นายสรรเสริญ สมะลาภา ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ แถลงข่าว เรื่องความผิดพลาดในการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในซีรีส์ต่อเนื่อง “1 ปีของจริงไม่อิงละคร” ตอนที่ 7 ที่มีชื่อว่า "เอื้อนายทุน หนี้ท่วมชาวบ้าน" ว่า นโยบายการลดอัตราการจัดภาษีเงินได้นิติบุคคลจาก 23 % มาเป็น20 % ทำให้รัฐสูญเสียรายได้ประมาณ 1.5 แสนล้านบาทเป็นอย่างน้อยไปตลอดจนปีงบประมาณพ.ศ.2555-2557
ที่สำคัญการที่รัฐบาลอ้างว่า เพื่อเสริมสร้างประสิทธิภาพในการแข่งขันด้วยนโยบายการลดภาษี ก็ไม่เป็นความจริง เพราะการส่งเสริมการลงทุน และการแข่งขันยังมีช่องทางอื่นที่สามารถดำเนินการได้ เช่น มาตรการจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เป็นต้น ไม่เพียงเท่านี้ ยังมีปัจจัยอื่นที่เอื้อให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนในประเทศด้วย ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยทางภูมิศาสตร์ ค่าแรง ไม่ได้ขึ้นอยู่กับมาตรการทางภาษีอย่างเดียว
"ในทางกลับกัน นโยบายการปรับลดภาษีดังกล่าวได้กลายเป็นการช่วยเหลือนายทุนผู้ประกอบธุรกิจขนาดใหญ่ ทั้งที่มีจำนวนของผู้ประกอบการเพียง 4.6 พันราย หรือคิดเป็น 0.2 % จากภาคธุรกิจในระบบ ขณะที่กลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจการเอสเอ็มอี มีถึง 2.8 ล้านราย คิดเป็น 9.4 % มีการจ้างงานถึง 10.5 ล้านคน กลับไม่ได้รับประโยชน์จากนโยบายนี้ เพราะว่าตามกฎหมายแล้วหากในปีหนึ่งมีกำไรไม่ถึง 3 ล้านบาท ก็ได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีถึง 30 %อยู่แล้ว " นายสรรเสริญ กล่าว
นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า รัฐบาลยิ่งลักษณ์ได้ใช้เวลาเพียง 6 เดือน ในการก่อหนี้จำนวนมหาศาล โดยมีตัวเลขชี้วัดเดือนธ.ค.54 พบว่ามีหนี้สาธารณะ 4.297 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพี ถึง 40.78 % มาจนถึงเดือนมิ.ย. 55 มีหนี้สาธารณะ 4.791 ล้านล้านบาท คิดเป็นหนี้สาธารณะต่อจีดีพีถึง 43.34 % เป็นตัวเลขสูงที่สุดในรอบ 15 ปี นับตั้งแต่เหตุการณ์วิกฤตเศรษฐกิจปี 40
ขณะเดียวกันในปี 2556 รัฐบาลกำลังก่อหนี้ให้กับประเทศมากขึ้นด้วยทั้งในและนอกระบบงบประมาณ โดยในระบบงบประมาณ มีจำนวน 3 แสนล้านบาท จากการขาดดุลใน พ.ร.บ.งบประมาณรายร่ายประจำปีงบประมาณ ส่วนนอกระบบงบประมาณ มีจำนวน 7.02 แสนล้านบาท แบ่งเป็นพ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน 3 แสนล้านบาท หนี้สินจากการจำนำผลผลิตทางการเกษตร 4 แสนล้านบาท และการชดเชยกองทุนน้ำมัน 2 หมื่นล้านบาท
นอกจากนี้นโยบายประชานิยมของรัฐบาลกำลังส่งผลให้หนี้ของครัวเรือนมีแนวโน้มพุ่งสูงขึ้นด้วย เช่น ในปี 54 มีจำนวน 1.03 แสนล้านบาท ปี 55 มีจำนวน 1.1 แสนล้านบาท
"รัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ได้สร้างหนี้งบประมาณจำนวนมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ จนกลายเป็นยิ่งลักษณ์ ยิ่งกู้ ยิ่งกว่าสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่มีหนี้จำนวน 4 แสนล้านบาท" นพ.บุรณัชย์ กล่าว
ที่สำคัญการที่รัฐบาลอ้างว่า เพื่อเสริมสร้างประสิทธิภาพในการแข่งขันด้วยนโยบายการลดภาษี ก็ไม่เป็นความจริง เพราะการส่งเสริมการลงทุน และการแข่งขันยังมีช่องทางอื่นที่สามารถดำเนินการได้ เช่น มาตรการจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เป็นต้น ไม่เพียงเท่านี้ ยังมีปัจจัยอื่นที่เอื้อให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนในประเทศด้วย ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยทางภูมิศาสตร์ ค่าแรง ไม่ได้ขึ้นอยู่กับมาตรการทางภาษีอย่างเดียว
"ในทางกลับกัน นโยบายการปรับลดภาษีดังกล่าวได้กลายเป็นการช่วยเหลือนายทุนผู้ประกอบธุรกิจขนาดใหญ่ ทั้งที่มีจำนวนของผู้ประกอบการเพียง 4.6 พันราย หรือคิดเป็น 0.2 % จากภาคธุรกิจในระบบ ขณะที่กลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจการเอสเอ็มอี มีถึง 2.8 ล้านราย คิดเป็น 9.4 % มีการจ้างงานถึง 10.5 ล้านคน กลับไม่ได้รับประโยชน์จากนโยบายนี้ เพราะว่าตามกฎหมายแล้วหากในปีหนึ่งมีกำไรไม่ถึง 3 ล้านบาท ก็ได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีถึง 30 %อยู่แล้ว " นายสรรเสริญ กล่าว
นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า รัฐบาลยิ่งลักษณ์ได้ใช้เวลาเพียง 6 เดือน ในการก่อหนี้จำนวนมหาศาล โดยมีตัวเลขชี้วัดเดือนธ.ค.54 พบว่ามีหนี้สาธารณะ 4.297 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพี ถึง 40.78 % มาจนถึงเดือนมิ.ย. 55 มีหนี้สาธารณะ 4.791 ล้านล้านบาท คิดเป็นหนี้สาธารณะต่อจีดีพีถึง 43.34 % เป็นตัวเลขสูงที่สุดในรอบ 15 ปี นับตั้งแต่เหตุการณ์วิกฤตเศรษฐกิจปี 40
ขณะเดียวกันในปี 2556 รัฐบาลกำลังก่อหนี้ให้กับประเทศมากขึ้นด้วยทั้งในและนอกระบบงบประมาณ โดยในระบบงบประมาณ มีจำนวน 3 แสนล้านบาท จากการขาดดุลใน พ.ร.บ.งบประมาณรายร่ายประจำปีงบประมาณ ส่วนนอกระบบงบประมาณ มีจำนวน 7.02 แสนล้านบาท แบ่งเป็นพ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน 3 แสนล้านบาท หนี้สินจากการจำนำผลผลิตทางการเกษตร 4 แสนล้านบาท และการชดเชยกองทุนน้ำมัน 2 หมื่นล้านบาท
นอกจากนี้นโยบายประชานิยมของรัฐบาลกำลังส่งผลให้หนี้ของครัวเรือนมีแนวโน้มพุ่งสูงขึ้นด้วย เช่น ในปี 54 มีจำนวน 1.03 แสนล้านบาท ปี 55 มีจำนวน 1.1 แสนล้านบาท
"รัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ได้สร้างหนี้งบประมาณจำนวนมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ จนกลายเป็นยิ่งลักษณ์ ยิ่งกู้ ยิ่งกว่าสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่มีหนี้จำนวน 4 แสนล้านบาท" นพ.บุรณัชย์ กล่าว