นการแผ้วถางทางให้กลุ่มจีอีสามารถถอยออกมาจากธนาคารแห่งนี้ได้โดยสะดวกยิ่งขึ้น นอกจากนั้นยังทำให้กลุ่มจีอีมีความยืดหยุ่นที่จะขายหุ้นที่ยังเหลืออยู่ให้แก่ผู้ซื้อเชิงยุทธศาสตร์รายใดรายหนึ่ง ผู้ซึ่งยินดีที่จะมีฐานะเป็นเจ้าของหุ้นส่วนข้างน้อยใน BAY” บุคคลผู้คุ้นเคยกับสถานการณ์เวลานี้เป็นอย่างดีผู้หนึ่ง บอกกับสำนักข่าวรอยเตอร์ โดยขอไม่ให้เปิดเผยนาม เนื่องจากรายละเอียดต่างๆ ของแผนการนี้ยังถือเป็นความลับอยู่
ขณะเดียวกันก็มีแหล่งข่าวหลายๆ รายบอกว่า ระเบียบกฎหมายที่บังคับใช้อยู่ในเมืองไทยซึ่งห้ามธนาคารต่างประเทศถือครองหุ้นของธนาคารในไทยเกินกว่า 49% กลายเป็นปัจจัยที่ยับยั้งพวกแบงก์นอกประเทศอย่างเช่น นิวซีแลนด์ แบงกิ้ง กรุ๊ป (เอเอ็นแซด) และ มาลายัน แบงกกิ้ง (เมย์แบงก์) ชะงักไม่เข้าซื้อหุ้น BAY จากกลุ่มจีอี
ก่อนหน้านี้ มีแหล่งข่าวหลายรายทีเดียวบอกกับรอยเตอร์ว่า เมย์แบงก์, เอเอ็นแซด, ตลอดจนธนาคารภายในไทยบางส่วน อยู่ในพวกผู้สนใจที่กลุ่มจีอีติดต่อเสนอขาย หลังจากที่จีอีว่าจ้าง มอร์แกน สแตนลีย์ ให้ทำการศึกษาทบทวนว่าจะทำอย่างไรกับหุ้นใน BAY 32.9% ซึ่งกลุ่มนี้ถือครองอยู่
“แต่เมื่อหนทางเลือกอื่นๆ ก็เป็นไปไม่ได้แล้ว จีอีจึงอาจได้ข้อสรุปว่าเป็นการดีที่สุดถ้าหากตนเองจะดึงเอาเงินบางส่วนออกมาเสียก่อน” แหล่งข่าวที่คุ้นเคยกับเรื่องนี้อีกรายหนึ่งบอก
ทั้งนี้ในคำแถลงของธนาคารกรุงศรีอยุธยาที่ออกมาในวันพุธระบุว่า จีอีตกลงที่จะไม่ขายหุ้น BAY ในตลาดเพิ่มเติมอีกในระยะเวลา 6 เดือนจากนี้ไป แต่ยังสามารถที่จะปล่อยขายหุ้นอีก 25.3% ที่เหลืออยู่ให้แก่ผู้ซื้อรายใดรายหนึ่งที่ถือเป็นผู้ซื้อเชิงยุทธศาสตร์
ในตอนสิ้นสุดไตรมาสสอง (เม.ย.-มิ.ย.) ปีนี้ ธนาคารกรุงศรีอยุธยามีส่วนต่างของอัตราสินเชื่อ (net interest margin) ซึ่งเป็นเกณฑ์วัดอัตราผลกำไรของธนาคารพาณิชย์ อยู่ที่ 4.3% นับว่าสูงที่สุดในบรรดาธนาคารในประเทศไทย
สำหรับกลุ่มจีอีในปัจจุบัน ซึ่งมี นายเจฟฟ์ อิมเมลต์ เป็นซีอีโอ มีนโยบายขายบรรดาธุรกิจที่ไม่ใช่ธุรกิจหลัก และการพิจารณาขายหุ้น BAY ถือเป็นส่วนหนึ่งของแผนการปรับโครงสร้างกลุ่มจีอีโดยรวม ก่อนหน้านี้ แหล่งข่าวรายหนึ่งที่เป็นผู้ทราบเรื่องนี้โดยตรง ได้เปิดเผยกับรอยเตอร์ว่า หุ้นธนาคารกรุงศรีอยุธยาที่จีอีขายออกไปนั้นได้ราคา 466 ล้านดอลลาร์
ขณะที่ จีอี แคปิตอล ระบุในคำแถลงยืนยันว่า ยังคงพิจารณาทางเลือกทางยุทธศาสตร์ต่างๆ สำหรับหุ้นของ BAY ที่ตนยังถือครองอยู่
จีอี นั้นตกลงเข้าซื้อหุ้นของธนาคารกรุงศรีอยุธยาเมื่อปี 2007 และรวมแล้วได้ลงทุนไปทั้งสิ้น 22,300 ล้านบาท หรือ 626 ล้านดอลลาร์ เมื่อคำนวณตามอัตราแลกเปลี่ยนในเวลานั้น
ในเบื้องต้นทีเดียว จีอี ได้หุ้น BAY จำนวน 25% ในราคา 16.00 บาทต่อหุ้น แล้วต่อมาก็เพิ่มหุ้นขึ้นอีกจนเกือบๆ จะถึง 33%
ตอนนี้จีอีขายหุ้น BAY ได้ในราคา 31.30 บาทต่อหุ้น แหล่งข่าวรายหนึ่งเปิดเผยในวันพุธ โดยขอไม่ให้เปิดเผยชื่อ เนื่องจากรายละเอียดของการขายยังไม่ได้มีการเปิดเผยต่อสาธารณชน ราคาระดับดังกล่าวนับว่าต่ำลงมา 5.9% จากราคาปิดของหุ้นตัวนี้ในวันอังคาร

จากการที่หุ้นของธนาคารกรุงศรีอยุธยาซื้อขายกันด้วยราคาระดับ 35.25 บาทต่อหุ้น นั่นหมายความว่าการลงทุนของจีอีมีมูลค่าเพิ่มขึ้นมาเป็นกว่า 2 เท่าตัวทีเดียว

รอยเตอร์ระบุว่า การเข้าไปลงทุนของ จีอี ถือเป็นการสร้างชีวิตชีวาให้ธนาคารกรุงศรีอยุธยาซึ่งในตอนนั้นยังคงมีฐานะเงินทุนไม่เพียงพอภายหลังจากเผชิญวิกฤตการเงินเอเชียในช่วงปลายทศวรรษ 1990 นอกจากนั้น ในเวลาต่อมา จีอี ได้มีบทบาททำให้ BAY หันมาโฟกัสเรื่องการปล่อยกู้แก่ผู้บริโภค

****"ประสาร"ชี้ยุโรปกดดันจีอีขายหุ้นBAY
กรณีที่ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) (BAY) แจ้งว่ากลุ่มจีอีได้จัดให้มีการขายหุ้นประมาณ 7.6% ของหุ้นที่ถืออยู่ในธนาคารกรุงศรีอยุธยา ผ่านการขายในตลาดหลักทรัพย์แบบเจาะจง โดยมี Morgan Stanley เป็นผู้จัดจำหน่าย นั้นนายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ขณะนี้ถือเป็นโอกาสที่ดีในการมองหาโอกาสทางธุรกิจของสถาบันการเงินในเอเชียซึ่งไม่ถูกกระทบจากวิกฤตการเงิน แต่สถาบันการเงินที่อยู่ในสหรัฐฯ และยุโรปค่อนข้างจะลำบากเพราะนอกจากเจอกับวิกฤตแล้วยังต้องเจอกับเกณฑ์กำกับที่เข้มงวดเช่นเกณฑ์บาเซิล 3 ซึ่งทำให้ต้องมีการขายสินทรัพย์ที่ไปลงทุนในต่างประเทศออกไป
“ตอนนี้ก็ถือเป็นโอกาสของกลุ่มทุนต่างชาติในการมองหาโอกาสลงทุน ไม่ว่าสถาบันการเงินเกาหลี ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย ส่วนไทยจะเปิดรับการลงทุนใหม่เพิ่มเติมหรือไม่ ต้องรอในช่วงแผนมาสเตอร์แพลน 3” นายประสารกล่าวและว่า หลังจากเปิดเสรีเออีซีจะมีธนาคารในอาเซียนเข้ามาในไทยอีกหรือไม่ คงชัดขึ้นหลังปีหน้า เพราะตอนนี้ก็ยังไม่ได้มีความชัดเจนเรื่องกฎเกณฑ์ อย่างไรก็ตามปัจจุบันธนาคารขนาดใหญ่ของอาเซียนก็อยู่ในไทยแล้วไม่ว่าจะเป็นดีบีเอส ยูโอบีของสิงคโปร์ รวมถึงเมย์แบงก์ และซีไอเอ็มบีจากมาเลเซีย.

***จีอีอาจจะเลี่ยงกลุ่มใหม่ทำTender offer
แหล่งข่าวจากสถาบันการเงิน วิเคราะห์ว่า การที่จีอีฯได้ทำการขายหุ้นของธนาคารกรุงศรีอยุธยาจำนวนกว่า 7 % ครั้งนี้ ถือว่าเป็นการส่งสัญญานอย่างชัดเจนว่า จีอี ต้องการที่จะขายหุ้นของธนาคารกรุงศรีอยุธยาออกทั้งหมดที่มีอยู่ประมาณ 33%กว่า เนื่องจากโครงสร้างขงอการขายหุ้นดังกล่าวเป็นการกระจายขายออกล่วงหน้า ซึ่งอาจจะเป็นการเจรจากับกลุ่มพันธมิตรรายใหญ่ที่ต้องการจะซื้อหุ้นธนาคารกรุงศรีฯสำเร็จแล้วกว่า 80 % คาดว่ากลุ่มใหม่อาจจะเป็นนักลงทุนจากต่างชาติ จึงมีการขายกระจายขายหุ้นออกมาส่วนหนึ่ง เพื่อให้เหลือได้ไม่เกิน 25 % เพราะตามเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย อนุญาติให้นักลงทุนต่างชาติถือหุ้นได้ไม่เกิน 49 % และเกณฑ์ของคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)นักลงทุนที่ถือหุ้นเกิน 25 % จะต้องคำเสนอรับซื้อหุ้นเป็นการทั่วไป(Tender offer )
ส่วนอีกประเด็นหนึ่งที่น่าสังเกตุสำหรับการขายหุ้นดังกล่าวของจีอีฯ ส่งผลถึงราคาหุ้นของธนาคารกรุงศรีฯลดลงอย่างต่อเนื่อง มีการเทขายของนักลงทุนรายย่อย ทำให้ราคาของหุ้นและราคาหุ้นในกลุ่มสถาบันการเงินภาพรวมของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ตกลงตามไปด้วย แสดงถึงความไม่มั่นใจของนักลงทุนรายย่อยกับกลุ่มพันธมิตรกลุ่มใหม่ที่จะเข้ามาถือหุ้นในแบงก์กรุงศรีฯ จึงเทขายหุ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งที่จีอีได้ประกาศอย่างชัดเจนแล้วว่าจะขายหุ้นในส่วนที่เหลือราคาไม่ต่ำกว่า 31.20 บาทต่อหุ้นก็ยังไม่ทำให้นักลงทุนรายย่อยมั่นใจได้
กำลังโหลดความคิดเห็น