ASTVผู้จัดการรายวัน- “บิ๊กโอ๋” แจงสภาฯไม่มีผู้หญิงบงการ ย้าย ปลัดกห. ย้ำคำสั่งขอช่วยราชการ ขอ 3 นายพลทำถูกต้องกฎหมาย “ฝ่ายค้าน” อัดพฤติกรรมแทรกแซง ถึงคราวทหารเปลี่ยนยุค เป็นฆ่าน้อง ฟ้องนาย ขายเพื่อน “รมว.กลาโหม” รับเฉยคนให้ดูแลมีเยอะแยะ การฝากมี 2 แบบคือ ฝากเพื่อนฝูงที่รู้จักกัน และกลัวว่า จะหลุดเลยฝากให้ดูให้ “เจ้ากรมเสมียนตรา” อ้างถูกผู้ใหญ่กดดัน ติดร่างแห
วานนี้(30 ส.ค.55) ที่รัฐสภา นายแก้วภราดัย สส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กระทู้ถามสดเรื่อง การโยกย้ายข้าราชการทหารภายในกระทรวงกลาโหม ของนาย ถามพล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหมว่า การออกคำสั่งให้ พล.อ.เสถียร เพิ่มทองอินทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม พล.อ.ชาตรี ทัตติรองปลัดกลาโหม และ พล.อ.พิณภาษณ์ สริวัฒน์ เจ้ากรมเสมียนตรา ไปช่วยราชการสำนักงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีข้อสงสัยว่าใช้อำนาจตามมาตราใดเพราะตามพ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ.2551กำหนดให้การโยกย้ายนายทหารระดับพลตรีขึ้นไปเป็นอำนาจของคณะกรรมการจำนวน 6 คนประกอบด้วยผู้นำเหล่าทัพ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ปลัดกระทรวงกลาโหม และ รมว.กลาโหม
แต่เหตุใดการออกคำสั่งครั้งนี้พล.อ.อ.สุกำพล ถึงได้ใช้อำนาจแต่เพียงผู้เดียวในการย้ายนายทหารระดับนายพลถึง 3 คน มีเหตุผลอะไรที่สั่งให้นายทหารทั้ง3 คนเข้ามาช่วยราชการในสำนักงานรัฐมนตรีกลาโหม และเหลือตำแหน่งพล.อ.ว่างอีกกี่ตำแหน่งสำหรับการเข้าไปช่วยงานในสำนักงานรัฐมนตรีกลาโหม
ด้านพล.อ.อ.สุกำพล กล่าวว่า การออกคำสั่งครั้งนี้เป็นไปตามพ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ.2551 มาตรา24บัญญัติไว้ว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นผู้บังคับบัญชารับผิดชอบในการปฏิบัติราชการของกระทรวงกลาโหม มาตรา 5ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ และให้มีอำนาจออกกฎกระทรวง ข้อบังคับ ระเบียบ ประกาศ และคำสั่งเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ รวมทั้งมาตรา 9ระบุว่า ราชการของกระทรวงกลาโหมให้เป็นไปตามกฎหมาย กฎ ข้อบังคับ ระเบียบแบบแผน ประกาศ และคำสั่ง ดังนั้น การออกคำสั่งดังกล่าวถูกต้องและให้มาช่วยราชการได้ตามกฎหมายทุกประการ
ส่วนนายทหารทั้ง 3คนไม่ถูกโยกย้ายแต่เป็นการสั่งไปช่วยราชการเพื่อปฏิบัติภารกิจของกระทรวงกลาโหมเป็นการภายใน ที่สำคัญการโยกย้ายนายทหารขณะนี้ยังไม่เสร็จสิ้นมีการประชุมแค่ครั้งเดียวโดยยังไม่มีมติใดๆออกมา และส่วนตัวไม่ได้สั่งให้นายพลคนหนึ่งมาเป็นปลัดกระทรวงกลาโหมคนใหม่ เพราะกฎหมายไม่ได้ให้อำนาจเอาไว้และมีเสียงเดียวในคณะกรรมการชุดนี้เท่านั้น ขณะที่ การมีคำสั่งให้นายทหารระดับพล.อ.มาช่วยราชการในสำนักงานรัฐมนตรีไม่ได้มีอัตราจำกัดเอาไว้ โดยถ้าเห็นใครมีความเหมาะสมก็สามารถมีคำสั่งให้มาช่วยราชการในส่วนนี้ได้
"ผมต้องมีเหตุผลถ้าไม่มีเหตุผลผมก็ไม่สามารถตอบสังคมได้ ไม่สามารถตอบสื่อมวลชนได้ว่าเอามาทำไม" พล.อ.อ.สุกำพล กล่าว
**ยันย้าย 3 นายพลทำถูกต้องกฎหมาย
นายวิทยา อภิปรายซักถามอีกว่า จารีตปฏิบัติของกองทัพเป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์กว่ากฎหมาย การพิจารณาบุคลากรกองทัพตั้งแต่ในอดีตเป็นต้นมายึดหลักความรู้ความสามารถ ความอาวุโส และความเหมาะสม โดยนายทหารที่ถูกโยกย้ายในรอบนี้เป็นหนึ่งในบุคคลที่คาดหมายว่าจะได้เป็นปลัดกระทรวงกลาโหมคนใหม่นั้นก็มีความอาวุโสและความเหมาะสมมากกว่านายทหารที่รมว.กลาโหมเตรียมเสนอให้รับตำแหน่ง จึงสงสัยว่ามีเหตุผลอะไรหรือเป็นเพราะพล.อ.เสถียรไม่สนองงานรมว.กลาโหมเรื่องปลัดกระทรวงกลาโหมคนใหม่ใช่หรือไม่ เมื่อปลัดกระทรวงกลาโหมเห็นว่าคำสั่งเป็นมิชอบด้วยจารีตทหาร ถามว่าจะร้องเรียนกับใคร รัฐมนตรีใหญ่สุดในกระทรวง ใหญ่กว่ารัฐมนตรีมีคนเดียว คือ นายกรัฐมนตรี จึงไม่มีเหตุผลที่จะไปมีคำสั่งย้ายปลัดกระทรวงกลาโหม
ที่สำคัญตอนนี้มีข้อสงสัยในเชิงขัดแย้งอีกว่าพล.อ.เสถียรยังเป็นปลัดกระทรวงกลาโหมหรือไม่หลังจากรมว.กลาโหมบอกว่าไม่เป็นแต่ผู้บัญชาการทหารบกบอกว่ายังเป็นอยู่ ทำให้เป็นปัญหาความขัดแย้งทางกฎหมายและถ้าเหตุผลการคำสั่งย้ายมาจากเหตุผลเรื่องการเสนอชื่อปลัดกระทรวงกลาโหมคนใหม่เท่ากับว่ารมว.กลาโหมได้ใช้อำนาจหน้าที่แทรกแซงกระทรวงกลาโหมด้วยการตั้งรักษาการปลัดกระทรวงกลาโหมเพื่อไปเป็นหนึ่งในหกคณะกรรมการเพื่อพิจารณาแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารตามพ.ร.บ.กลาโหม
พล.อ.อ.สุกำพล กล่าวว่า การมีคำสั่งย้ายกระทำไปด้วยเหตุผลไม่ได้เป็นตามที่ฝ่ายค้านกล่าวหา ยืนยันว่าการโยกย้ายนายทหารเป็นความลับ ซึ่งการที่เอาเรื่องนี้ออกไปพูดในที่สาธารณะถือเป็นความผิด และรมว.กลาโหมไม่มีอำนาจในการเปลี่ยนการเสนอชื่อนายทหารคนมาเป็นปลัดกระทรวงกลาโหม เพราะต้องเป็นมติของที่ประชุมคณะกรรมการตามพ.ร.บ.กลาโหม ส่วนเรื่องการแต่งตั้งรักษาการณ์ปลัดกระทรวงโหมนั้นรมว.กลาโหมมีอำนาจตามพ.ร.บ.กลาโหม ซึ่งคนในกระทรวงกลาโหมก็ให้การยอมรับ
**ไม่มีผู้หญิงบงการย้ายปลัดกห.
นายวิทยา ถามคำถามสุดท้ายว่า ว่า คำสั่งย้ายรอบนี้ไม่ต่างอะไรกับการเปิดประตูส่งสัญญาณแทรกแซงล้วงลูกข้าราชการในกระทรวงกลาโหมและกองทัพ ทุกอย่างจะไม่จบลงเพียงแค่การย้ายนายทหาร 3 คนนี้ ซึ่งต้องการทราบว่าได้หารือกับน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี หรือไม่ และอยากให้ชี้แจงด้วยนายทหารที่รมว.กลาโหมสนับสนุนให้เป็นปลัดกระทรวงกลาโหมคนใหม่มีสายสัมพันธ์กับนักการเมืองและมาจากคำสั่งของสุภาพสตรีคนหนึ่งใช่หรือไม่
"ท่านกลัวเก้าอี้จะหลุดเลยต้องรีบสนองเพราะหวังจะนั่งในตำแหน่ง อยากบอกให้รู้ว่านักการเมืองอย่างเรามาแล้วก็ไปได้ ไม่ใช่สมบัติติดตัวไปจนตายแต่หน้าตาและศักดิ์ศรีเป็นเรื่องที่ต้องรักษาเอาไว้"
ด้านรมว.กลาโหมชี้แจงว่า เมื่อตนดำเนินการแล้วได้แจ้งให้นายกฯทราบแต่ก่อนการดำเนินการผมไม่ได้ติดต่อท่านเลยเพราะเป็นอำนาจโดยตรงเป็นเรื่องของกระทรวงกลาโหม ตนมีความรับผิดชอบพอ
“ท่านกำลังกล่าวหาผมครับ ผมเป็นตัวของตัวเองพอสมควร ผมไม่กลัวเก้าอี้หลุด ท่านอย่าพูดในสิ่งที่ไม่ดีอย่างนี้ ไม่ใช่คำถามที่ดีเลย ผมทำด้วยความถูกต้อง ไม่มีใครหรอกครับจะมาสั่งให้ทำเรื่องไม่ถูกต้องอย่างนี้ ไปถามผู้บัญชาการเหล่าทัพดูว่าผมทำถูกหรือไม่ เมื่อวานพล.อ.พิณภาษณ์ มาขอโทษผมและบอกว่าผมทำถูกแล้ว ดังนั้น อย่าพูดในสิ่งที่ไม่เข้าท่า ถ้าการโยกย้ายแน่นอนว่าต้องพิจารณาในคณะกรรมการตามพ.ร.บ.กลาโหม แต่นี่เป็นเพียงคำสั่งช่วยราชการ ขอร้องไปอ่านกฎหมายให้แตกก่อน" พล.อ.อ.สุกำพลกล่าว
**ยุค“ฆ่าน้อง ฟ้องนาย ขายเพื่อน”
ทำให้นายวิทยา อภิปรายในตอนท้ายว่า กรณีที่เจ้ากรมเสมียนตรา เข้าไปขอขมานั้น ทราบหรือไม่ว่าได้ทำให้จารีตของทหารเสียหาย เดี๋ยวนี้ปรัชญาของทหารที่ว่า ไม่ฆ่าน้อง ไม่ฟ้องนาย ไม่ขายเพื่อน ก็ต้องเปลี่ยนเป็นว่า ยุคฆ่าพี่ ฟ้องนายและขายเพื่อน..
**“บิ๊กโอ๋”รับเฉยการฝากมี 2 อย่าง
พล.อ.อ.สุกำพล ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่พล.อ.พิณภาษณ์ เข้าขอขมาว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ตนในฐานะเป็นเจ้ากระทรวงกลาโหมไม่อยากพูดมาก เพราะเป็นเรื่องที่ไม่ดี ที่ผ่านมาตนไม่อยากให้สัมภาษณ์เรื่องนี้มาก แน่นอนว่า เมื่อเจ้ากรมเสมียนตรามาหาตนเป็นเรื่องที่ดี เพราะเป็นพี่น้องกัน ขออย่าได้ถามต่อเรื่องนี้เลย ขอจบ ทั้งนี้คนที่เขารู้ว่าอะไรเป็นอะไร ตนก็ให้อภัย เพราะไม่ใช่พี่ที่โหดเหี้ยมอยู่แล้ว และตนเข้าใจ ส่วนทางพล.อ.เสถียร และพล.อ.ชาตรี ที่ถูกสั่งย้ายไปช่วยราชการสำนักงานรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมเช่นกันนั้น ยังไม่ได้รับการติดต่อว่า จะเข้ามาพบแต่อย่างใด
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่า "เจ๊ ด." ผู้มีอิทธิพลทางการเมืองในภาคเหนือเป็นผู้ผลักดันพล.อ.ทนงศักดิ์ อภิรักษ์โยธิน ผู้ช่วยผบ.ทบ.ขึ้นมาเป็นปลัดกระทรวงกลาโหม พล.อ.อ.สุกำพล กล่าวว่า พวกนี้รู้ดี ถ้าไม่รู้ต้องมาถามตน อย่าพูดไป พอเป็นข่าวก็มันปากกันไป ไม่ดีหรอก เพราะทำให้คนที่มีชื่อเสียหายเป็นการพูดเอามัน เพื่อให้เป็นข่าวขึ้นมา
เมื่อถามว่า ยืนยันหรือไม่ว่า ไม่มีการเมืองวิ่งเต้นฝากทหารเข้ามาในการปรับย้ายนายทหารครั้งนี้ พล.อ.อ.สุกำพล กล่าวว่า คนที่ให้ดูแลมีเยอะแยะ เพื่อนฝูงก็มี แต่ไม่ได้อยู่ที่ตน เพราะอยู่ที่คณะกรรมการว่า จะทำอย่างไร เรามีความยุติธรรม ไม่ใช่ว่า เราจะเอาหมดก็ไม่ได้ การฝากมี 2 อย่าง คือ ฝากเพื่อนฝูงที่รู้จักกัน และกลัวว่า จะหลุดเลยฝากให้ดูให้ อย่างไรก็ตามเรามีขั้นตอน กติกาชัดเจนในการโยกย้าย ต้องทำตามนั้น เราไปพริ้วไม่ได้ เพราะไม่ใช่ว่า ตนจะสั่งได้
**ให้อภัยพร้อมร่วมงานศพลูกชาตรี
อย่างไรก็ตามเมื่อถามถึงกรณีที่บุตรชายของพล.อ.ชาตรี ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตที่แคนาดา พล.อ.อ.สุกำพล กล่าวว่า คิดว่า วันนี้เขาคงยุ่งอยู่ ซึ่งเขาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาตน และเมื่อเขาเป็นนายทหารระดับสูง ดังนั้นถ้ามีงานศพตนก็ต้องไป เพราะตนเป็นรุ่นพี่ของเขา เรื่องนี้ต้องแยกเรื่องกัน
เมื่อถามถึงความคืบหน้าในการจัดทำบัญชีรายชื่อโยกย้ายนายทหาร พล.อ.อ.สุกำพล กล่าวว่า จะมีการประชุมคณะกรรมการปรับย้ายในสัปดาห์หน้า เพื่อให้เป็นไปตามกติกา เมื่อถามว่า มั่นใจหรือไม่ที่จะต้องไปตอบกระทู้สดในสภาเกี่ยวกับการคำสั่งย้ายปลัดกระทรวงกลาโหมไปช่วยราชการ พล.อ.อ.สุกำพลกล่าวว่า มั่นใจอยู่แล้ว ไม่มั่นใจก็ต้องไป
** เจ้ากรมเสมียนตราอ้างถูกผู้ใหญ่กดดัน
อีกด้านหนึ่งมีรายงานว่า พล.อ.พิณภาษณ์ ยอมรับว่า ถูกดันต้องร่วมทำหนังสือ โดยเหมือนกับตกร่างแห่ ขณะที่ยอมรับว่า รมว.กลาโหม ได้ทำถูกต้องแล้ว ในฐานะที่เป็นผู้บังคับบัญชา และเป็นรุ่นพี่ที่เป็นสุภาพบุรุษใจดี ทั้งนี้ที่ร่วมกระทำไปเพราะถูกกดดันจากผู้ใหญ่ และมีงานเร่งด่วนกระชั้นมาก จึงขาดความรอบคอบในการร่างและตรวจเอกสาร
วานนี้(30 ส.ค.55) ที่รัฐสภา นายแก้วภราดัย สส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กระทู้ถามสดเรื่อง การโยกย้ายข้าราชการทหารภายในกระทรวงกลาโหม ของนาย ถามพล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหมว่า การออกคำสั่งให้ พล.อ.เสถียร เพิ่มทองอินทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม พล.อ.ชาตรี ทัตติรองปลัดกลาโหม และ พล.อ.พิณภาษณ์ สริวัฒน์ เจ้ากรมเสมียนตรา ไปช่วยราชการสำนักงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีข้อสงสัยว่าใช้อำนาจตามมาตราใดเพราะตามพ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ.2551กำหนดให้การโยกย้ายนายทหารระดับพลตรีขึ้นไปเป็นอำนาจของคณะกรรมการจำนวน 6 คนประกอบด้วยผู้นำเหล่าทัพ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ปลัดกระทรวงกลาโหม และ รมว.กลาโหม
แต่เหตุใดการออกคำสั่งครั้งนี้พล.อ.อ.สุกำพล ถึงได้ใช้อำนาจแต่เพียงผู้เดียวในการย้ายนายทหารระดับนายพลถึง 3 คน มีเหตุผลอะไรที่สั่งให้นายทหารทั้ง3 คนเข้ามาช่วยราชการในสำนักงานรัฐมนตรีกลาโหม และเหลือตำแหน่งพล.อ.ว่างอีกกี่ตำแหน่งสำหรับการเข้าไปช่วยงานในสำนักงานรัฐมนตรีกลาโหม
ด้านพล.อ.อ.สุกำพล กล่าวว่า การออกคำสั่งครั้งนี้เป็นไปตามพ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ.2551 มาตรา24บัญญัติไว้ว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นผู้บังคับบัญชารับผิดชอบในการปฏิบัติราชการของกระทรวงกลาโหม มาตรา 5ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ และให้มีอำนาจออกกฎกระทรวง ข้อบังคับ ระเบียบ ประกาศ และคำสั่งเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ รวมทั้งมาตรา 9ระบุว่า ราชการของกระทรวงกลาโหมให้เป็นไปตามกฎหมาย กฎ ข้อบังคับ ระเบียบแบบแผน ประกาศ และคำสั่ง ดังนั้น การออกคำสั่งดังกล่าวถูกต้องและให้มาช่วยราชการได้ตามกฎหมายทุกประการ
ส่วนนายทหารทั้ง 3คนไม่ถูกโยกย้ายแต่เป็นการสั่งไปช่วยราชการเพื่อปฏิบัติภารกิจของกระทรวงกลาโหมเป็นการภายใน ที่สำคัญการโยกย้ายนายทหารขณะนี้ยังไม่เสร็จสิ้นมีการประชุมแค่ครั้งเดียวโดยยังไม่มีมติใดๆออกมา และส่วนตัวไม่ได้สั่งให้นายพลคนหนึ่งมาเป็นปลัดกระทรวงกลาโหมคนใหม่ เพราะกฎหมายไม่ได้ให้อำนาจเอาไว้และมีเสียงเดียวในคณะกรรมการชุดนี้เท่านั้น ขณะที่ การมีคำสั่งให้นายทหารระดับพล.อ.มาช่วยราชการในสำนักงานรัฐมนตรีไม่ได้มีอัตราจำกัดเอาไว้ โดยถ้าเห็นใครมีความเหมาะสมก็สามารถมีคำสั่งให้มาช่วยราชการในส่วนนี้ได้
"ผมต้องมีเหตุผลถ้าไม่มีเหตุผลผมก็ไม่สามารถตอบสังคมได้ ไม่สามารถตอบสื่อมวลชนได้ว่าเอามาทำไม" พล.อ.อ.สุกำพล กล่าว
**ยันย้าย 3 นายพลทำถูกต้องกฎหมาย
นายวิทยา อภิปรายซักถามอีกว่า จารีตปฏิบัติของกองทัพเป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์กว่ากฎหมาย การพิจารณาบุคลากรกองทัพตั้งแต่ในอดีตเป็นต้นมายึดหลักความรู้ความสามารถ ความอาวุโส และความเหมาะสม โดยนายทหารที่ถูกโยกย้ายในรอบนี้เป็นหนึ่งในบุคคลที่คาดหมายว่าจะได้เป็นปลัดกระทรวงกลาโหมคนใหม่นั้นก็มีความอาวุโสและความเหมาะสมมากกว่านายทหารที่รมว.กลาโหมเตรียมเสนอให้รับตำแหน่ง จึงสงสัยว่ามีเหตุผลอะไรหรือเป็นเพราะพล.อ.เสถียรไม่สนองงานรมว.กลาโหมเรื่องปลัดกระทรวงกลาโหมคนใหม่ใช่หรือไม่ เมื่อปลัดกระทรวงกลาโหมเห็นว่าคำสั่งเป็นมิชอบด้วยจารีตทหาร ถามว่าจะร้องเรียนกับใคร รัฐมนตรีใหญ่สุดในกระทรวง ใหญ่กว่ารัฐมนตรีมีคนเดียว คือ นายกรัฐมนตรี จึงไม่มีเหตุผลที่จะไปมีคำสั่งย้ายปลัดกระทรวงกลาโหม
ที่สำคัญตอนนี้มีข้อสงสัยในเชิงขัดแย้งอีกว่าพล.อ.เสถียรยังเป็นปลัดกระทรวงกลาโหมหรือไม่หลังจากรมว.กลาโหมบอกว่าไม่เป็นแต่ผู้บัญชาการทหารบกบอกว่ายังเป็นอยู่ ทำให้เป็นปัญหาความขัดแย้งทางกฎหมายและถ้าเหตุผลการคำสั่งย้ายมาจากเหตุผลเรื่องการเสนอชื่อปลัดกระทรวงกลาโหมคนใหม่เท่ากับว่ารมว.กลาโหมได้ใช้อำนาจหน้าที่แทรกแซงกระทรวงกลาโหมด้วยการตั้งรักษาการปลัดกระทรวงกลาโหมเพื่อไปเป็นหนึ่งในหกคณะกรรมการเพื่อพิจารณาแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารตามพ.ร.บ.กลาโหม
พล.อ.อ.สุกำพล กล่าวว่า การมีคำสั่งย้ายกระทำไปด้วยเหตุผลไม่ได้เป็นตามที่ฝ่ายค้านกล่าวหา ยืนยันว่าการโยกย้ายนายทหารเป็นความลับ ซึ่งการที่เอาเรื่องนี้ออกไปพูดในที่สาธารณะถือเป็นความผิด และรมว.กลาโหมไม่มีอำนาจในการเปลี่ยนการเสนอชื่อนายทหารคนมาเป็นปลัดกระทรวงกลาโหม เพราะต้องเป็นมติของที่ประชุมคณะกรรมการตามพ.ร.บ.กลาโหม ส่วนเรื่องการแต่งตั้งรักษาการณ์ปลัดกระทรวงโหมนั้นรมว.กลาโหมมีอำนาจตามพ.ร.บ.กลาโหม ซึ่งคนในกระทรวงกลาโหมก็ให้การยอมรับ
**ไม่มีผู้หญิงบงการย้ายปลัดกห.
นายวิทยา ถามคำถามสุดท้ายว่า ว่า คำสั่งย้ายรอบนี้ไม่ต่างอะไรกับการเปิดประตูส่งสัญญาณแทรกแซงล้วงลูกข้าราชการในกระทรวงกลาโหมและกองทัพ ทุกอย่างจะไม่จบลงเพียงแค่การย้ายนายทหาร 3 คนนี้ ซึ่งต้องการทราบว่าได้หารือกับน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี หรือไม่ และอยากให้ชี้แจงด้วยนายทหารที่รมว.กลาโหมสนับสนุนให้เป็นปลัดกระทรวงกลาโหมคนใหม่มีสายสัมพันธ์กับนักการเมืองและมาจากคำสั่งของสุภาพสตรีคนหนึ่งใช่หรือไม่
"ท่านกลัวเก้าอี้จะหลุดเลยต้องรีบสนองเพราะหวังจะนั่งในตำแหน่ง อยากบอกให้รู้ว่านักการเมืองอย่างเรามาแล้วก็ไปได้ ไม่ใช่สมบัติติดตัวไปจนตายแต่หน้าตาและศักดิ์ศรีเป็นเรื่องที่ต้องรักษาเอาไว้"
ด้านรมว.กลาโหมชี้แจงว่า เมื่อตนดำเนินการแล้วได้แจ้งให้นายกฯทราบแต่ก่อนการดำเนินการผมไม่ได้ติดต่อท่านเลยเพราะเป็นอำนาจโดยตรงเป็นเรื่องของกระทรวงกลาโหม ตนมีความรับผิดชอบพอ
“ท่านกำลังกล่าวหาผมครับ ผมเป็นตัวของตัวเองพอสมควร ผมไม่กลัวเก้าอี้หลุด ท่านอย่าพูดในสิ่งที่ไม่ดีอย่างนี้ ไม่ใช่คำถามที่ดีเลย ผมทำด้วยความถูกต้อง ไม่มีใครหรอกครับจะมาสั่งให้ทำเรื่องไม่ถูกต้องอย่างนี้ ไปถามผู้บัญชาการเหล่าทัพดูว่าผมทำถูกหรือไม่ เมื่อวานพล.อ.พิณภาษณ์ มาขอโทษผมและบอกว่าผมทำถูกแล้ว ดังนั้น อย่าพูดในสิ่งที่ไม่เข้าท่า ถ้าการโยกย้ายแน่นอนว่าต้องพิจารณาในคณะกรรมการตามพ.ร.บ.กลาโหม แต่นี่เป็นเพียงคำสั่งช่วยราชการ ขอร้องไปอ่านกฎหมายให้แตกก่อน" พล.อ.อ.สุกำพลกล่าว
**ยุค“ฆ่าน้อง ฟ้องนาย ขายเพื่อน”
ทำให้นายวิทยา อภิปรายในตอนท้ายว่า กรณีที่เจ้ากรมเสมียนตรา เข้าไปขอขมานั้น ทราบหรือไม่ว่าได้ทำให้จารีตของทหารเสียหาย เดี๋ยวนี้ปรัชญาของทหารที่ว่า ไม่ฆ่าน้อง ไม่ฟ้องนาย ไม่ขายเพื่อน ก็ต้องเปลี่ยนเป็นว่า ยุคฆ่าพี่ ฟ้องนายและขายเพื่อน..
**“บิ๊กโอ๋”รับเฉยการฝากมี 2 อย่าง
พล.อ.อ.สุกำพล ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่พล.อ.พิณภาษณ์ เข้าขอขมาว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ตนในฐานะเป็นเจ้ากระทรวงกลาโหมไม่อยากพูดมาก เพราะเป็นเรื่องที่ไม่ดี ที่ผ่านมาตนไม่อยากให้สัมภาษณ์เรื่องนี้มาก แน่นอนว่า เมื่อเจ้ากรมเสมียนตรามาหาตนเป็นเรื่องที่ดี เพราะเป็นพี่น้องกัน ขออย่าได้ถามต่อเรื่องนี้เลย ขอจบ ทั้งนี้คนที่เขารู้ว่าอะไรเป็นอะไร ตนก็ให้อภัย เพราะไม่ใช่พี่ที่โหดเหี้ยมอยู่แล้ว และตนเข้าใจ ส่วนทางพล.อ.เสถียร และพล.อ.ชาตรี ที่ถูกสั่งย้ายไปช่วยราชการสำนักงานรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมเช่นกันนั้น ยังไม่ได้รับการติดต่อว่า จะเข้ามาพบแต่อย่างใด
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่า "เจ๊ ด." ผู้มีอิทธิพลทางการเมืองในภาคเหนือเป็นผู้ผลักดันพล.อ.ทนงศักดิ์ อภิรักษ์โยธิน ผู้ช่วยผบ.ทบ.ขึ้นมาเป็นปลัดกระทรวงกลาโหม พล.อ.อ.สุกำพล กล่าวว่า พวกนี้รู้ดี ถ้าไม่รู้ต้องมาถามตน อย่าพูดไป พอเป็นข่าวก็มันปากกันไป ไม่ดีหรอก เพราะทำให้คนที่มีชื่อเสียหายเป็นการพูดเอามัน เพื่อให้เป็นข่าวขึ้นมา
เมื่อถามว่า ยืนยันหรือไม่ว่า ไม่มีการเมืองวิ่งเต้นฝากทหารเข้ามาในการปรับย้ายนายทหารครั้งนี้ พล.อ.อ.สุกำพล กล่าวว่า คนที่ให้ดูแลมีเยอะแยะ เพื่อนฝูงก็มี แต่ไม่ได้อยู่ที่ตน เพราะอยู่ที่คณะกรรมการว่า จะทำอย่างไร เรามีความยุติธรรม ไม่ใช่ว่า เราจะเอาหมดก็ไม่ได้ การฝากมี 2 อย่าง คือ ฝากเพื่อนฝูงที่รู้จักกัน และกลัวว่า จะหลุดเลยฝากให้ดูให้ อย่างไรก็ตามเรามีขั้นตอน กติกาชัดเจนในการโยกย้าย ต้องทำตามนั้น เราไปพริ้วไม่ได้ เพราะไม่ใช่ว่า ตนจะสั่งได้
**ให้อภัยพร้อมร่วมงานศพลูกชาตรี
อย่างไรก็ตามเมื่อถามถึงกรณีที่บุตรชายของพล.อ.ชาตรี ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตที่แคนาดา พล.อ.อ.สุกำพล กล่าวว่า คิดว่า วันนี้เขาคงยุ่งอยู่ ซึ่งเขาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาตน และเมื่อเขาเป็นนายทหารระดับสูง ดังนั้นถ้ามีงานศพตนก็ต้องไป เพราะตนเป็นรุ่นพี่ของเขา เรื่องนี้ต้องแยกเรื่องกัน
เมื่อถามถึงความคืบหน้าในการจัดทำบัญชีรายชื่อโยกย้ายนายทหาร พล.อ.อ.สุกำพล กล่าวว่า จะมีการประชุมคณะกรรมการปรับย้ายในสัปดาห์หน้า เพื่อให้เป็นไปตามกติกา เมื่อถามว่า มั่นใจหรือไม่ที่จะต้องไปตอบกระทู้สดในสภาเกี่ยวกับการคำสั่งย้ายปลัดกระทรวงกลาโหมไปช่วยราชการ พล.อ.อ.สุกำพลกล่าวว่า มั่นใจอยู่แล้ว ไม่มั่นใจก็ต้องไป
** เจ้ากรมเสมียนตราอ้างถูกผู้ใหญ่กดดัน
อีกด้านหนึ่งมีรายงานว่า พล.อ.พิณภาษณ์ ยอมรับว่า ถูกดันต้องร่วมทำหนังสือ โดยเหมือนกับตกร่างแห่ ขณะที่ยอมรับว่า รมว.กลาโหม ได้ทำถูกต้องแล้ว ในฐานะที่เป็นผู้บังคับบัญชา และเป็นรุ่นพี่ที่เป็นสุภาพบุรุษใจดี ทั้งนี้ที่ร่วมกระทำไปเพราะถูกกดดันจากผู้ใหญ่ และมีงานเร่งด่วนกระชั้นมาก จึงขาดความรอบคอบในการร่างและตรวจเอกสาร