เมื่อเวลา 10.00น. วานนี้ (5ก.ย.) ที่รัฐสภา มีการประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม สภาผู้แทนราษฎร โดยมีนายนริศ ขำนุรักษ์ ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานกมธ. ทำหน้าที่ประธานการประชุม
ทั้งนี้ ที่ประชุมได้พิจารณากรณีการโยกย้ายหัวหน้าอุทยานแห่งชาติ เขาแหลม จ.กาญจนบุรี โดยเชิญ นายดำรงค์ พิเดช อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช นายเจริญ ใจชน อดีตหัวหน้าอุทยานแห่งชาติเขาแหลม และ นายสุภฤกษ์ เย็นใจ (ผู้ที่มีปัญหาขัดแย้งกับนายเจริญ) เข้าชี้แจง แต่ นายเจริญ ได้แจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบว่า ป่วย และขอเลื่อนการเข้าชี้แจง
โดยนายดำรง ชี้แจงว่า นายสุภฤกษ์ ถูกนายเจริญ จับกุม และถูกเรียกเงินจำนวน 2 แสนบาท แต่ไม่ยอม และเรื่องนี้ตนได้แต่ฟังหู ไว้หู จึงได้โทรศัพท์ไปสอบถามข้อเท็จจริงจากนายเจริญ ซึ่ง นายเจริญ ได้ยืนยันว่า ไม่เป็นความจริง และไม่มีการเรียกรับเงินแต่อย่างใด ตนจึงตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงขึ้น ซึ่งขณะนี้ยังไม่สามารถสรุปได้ เนื่องจากนายเจริญ ยังไม่มีการแจ้งความเพื่อดำเนินคดีกับ นายศุภฤกษ์ ทั้งนี้ หากนายเจริญ ไม่แจ้งความดำเนินคดี ตนเชื่อว่าเรื่องนี้จะไม่ยุติอย่างแน่นอน
ส่วนกรณีการโยกย้ายนายเจริญนั้น เป็นการดำเนินการตามปกติ ที่มีการโยกย้ายกันทั่วประเทศ โดยที่นายเจริญ จะได้ย้ายไปเป็นหัวหน้าที่อุทยานแห่งชาติเขาชะเมา จ.ระยอง และที่อุทยานแห่งชาติเขาแหลม ก็มีเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับนายเจริญ เข้ามาเป็นจำนวนมาก ซึ่งการดำเนินการไม่เกี่ยวข้องใดๆ กับ นายฉลอง เรี่ยวแรง ส.ส.นนทบุรี พรรคเพื่อไทย เลย และหลังจากที่ปรากฏเป็นข่าวออกไป ทำให้ตนตกเป็นจำเลยสังคม ทั้งๆที่ตนไม่รู้จักกับนายเจริญ มาก่อน ซึ่งเรื่องที่เกิดขึ้น เริ่มจากการที่นายสุภฤกษ์ มาฟ้องตน และนายเจริญ ก็ชี้แจงต่อสาธารณไม่หมด ยืนยันว่า เรื่องนี้ไม่ใช่การกลั่นแกล้งอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ตนได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีที่นายเจริญ นำคนงานพิทักษ์ป่าไปอยู่ที่บ้านพักส่วนตัว เป็นระยะเวลา 17 ปี โดยกินเงินหลวง จะให้ผมให้ความเป็นธรรมได้อย่างไร
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายศุภฤกษ์ ได้นำเอกสารจำนวน 2 ชุด ชุดละ 20 หน้า โดยระบุหัวข้อว่า “หลักฐานเท็จ เอกสารเท็จ การปลอมแปลงเอกสาร หลักฐานการยัดเยียดข้อหา คำให้การของพยาน ผู้ใหญ่บ้าน ปลัดอำเภออาวุโส ในศาล จ.ทองผาภูมิ ว่า นายเจริญ ใช้เอกสารเท็จ จริง และลุแก่อำนาจในทุกคดี ทั้งคดีอาญา และคดีแพ่ง” มาชี้แจงต่อกมธ.
โดยนายศุภฤกษ์ ชี้แจงว่า ตนได้พูดคุยกับนายเจริญ จริง ซึ่งตนได้ถามว่า มีอะไรให้ตนช่วยหรือไม่ ก็สามารถบอกมาได้ และการดำเนินคดีกับตน ก็ขอให้เบาๆ หน่อย เนื่องจากนายเจริญ ได้ดำเนินการจับกุมตนมาดำเนินคดีมาถึง 3 ครั้ง ขณะที่นายเจริญ บอกว่า การจะดำเนินการต้องเคลียร์หลายคน จึงอาจต้องใช้เงินถึง 2 แสนบาท แต่ตนได้ต่อรองเหลือเพียง 5 หมื่นบาท ทำให้นายเจริญ หายเงียบไป และยังไม่มีการจ่ายเงินกันแต่อย่างใด ดังนั้นขอยืนยันว่า นายเจริญ มีความประสงค์ร้ายที่จะกลั่นแกล้ง และเลือกปฏิบัติหน้าที่ เพื่อสร้างอำนาจบารมีให้กับตัวเอง หรือ มีประโยชน์อื่นแอบแฝงอย่างแน่นอน
ทั้งนี้ กมธ.หลายคน ได้พยายามซักถามถึง คลิปเสียงการสนทนาระหว่าง นายเจริญ และนายฉลอง ว่า นายศุภฤกษ์ จะยกที่ดินจำนวน 70ไร่ให้ หากเคลียร์คดีสำเร็จ จริงหรือไม่ รวมถึงที่ดินทั้งหมดได้มาอย่างไร และถือเอกสารสิทธิ์อะไรอยู่ ทำให้นายศุภฤกษ์ ขอที่ประชุมพัก 5 นาที จากนั้นจึงได้กลับมาชี้แจงต่อ กมธ. อีกครั้ง ว่า ที่ดินดังกล่าวไม่มีเอกสารสิทธิ์ เนื่องจากตนเข้าไปอยู่ตั้งแต่ปี 2539 และในปี 2540 จึงขอซื้อที่ดินต่อจากชาวบ้าน ซึ่งยอมรับว่า ตนได้พูดคุยกับนายฉลอง จริง ว่า จะให้ที่ดินจำนวน70 ไร่ ที่ก่อนหน้านี้เป็นสวนมะม่วง ตั้งแต่ปี 2528 และต้องยอมรับว่า ตนคำนวณที่ดินไม่เป็น แต่เมื่อตนได้ปลูกยางพารา ในพื้นที่ดังกล่าว จึงพบว่า มีที่ดินเพียง 30 ไร่เท่านั้น อย่างไรก็ตาม ตนต้องขอความเป็นธรรม และอยากให้มีการตรวจสอบเหตุแห่งการจับกุมตนด้วย
ทั้งนี้ ที่ประชุมได้พิจารณากรณีการโยกย้ายหัวหน้าอุทยานแห่งชาติ เขาแหลม จ.กาญจนบุรี โดยเชิญ นายดำรงค์ พิเดช อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช นายเจริญ ใจชน อดีตหัวหน้าอุทยานแห่งชาติเขาแหลม และ นายสุภฤกษ์ เย็นใจ (ผู้ที่มีปัญหาขัดแย้งกับนายเจริญ) เข้าชี้แจง แต่ นายเจริญ ได้แจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบว่า ป่วย และขอเลื่อนการเข้าชี้แจง
โดยนายดำรง ชี้แจงว่า นายสุภฤกษ์ ถูกนายเจริญ จับกุม และถูกเรียกเงินจำนวน 2 แสนบาท แต่ไม่ยอม และเรื่องนี้ตนได้แต่ฟังหู ไว้หู จึงได้โทรศัพท์ไปสอบถามข้อเท็จจริงจากนายเจริญ ซึ่ง นายเจริญ ได้ยืนยันว่า ไม่เป็นความจริง และไม่มีการเรียกรับเงินแต่อย่างใด ตนจึงตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงขึ้น ซึ่งขณะนี้ยังไม่สามารถสรุปได้ เนื่องจากนายเจริญ ยังไม่มีการแจ้งความเพื่อดำเนินคดีกับ นายศุภฤกษ์ ทั้งนี้ หากนายเจริญ ไม่แจ้งความดำเนินคดี ตนเชื่อว่าเรื่องนี้จะไม่ยุติอย่างแน่นอน
ส่วนกรณีการโยกย้ายนายเจริญนั้น เป็นการดำเนินการตามปกติ ที่มีการโยกย้ายกันทั่วประเทศ โดยที่นายเจริญ จะได้ย้ายไปเป็นหัวหน้าที่อุทยานแห่งชาติเขาชะเมา จ.ระยอง และที่อุทยานแห่งชาติเขาแหลม ก็มีเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับนายเจริญ เข้ามาเป็นจำนวนมาก ซึ่งการดำเนินการไม่เกี่ยวข้องใดๆ กับ นายฉลอง เรี่ยวแรง ส.ส.นนทบุรี พรรคเพื่อไทย เลย และหลังจากที่ปรากฏเป็นข่าวออกไป ทำให้ตนตกเป็นจำเลยสังคม ทั้งๆที่ตนไม่รู้จักกับนายเจริญ มาก่อน ซึ่งเรื่องที่เกิดขึ้น เริ่มจากการที่นายสุภฤกษ์ มาฟ้องตน และนายเจริญ ก็ชี้แจงต่อสาธารณไม่หมด ยืนยันว่า เรื่องนี้ไม่ใช่การกลั่นแกล้งอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ตนได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีที่นายเจริญ นำคนงานพิทักษ์ป่าไปอยู่ที่บ้านพักส่วนตัว เป็นระยะเวลา 17 ปี โดยกินเงินหลวง จะให้ผมให้ความเป็นธรรมได้อย่างไร
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายศุภฤกษ์ ได้นำเอกสารจำนวน 2 ชุด ชุดละ 20 หน้า โดยระบุหัวข้อว่า “หลักฐานเท็จ เอกสารเท็จ การปลอมแปลงเอกสาร หลักฐานการยัดเยียดข้อหา คำให้การของพยาน ผู้ใหญ่บ้าน ปลัดอำเภออาวุโส ในศาล จ.ทองผาภูมิ ว่า นายเจริญ ใช้เอกสารเท็จ จริง และลุแก่อำนาจในทุกคดี ทั้งคดีอาญา และคดีแพ่ง” มาชี้แจงต่อกมธ.
โดยนายศุภฤกษ์ ชี้แจงว่า ตนได้พูดคุยกับนายเจริญ จริง ซึ่งตนได้ถามว่า มีอะไรให้ตนช่วยหรือไม่ ก็สามารถบอกมาได้ และการดำเนินคดีกับตน ก็ขอให้เบาๆ หน่อย เนื่องจากนายเจริญ ได้ดำเนินการจับกุมตนมาดำเนินคดีมาถึง 3 ครั้ง ขณะที่นายเจริญ บอกว่า การจะดำเนินการต้องเคลียร์หลายคน จึงอาจต้องใช้เงินถึง 2 แสนบาท แต่ตนได้ต่อรองเหลือเพียง 5 หมื่นบาท ทำให้นายเจริญ หายเงียบไป และยังไม่มีการจ่ายเงินกันแต่อย่างใด ดังนั้นขอยืนยันว่า นายเจริญ มีความประสงค์ร้ายที่จะกลั่นแกล้ง และเลือกปฏิบัติหน้าที่ เพื่อสร้างอำนาจบารมีให้กับตัวเอง หรือ มีประโยชน์อื่นแอบแฝงอย่างแน่นอน
ทั้งนี้ กมธ.หลายคน ได้พยายามซักถามถึง คลิปเสียงการสนทนาระหว่าง นายเจริญ และนายฉลอง ว่า นายศุภฤกษ์ จะยกที่ดินจำนวน 70ไร่ให้ หากเคลียร์คดีสำเร็จ จริงหรือไม่ รวมถึงที่ดินทั้งหมดได้มาอย่างไร และถือเอกสารสิทธิ์อะไรอยู่ ทำให้นายศุภฤกษ์ ขอที่ประชุมพัก 5 นาที จากนั้นจึงได้กลับมาชี้แจงต่อ กมธ. อีกครั้ง ว่า ที่ดินดังกล่าวไม่มีเอกสารสิทธิ์ เนื่องจากตนเข้าไปอยู่ตั้งแต่ปี 2539 และในปี 2540 จึงขอซื้อที่ดินต่อจากชาวบ้าน ซึ่งยอมรับว่า ตนได้พูดคุยกับนายฉลอง จริง ว่า จะให้ที่ดินจำนวน70 ไร่ ที่ก่อนหน้านี้เป็นสวนมะม่วง ตั้งแต่ปี 2528 และต้องยอมรับว่า ตนคำนวณที่ดินไม่เป็น แต่เมื่อตนได้ปลูกยางพารา ในพื้นที่ดังกล่าว จึงพบว่า มีที่ดินเพียง 30 ไร่เท่านั้น อย่างไรก็ตาม ตนต้องขอความเป็นธรรม และอยากให้มีการตรวจสอบเหตุแห่งการจับกุมตนด้วย