ASTVผู้จัดการรายวัน - พวกหมิ่นสถาบันฯ หวนคืนเฟซบุ๊ก เพิ่มจำนวนมากขึ้น แฉดีเอสไอเปลี่ยนตัวมือปราบปดูคดีทั่วไป ขณะที่ศูนย์รับเรื่อง DSI แนะอย่าตอบโต้ “เจอให้แจ้ง” หวั่นถูกดูดข้อมูลนำไปปลอมตัวกระทำผิดกฎหมาย
ขณะนี้พบว่า เว็บไซต์หรือเฟซบุ๊กที่กระทำการหมิ่นสถาบันเบื้องสูงมีการขยายตัวเพิ่มมากขึ้น
ส่วนใหญ่จะมีกลุ่มบุคคลที่สนับสนุนเป็นฐานมาจากกลุ่มคนเสื้อแดง ซึ่งเป็นฐานเสียงสำคัญของพรรคเพื่อไทย
ก่อนหน้านั้นแผ่วลงไป โดยกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) ได้ออกโครงการไม่กด
Like ไม่ Share และไม่ Comment และให้แจ้งเรื่องไปที่ ICT เพื่อดำเนินการปิด
รวมถึงมีการปิดเว็บไซด์หรือเฟสบุ๊กที่กระทำการหมิ่นสถาบันมากกว่ากว่า 6 หมื่น URL
แต่ก็ยังพบการกระทบผิดดังกล่าวผ่านสังคมออนไลน์อีกจำนวนมาก
ช่วงครบรอบ 1 ปีของรัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่บริหารประเทศมา เริ่มปรากฏเนื้อหาและข้อ
ความในลักษณะเดิมๆ กลับเข้ามาในโลกออนไลน์กันมากขึ้น
“ทางเฟซบุ๊กค่อนข้างจะมีมากกว่าที่เป็นเว็บไซต์ เพราะจัดทำได้ง่าย สะดวก ทำได้อย่างรวด
เร็ว เมื่อถูกปิดก็เปิดใหม่ได้ทันที ขณะนี้ทางกลุ่มก็ยังติดตามกลุ่มเหล่านี้อยู่ แต่ไม่ได้ดำเนินการแบบเปิดเผย
เหมือนที่ผ่านมา เมื่อพบเห็นก็จะดำเนินการแจ้งเรื่องไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทันที” หนึ่งในทีมงานที่ติด
ตามเว็บไซต์หมิ่นสถาบันฯ กล่าว
พบว่า มีการดำเนินงาน 2 รูปแบบผ่านทางเฟซบุ๊ก คือดำเนินการในนามบุคคลและทำแบบ
กลุ่มเปิด ทั้ง 2 รูปแบบจะมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกัน เช่น คนที่ดำเนินการในนามบุคคลอาจเข้ามาจัดทำ
เฟซบุ๊กแบบกลุ่มเปิด จากนั้นก็จะมีแนวร่วมเข้ามาขยายผล
เดิมชื่อในการตั้ง อาจเป็นชื่อที่จงใจตั้งขึ้นด้วยถ้อยคำรุนแรง ซึ่งเป็นศัพท์ที่รู้กันในแวดวงของคนเหล่านี้ แต่
ในปัจจุบันจะมีการตั้งชื่อเดียวกับชื่อที่ใช้กันทั่วไป เพื่อดึงให้คนเข้ามากด Like เพื่อเข้าร่วมกิจกรรมหรือ
เข้ามาแสดงความเห็น จากนั้นก็เริ่มแสดงตัวทั้งถ้อยคำและภาพตัดต่อ เพื่อยั่วยุให้คนที่เข้ามาด้วยเจตนาบริสุทธิ์
เข้ามาตอบโต้ แค่นี้ก็ถือว่าพวกเขาบรรลุเป้าหมาย เริ่มกลับเข้ามาเปิดแนวรุกนี้อีกครั้งในระยะนี้
ศูนย์ปฏิบัติการความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ เพื่อปกป้องสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ กระทรวง
ICT กล่าวว่า คนกลุ่มนี้ก็ไม่ต่างกับคนโรคจิตที่ต้องการเรียกร้องความสนใจ คือ ตั้งใจทำเฟซบุ๊กในลักษณะ
ขุดบ่อล่อปลา ส่วนหนึ่งเพื่อต้องการเผยแพร่แนวคิดของตัวเองออกไปสู่สังคม และพวกเขาจะสนุกกับการตอบ
โต้กับฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำดังกล่าว ในขณะเดียวกันพวกเขาก็จะอาศัยเฟซบุ๊กที่เป็นกลุ่มเปิดที่ไม่จำ
เป็นต้องกด Like ก็แสดงความคิดเห็นได้ เข้ามาดักเอาข้อมูลและชื่อของคนที่เข้ามาต่อต้านไป
โดยธรรมชาติแล้วคนที่เล่นเฟซบุ๊กทั่วไปมีเจตนาบริสุทธิ์ มักจะใส่ข้อมูลจริงของผู้ลงทะเบียนไป เพราะช่อง
ทางหลักของพวกเขา คือ เพื่อติดต่อสื่อสารกับเพื่อนฝูงหรือเพื่อทำงาน ดังนั้นเมื่อเข้าไปตอบโต้คนกลุ่มที่
กระทำการหมิ่นสถาบันฯ ก็จะกลายเป็นเหยื่อของคนเหล่านี้ จะมีการนำเอาชื่อ รูปภาพ หรือประวัติต่างๆ ของ
คนที่เข้าไปตอบโต้ไปใช้ประโยชน์ด้านอื่น
ในโลกของสังคมออนไลน์ ชื่อของบุคคลที่นำมากระทำการหมิ่นสถาบันฯ อาจเป็นชื่อผู้ที่
ดำเนินการเอง ซึ่งส่วนใหญ่จะไม่ใช้ชื่อจริง ส่วนที่อาจเห็นว่ามีหลายคนเข้ามากด Like หรือแสดงความคิด
เห็นไปในทางเดียวกับเนื้อหาใน Page ก็ตอบยากเช่นกันว่าเป็นคนอื่นด้วยหรือไม่ เพราะเจ้าของ Page
เพียงคนเดียวอาจจะตั้งชื่อไว้หลายๆ ชื่อแล้วเข้ามาปั่นกระทู้
“ที่น่ากลัวคือกลุ่มคนเหล่านี้จะนำเอาชื่อและข้อมูล รูปภาพของคนที่เข้าไปตอบโต้ ไปปลอมหรือสร้างตัวตน
ใหม่ขึ้นมาแล้วนำไปแอบอ้างใช้กระทำการหมิ่นแทน ส่วนหนึ่งเป็นการใส่ร้ายฝ่ายตรงข้าม อีกส่วนหนึ่งเพื่อ
ป้องกันตัวเอง โดยเอาชื่อคนอื่นมาดำเนินการแทน”
ที่ผ่านมามีหลายครั้งที่เจ้าหน้าที่ตำรวจไปจับกุม ดำเนินคดีกับเฟซบุ๊กที่หมิ่นสถาบันฯ แต่คนที่
เจ้าหน้าที่ไปเชิญตัวมา จำนวนไม่น้อยคือกลุ่มคนที่เข้าไปตอบโต้เฟซบุ๊กที่หมิ่นสถาบันฯ เพราะถูกนำเอา
ข้อมูลไปปลอม ต้องใช้เวลาตรวจสอบที่นานขึ้น ผู้กระทำผิดจริงอาจไหวตัวได้ทัน
ส่วนการดำเนินคดีกับเว็บไซต์หรือเฟซบุ๊กที่หมิ่นสถาบันฯ ว่า ได้ดำเนินการอย่างจริงจังหรือไม่ เพราะที่ผ่าน
มาเห็นเรื่องดังกล่าวเงียบหายไป ได้รับคำตอบว่า ทางหน่วยงานเราได้รับการแจ้งจากภาคประชาชนให้เข้าไป
ตรวจสอบ ดำเนินคดีกับบุคคลที่กระทำการหมิ่นสถาบันฯ บนสังคมออนไลน์ตลอด มากบ้างน้อยบ้างตาม
กระแสในแต่ละช่วง
เมื่อรับแจ้งแล้วก็ต้องดำเนินการตรวจสอบข้อมูลดังกล่าว และต้องประสานงานกับส่วนงานอื่นที่เกี่ยวข้อง
เพื่อดำเนินการปิดหน้า Page และตามตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ แน่นอนว่าขั้นตอนเหล่านี้ต้องใช้เวลา
ระดับหนึ่ง
ส่วนการดำเนินการปิด Page ที่หมิ่นสถาบันฯ นั้น เราปิดมาโดยตลอด แต่อาจจะดูเหมือน
ไม่ปิด เพราะคนเหล่านี้เมื่อถูกปิดแล้วจะเปิดใหม่ ใช้ชื่อเดิม รูปภาพเดิมๆ แต่ถ้าสังเกตให้ดีจะพบว่าชื่อเดิม
เหล่านั้น อาจจะมี URL ต่างไปจากเดิม
ในด้านการจับกุมดำเนินคดีมีโดยตลอด แต่เรื่องดังกล่าวอาจไม่เป็นที่เปิดเผยต่อสาธารณะ
มากนัก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะกลุ่มที่คอยตรวจสอบเรื่องนี้อยู่เริ่มเป็นมืออาชีพมากขึ้น คือไม่กระจายข่าวหรือ
เสียบประจานเหมือนก่อน แต่จะใช้วิธีการแจ้งมาที่หน่วยงานรัฐแทน จึงทำให้ใครที่คอยติดตามการทำงาน
ของกลุ่มหมิ่นสถาบันฯ อาจไม่ทราบข้อมูลเหมือนก่อน
วิธีการนี้ค่อนข้างได้ผล เพราะคนไม่แตกตื่น อีกทั้งคนที่กระทำการหมิ่นสถาบันฯ ก็เริ่มไม่สนุกเพราะไม่มีใคร
เข้าไปตอบโต้ การดำเนินคดีก็ทำได้ง่ายขึ้น
ที่สำคัญกว่านั้นคือคดีความดังกล่าว ทางเราได้รับการร้องขอจากศาลว่าไม่ควรนำเอาเรื่องคดีความเหล่านี้ไป
เผยแพร่ต่อสาธารณะ เพราะเป็นการไม่บังควรและอาจเป็นการระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท
เท่าที่เราตั้งข้อสังเกตจะพบว่ากลุ่มที่เข้ามากระทำการหมิ่นสถาบันฯ เหล่านี้ มักจะเข้ามามากในช่วงที่
สถานการณ์ทางการเมืองกำลังขับเคี่ยวกันอย่างเข้มข้น แต่ถ้าทุกอย่างเข้าสู่ภาวะปกติกลุ่มเหล่านี้ก็จะลด
บทบาทตัวเองลง และถ้าไม่มีใครเข้าไปตอบโต้ด้วยพวกนี้ก็จะยุติบทบาทตัวเองลง
ก่อนหน้านี้มีการเคลื่อนไหวของอาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทั้งนายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุลและกลุ่มนิติ
ราษฎร์ มีตัวบุคคลอย่างนายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ ถึงเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 112 ดังนั้นการดำเนิน
การทางโลกออนไลน์จึงชะลอไป เมื่อรัฐบาลแสดงท่าทีไม่เห็นด้วยในเรื่องนี้ ประกอบกับกลุ่มนิติราษฎร์เริ่ม
แผ่วลง กลุ่มนี้จึงกลับมาใช้แนวทางเดิมขับเคลื่อนอีกครั้ง
แหล่งข่าวจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) กล่าวว่า การตรวจสอบหรือดำเนินคดีกับกลุ่มหมิ่นสถาบันฯ
ก็ดำเนินการไปตามขั้นตอน แต่ได้มีการเปลี่ยนแปลงตัวบุคคลที่รับผิดชอบคดีนี้จากเดิมที่เป็นพันตำรวจเอก
ญาณพล ยั่งยืน ซึ่งเป็นผู้ที่รู้เรื่องนี้ดีและติดตามเรื่องนี้มาโดยตลอด มาเป็น พันตำรวจเอกประเวศน์ มูลประมุข
รับผิดชอบแทนและยังทำคดีสลายการชุมนุม 98 ศพด้วย ขณะที่งานหลักของดีเอสไอตอนนี้มุ่งไปที่การตรวจ
สอบการสลายการชุมนุมของคนเสื้อแดงในสมัยรัฐบาลประชาธิปัตย์
“คดีเหล่านี้ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายฝ่ายทั้งจากไอซีที DSI ตำรวจท้องที่ หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
ดำเนินการล่าช้า ความคืบหน้าของคดีก็จะช้าตามไปด้วย และจะทำให้กลุ่มที่กระทำผิดได้ใจเปิดเฟซบุ๊กโจมตี
สถาบันฯ มากขึ้นเรื่อยๆ”
ที่ผ่านมาการดำเนินการอย่างเข้มข้นกับกลุ่มที่ดำเนินการหมิ่นสถาบันฯ ในช่วงรัฐบาลชุดก่อน ซึ่งส่วนใหญ่ผู้
กระทำผิดจะเชื่อมโยงกับกลุ่มคนเสื้อแดง เมื่อเปลี่ยนมาเป็นรัฐบาลปัจจุบันที่คนเสื้อแดงส่วนใหญ่เลือกมา
การดำเนินคดีเกี่ยวกับเรื่องนี้จะทำได้จริงจังหรือไม่ คงต้องให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นผู้พิสูจน์
ขณะนี้พบว่า เว็บไซต์หรือเฟซบุ๊กที่กระทำการหมิ่นสถาบันเบื้องสูงมีการขยายตัวเพิ่มมากขึ้น
ส่วนใหญ่จะมีกลุ่มบุคคลที่สนับสนุนเป็นฐานมาจากกลุ่มคนเสื้อแดง ซึ่งเป็นฐานเสียงสำคัญของพรรคเพื่อไทย
ก่อนหน้านั้นแผ่วลงไป โดยกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) ได้ออกโครงการไม่กด
Like ไม่ Share และไม่ Comment และให้แจ้งเรื่องไปที่ ICT เพื่อดำเนินการปิด
รวมถึงมีการปิดเว็บไซด์หรือเฟสบุ๊กที่กระทำการหมิ่นสถาบันมากกว่ากว่า 6 หมื่น URL
แต่ก็ยังพบการกระทบผิดดังกล่าวผ่านสังคมออนไลน์อีกจำนวนมาก
ช่วงครบรอบ 1 ปีของรัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่บริหารประเทศมา เริ่มปรากฏเนื้อหาและข้อ
ความในลักษณะเดิมๆ กลับเข้ามาในโลกออนไลน์กันมากขึ้น
“ทางเฟซบุ๊กค่อนข้างจะมีมากกว่าที่เป็นเว็บไซต์ เพราะจัดทำได้ง่าย สะดวก ทำได้อย่างรวด
เร็ว เมื่อถูกปิดก็เปิดใหม่ได้ทันที ขณะนี้ทางกลุ่มก็ยังติดตามกลุ่มเหล่านี้อยู่ แต่ไม่ได้ดำเนินการแบบเปิดเผย
เหมือนที่ผ่านมา เมื่อพบเห็นก็จะดำเนินการแจ้งเรื่องไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทันที” หนึ่งในทีมงานที่ติด
ตามเว็บไซต์หมิ่นสถาบันฯ กล่าว
พบว่า มีการดำเนินงาน 2 รูปแบบผ่านทางเฟซบุ๊ก คือดำเนินการในนามบุคคลและทำแบบ
กลุ่มเปิด ทั้ง 2 รูปแบบจะมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกัน เช่น คนที่ดำเนินการในนามบุคคลอาจเข้ามาจัดทำ
เฟซบุ๊กแบบกลุ่มเปิด จากนั้นก็จะมีแนวร่วมเข้ามาขยายผล
เดิมชื่อในการตั้ง อาจเป็นชื่อที่จงใจตั้งขึ้นด้วยถ้อยคำรุนแรง ซึ่งเป็นศัพท์ที่รู้กันในแวดวงของคนเหล่านี้ แต่
ในปัจจุบันจะมีการตั้งชื่อเดียวกับชื่อที่ใช้กันทั่วไป เพื่อดึงให้คนเข้ามากด Like เพื่อเข้าร่วมกิจกรรมหรือ
เข้ามาแสดงความเห็น จากนั้นก็เริ่มแสดงตัวทั้งถ้อยคำและภาพตัดต่อ เพื่อยั่วยุให้คนที่เข้ามาด้วยเจตนาบริสุทธิ์
เข้ามาตอบโต้ แค่นี้ก็ถือว่าพวกเขาบรรลุเป้าหมาย เริ่มกลับเข้ามาเปิดแนวรุกนี้อีกครั้งในระยะนี้
ศูนย์ปฏิบัติการความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ เพื่อปกป้องสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ กระทรวง
ICT กล่าวว่า คนกลุ่มนี้ก็ไม่ต่างกับคนโรคจิตที่ต้องการเรียกร้องความสนใจ คือ ตั้งใจทำเฟซบุ๊กในลักษณะ
ขุดบ่อล่อปลา ส่วนหนึ่งเพื่อต้องการเผยแพร่แนวคิดของตัวเองออกไปสู่สังคม และพวกเขาจะสนุกกับการตอบ
โต้กับฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำดังกล่าว ในขณะเดียวกันพวกเขาก็จะอาศัยเฟซบุ๊กที่เป็นกลุ่มเปิดที่ไม่จำ
เป็นต้องกด Like ก็แสดงความคิดเห็นได้ เข้ามาดักเอาข้อมูลและชื่อของคนที่เข้ามาต่อต้านไป
โดยธรรมชาติแล้วคนที่เล่นเฟซบุ๊กทั่วไปมีเจตนาบริสุทธิ์ มักจะใส่ข้อมูลจริงของผู้ลงทะเบียนไป เพราะช่อง
ทางหลักของพวกเขา คือ เพื่อติดต่อสื่อสารกับเพื่อนฝูงหรือเพื่อทำงาน ดังนั้นเมื่อเข้าไปตอบโต้คนกลุ่มที่
กระทำการหมิ่นสถาบันฯ ก็จะกลายเป็นเหยื่อของคนเหล่านี้ จะมีการนำเอาชื่อ รูปภาพ หรือประวัติต่างๆ ของ
คนที่เข้าไปตอบโต้ไปใช้ประโยชน์ด้านอื่น
ในโลกของสังคมออนไลน์ ชื่อของบุคคลที่นำมากระทำการหมิ่นสถาบันฯ อาจเป็นชื่อผู้ที่
ดำเนินการเอง ซึ่งส่วนใหญ่จะไม่ใช้ชื่อจริง ส่วนที่อาจเห็นว่ามีหลายคนเข้ามากด Like หรือแสดงความคิด
เห็นไปในทางเดียวกับเนื้อหาใน Page ก็ตอบยากเช่นกันว่าเป็นคนอื่นด้วยหรือไม่ เพราะเจ้าของ Page
เพียงคนเดียวอาจจะตั้งชื่อไว้หลายๆ ชื่อแล้วเข้ามาปั่นกระทู้
“ที่น่ากลัวคือกลุ่มคนเหล่านี้จะนำเอาชื่อและข้อมูล รูปภาพของคนที่เข้าไปตอบโต้ ไปปลอมหรือสร้างตัวตน
ใหม่ขึ้นมาแล้วนำไปแอบอ้างใช้กระทำการหมิ่นแทน ส่วนหนึ่งเป็นการใส่ร้ายฝ่ายตรงข้าม อีกส่วนหนึ่งเพื่อ
ป้องกันตัวเอง โดยเอาชื่อคนอื่นมาดำเนินการแทน”
ที่ผ่านมามีหลายครั้งที่เจ้าหน้าที่ตำรวจไปจับกุม ดำเนินคดีกับเฟซบุ๊กที่หมิ่นสถาบันฯ แต่คนที่
เจ้าหน้าที่ไปเชิญตัวมา จำนวนไม่น้อยคือกลุ่มคนที่เข้าไปตอบโต้เฟซบุ๊กที่หมิ่นสถาบันฯ เพราะถูกนำเอา
ข้อมูลไปปลอม ต้องใช้เวลาตรวจสอบที่นานขึ้น ผู้กระทำผิดจริงอาจไหวตัวได้ทัน
ส่วนการดำเนินคดีกับเว็บไซต์หรือเฟซบุ๊กที่หมิ่นสถาบันฯ ว่า ได้ดำเนินการอย่างจริงจังหรือไม่ เพราะที่ผ่าน
มาเห็นเรื่องดังกล่าวเงียบหายไป ได้รับคำตอบว่า ทางหน่วยงานเราได้รับการแจ้งจากภาคประชาชนให้เข้าไป
ตรวจสอบ ดำเนินคดีกับบุคคลที่กระทำการหมิ่นสถาบันฯ บนสังคมออนไลน์ตลอด มากบ้างน้อยบ้างตาม
กระแสในแต่ละช่วง
เมื่อรับแจ้งแล้วก็ต้องดำเนินการตรวจสอบข้อมูลดังกล่าว และต้องประสานงานกับส่วนงานอื่นที่เกี่ยวข้อง
เพื่อดำเนินการปิดหน้า Page และตามตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ แน่นอนว่าขั้นตอนเหล่านี้ต้องใช้เวลา
ระดับหนึ่ง
ส่วนการดำเนินการปิด Page ที่หมิ่นสถาบันฯ นั้น เราปิดมาโดยตลอด แต่อาจจะดูเหมือน
ไม่ปิด เพราะคนเหล่านี้เมื่อถูกปิดแล้วจะเปิดใหม่ ใช้ชื่อเดิม รูปภาพเดิมๆ แต่ถ้าสังเกตให้ดีจะพบว่าชื่อเดิม
เหล่านั้น อาจจะมี URL ต่างไปจากเดิม
ในด้านการจับกุมดำเนินคดีมีโดยตลอด แต่เรื่องดังกล่าวอาจไม่เป็นที่เปิดเผยต่อสาธารณะ
มากนัก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะกลุ่มที่คอยตรวจสอบเรื่องนี้อยู่เริ่มเป็นมืออาชีพมากขึ้น คือไม่กระจายข่าวหรือ
เสียบประจานเหมือนก่อน แต่จะใช้วิธีการแจ้งมาที่หน่วยงานรัฐแทน จึงทำให้ใครที่คอยติดตามการทำงาน
ของกลุ่มหมิ่นสถาบันฯ อาจไม่ทราบข้อมูลเหมือนก่อน
วิธีการนี้ค่อนข้างได้ผล เพราะคนไม่แตกตื่น อีกทั้งคนที่กระทำการหมิ่นสถาบันฯ ก็เริ่มไม่สนุกเพราะไม่มีใคร
เข้าไปตอบโต้ การดำเนินคดีก็ทำได้ง่ายขึ้น
ที่สำคัญกว่านั้นคือคดีความดังกล่าว ทางเราได้รับการร้องขอจากศาลว่าไม่ควรนำเอาเรื่องคดีความเหล่านี้ไป
เผยแพร่ต่อสาธารณะ เพราะเป็นการไม่บังควรและอาจเป็นการระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท
เท่าที่เราตั้งข้อสังเกตจะพบว่ากลุ่มที่เข้ามากระทำการหมิ่นสถาบันฯ เหล่านี้ มักจะเข้ามามากในช่วงที่
สถานการณ์ทางการเมืองกำลังขับเคี่ยวกันอย่างเข้มข้น แต่ถ้าทุกอย่างเข้าสู่ภาวะปกติกลุ่มเหล่านี้ก็จะลด
บทบาทตัวเองลง และถ้าไม่มีใครเข้าไปตอบโต้ด้วยพวกนี้ก็จะยุติบทบาทตัวเองลง
ก่อนหน้านี้มีการเคลื่อนไหวของอาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทั้งนายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุลและกลุ่มนิติ
ราษฎร์ มีตัวบุคคลอย่างนายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ ถึงเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 112 ดังนั้นการดำเนิน
การทางโลกออนไลน์จึงชะลอไป เมื่อรัฐบาลแสดงท่าทีไม่เห็นด้วยในเรื่องนี้ ประกอบกับกลุ่มนิติราษฎร์เริ่ม
แผ่วลง กลุ่มนี้จึงกลับมาใช้แนวทางเดิมขับเคลื่อนอีกครั้ง
แหล่งข่าวจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) กล่าวว่า การตรวจสอบหรือดำเนินคดีกับกลุ่มหมิ่นสถาบันฯ
ก็ดำเนินการไปตามขั้นตอน แต่ได้มีการเปลี่ยนแปลงตัวบุคคลที่รับผิดชอบคดีนี้จากเดิมที่เป็นพันตำรวจเอก
ญาณพล ยั่งยืน ซึ่งเป็นผู้ที่รู้เรื่องนี้ดีและติดตามเรื่องนี้มาโดยตลอด มาเป็น พันตำรวจเอกประเวศน์ มูลประมุข
รับผิดชอบแทนและยังทำคดีสลายการชุมนุม 98 ศพด้วย ขณะที่งานหลักของดีเอสไอตอนนี้มุ่งไปที่การตรวจ
สอบการสลายการชุมนุมของคนเสื้อแดงในสมัยรัฐบาลประชาธิปัตย์
“คดีเหล่านี้ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายฝ่ายทั้งจากไอซีที DSI ตำรวจท้องที่ หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
ดำเนินการล่าช้า ความคืบหน้าของคดีก็จะช้าตามไปด้วย และจะทำให้กลุ่มที่กระทำผิดได้ใจเปิดเฟซบุ๊กโจมตี
สถาบันฯ มากขึ้นเรื่อยๆ”
ที่ผ่านมาการดำเนินการอย่างเข้มข้นกับกลุ่มที่ดำเนินการหมิ่นสถาบันฯ ในช่วงรัฐบาลชุดก่อน ซึ่งส่วนใหญ่ผู้
กระทำผิดจะเชื่อมโยงกับกลุ่มคนเสื้อแดง เมื่อเปลี่ยนมาเป็นรัฐบาลปัจจุบันที่คนเสื้อแดงส่วนใหญ่เลือกมา
การดำเนินคดีเกี่ยวกับเรื่องนี้จะทำได้จริงจังหรือไม่ คงต้องให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นผู้พิสูจน์