xs
xsm
sm
md
lg

“สุกำพล” เสียงแข็งเด้งปลัด กห.ชอบด้วย กม. ปัดรับคำสั่งดันเด็ก “เจ๊ ด.” ผงาด

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต
“สุกำพล” แจงสภาฯ อ้างเด้งปลัด กห.พร้อม 2 พลเอก เข้ากรุชอบด้วยกฎ ระเบียบ ปัดรับใบสั่งเปิดทางดันเด็ก “เจ๊ ด.” ผงาดปลัด กห. พร้อมยืนยันไม่ได้ปรึกษานายกฯ ปู ก่อนออกคำสั่ง ด้านฝ่ายค้านซัดส่งสัญญาณล้วงลูกกองทัพ แทรกแซงโยกย้ายนายทหาร ถึงคราวเปลี่ยนยุค “ฆ่าน้อง ฟ้องนาย ขายเพื่อน”


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร วันนี้ (30 ส.ค.) นายวิทยา แก้วภราดัย ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กระทู้ถามสดเรื่องการโยกย้ายข้าราชการทหารภายในกระทรวงกลาโหม โดยถาม พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหมว่า การออกคำสั่งให้ พล.อ.เสถียร เพิ่มทองอินทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม พล.อ.ชาตรี ทัตติ รองปลัดกลาโหม และ พล.อ.พิณภาษณ์ สริวัฒน์ เจ้ากรมเสมียนตรา ไปช่วยราชการสำนักงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีข้อสงสัยว่าใช้อำนาจตามมาตราใดเพราะตาม พ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ. 2551 กำหนดให้การโยกย้ายนายทหารระดับพลตรีขึ้นไปเป็นอำนาจของคณะกรรมการจำนวน 6 คนประกอบด้วยผู้นำเหล่าทัพ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ปลัดกระทรวงกลาโหม และ รมว.กลาโหม แต่เหตุใดการออกคำสั่งครั้งนี้ พล.อ.อ.สุกำพลถึงได้ใช้อำนาจแต่เพียงผู้เดียวในการย้ายนายทหารระดับนายพลถึง 3 นาย มีเหตุผลอะไรที่สั่งให้นายทหารทั้ง 3 นายเข้ามาช่วยราชการในสำนักงานรัฐมนตรีกลาโหม และเหลือตำแหน่งพลเอกว่างอีกกี่ตำแหน่งสำหรับการเข้าไปช่วยงานในสำนักงานรัฐมนตรีกลาโหม

พล.อ.อ.สุกำพลชี้แจงว่า การออกคำสั่งครั้งนี้เป็นไปตาม พ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ. 2551 มาตรา 24 บัญญัติไว้ว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นผู้บังคับบัญชารับผิดชอบในการปฏิบัติราชการของกระทรวงกลาโหม มาตรา 5 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ และให้มีอำนาจออกกฎกระทรวง ข้อบังคับ ระเบียบ ประกาศ และคำสั่งเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ รวมทั้งมาตรา 9 ระบุว่า ราชการของกระทรวงกลาโหมให้เป็นไปตามกฎหมาย กฎ ข้อบังคับ ระเบียบแบบแผน ประกาศ และคำสั่ง ดังนั้น การออกคำสั่งดังกล่าวถูกต้องและให้มาช่วยราชการได้ตามกฎหมายทุกประการ

ส่วนนายทหารทั้ง 3 นายไม่ได้ถูกโยกย้าย แต่เป็นการสั่งไปช่วยราชการเพื่อปฏิบัติภารกิจของกระทรวงกลาโหมเป็นการภายใน ที่สำคัญการโยกย้ายนายทหารขณะนี้ยังไม่เสร็จสิ้นมีการประชุมแค่ครั้งเดียวโดยยังไม่มีมติใดๆ ออกมา และส่วนตัวไม่ได้สั่งให้นายพลคนหนึ่งมาเป็นปลัดกระทรวงกลาโหมคนใหม่ เพราะกฎหมายไม่ได้ให้อำนาจเอาไว้และมีเสียงเดียวในคณะกรรมการชุดนี้เท่านั้น ขณะที่ การมีคำสั่งให้นายทหารระดับ พล.อ.มาช่วยราชการในสำนักงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ไม่ได้มีอัตราจำกัดเอาไว้ โดยถ้าเห็นใครมีความเหมาะสมก็สามารถมีคำสั่งให้มาช่วยราชการในส่วนนี้ได้

“ผมต้องมีเหตุผล ถ้าไม่มีเหตุผลผมก็ไม่สามารถตอบสังคมได้ ไม่สามารถตอบสื่อมวลชนได้ว่าเอามาทำไม” พล.อ.อ.สุกำพลกล่าว

นายวิทยาซักถามอีกว่า จารีตปฏิบัติของกองทัพเป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์กว่ากฎหมาย การพิจารณาบุคลากรกองทัพตั้งแต่ในอดีตเป็นต้นมายึดหลักความรู้ความสามารถ ความอาวุโส และความเหมาะสม โดยนายทหารที่ถูกโยกย้ายในรอบนี้เป็นหนึ่งในบุคคลที่คาดหมายว่าจะได้เป็นปลัดกระทรวงกลาโหมคนใหม่นั้นก็มีความอาวุโสและความเหมาะสมมากกว่านายทหารที่ รมว.กลาโหมเตรียมเสนอให้รับตำแหน่ง จึงสงสัยว่ามีเหตุผลอะไรหรือเป็นเพราะ พล.อ.เสถียรไม่สนองงาน รมว.กลาโหม เรื่องการแต่งตั้งปลัดกระทรวงกลาโหมคนใหม่ใช่หรือไม่ เมื่อปลัดกระทรวงกลาโหมเห็นว่าคำสั่งมิชอบด้วยจารีตทหาร ถามว่าจะร้องเรียนกับใคร รัฐมนตรีใหญ่สุดในกระทรวง ใหญ่กว่ารัฐมนตรีมีคนเดียว คือ นายกรัฐมนตรี จึงไม่มีเหตุผลที่จะไปมีคำสั่งย้ายปลัดกระทรวงกลาโหม

ที่สำคัญตอนนี้มีข้อสงสัยในเชิงขัดแย้งอีกว่า พล.อ.เสถียรยังเป็นปลัดกระทรวงกลาโหมหรือไม่ หลังจาก รมว.กลาโหมบอกว่าไม่เป็น แต่ผู้บัญชาการทหารบกบอกว่ายังเป็นอยู่ ทำให้เป็นปัญหาความขัดแย้งทางกฎหมายและถ้าเหตุผลการคำสั่งย้ายมาจากเหตุผลเรื่องการเสนอชื่อปลัดกระทรวงกลาโหมคนใหม่เท่ากับว่า รมว.กลาโหม ได้ใช้อำนาจหน้าที่แทรกแซงกระทรวงกลาโหมด้วยการตั้งรักษาการปลัดกระทรวงกลาโหมเพื่อไปเป็นหนึ่งในหกคณะกรรมการเพื่อพิจารณาแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารตาม พ.ร.บ.กลาโหม

พล.อ.อ.สุกำพลชี้แจงว่า เหตุผลที่โยกย้ายไม่ใช่อย่างที่นายวิทยาระบุ ซึ่งประเด็นการโยกย้ายเพราะเป็นการนำความลับของกรรมการที่ดูแลเรื่องการโยกย้ายมาเปิดเผยก่อน ทั้งที่ไม่ได้ข้อยุติ ส่วนกรณีที่ปลัดกระทรวงกลาโหมระบุว่าตนมีคำสั่งให้นำชื่อบุคคลมาเป็นปลัดกระทรวงกลาโหมนั้น ไม่เป็นความจริง เพราะต้องเป็นมติของที่ประชุมคณะกรรมการตาม พ.ร.บ.กลาโหม และมีการประชุมหนึ่งครั้งที่ห้องของตน เป็นมติของที่ประชุม ซึ่งตนเป็นเพียง 1 เสียงเท่านั้น

ส่วนเรื่องการแต่งตั้งรักษาการณ์ปลัดกระทรวงโหมนั้น รมว.กลาโหมมีอำนาจตาม พ.ร.บ.กลาโหม ซึ่งคนในกระทรวงกลาโหมก็ให้การยอมรับ

“อย่ามาคิดว่าผมตั้งรักษาการณ์ปลัดกระทรวงกลาโหมเพื่อมาให้เป็นปลัดของผม แต่ผมทำเพราะมีอำนาจ และคนเก่าๆ ก็ทำกันมากันเยอะเพียงแต่ว่าตำแหน่งไม่สำคัญเท่านั้น เป็นเรื่องภายในกระทรวงกลาโหม ทำกันมาปกติ เพียงแต่คนที่โดนมาช่วยราชการในกระทรวงไม่ใช่ระดับสูงอย่างที่เป็นข่าวในขณะนี้ แต่ก่อนมีเหตุการณ์คลังแสงกรมสรรพาวุธระเบิดที่ปากช่องปรากฏวันรุ่งขึ้น รมว.กลาโหมในสมัยนั้นมีคำสั่งย้ายเจ้ากรมสรรพาวุธทหารบกมาช่วยราชการที่กระทรวงกลาโหม”

นายวิทยาถามคำถามสุดท้ายว่า คำสั่งย้ายรอบนี้ไม่ต่างอะไรจากการเปิดประตูส่งสัญญาณแทรกแซงล้วงลูกข้าราชการในกระทรวงกลาโหมและกองทัพ ทุกอย่างจะไม่จบลงเพียงแค่การย้ายนายทหาร 3 คนนี้ ซึ่งต้องการทราบว่าได้หารือกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี หรือไม่ และอยากให้ชี้แจงด้วยนายทหารที่ รมว.กลาโหมสนับสนุนให้เป็นปลัดกระทรวงกลาโหมคนใหม่มีสายสัมพันธ์กับนักการเมืองและมาจากคำสั่งของสุภาพสตรีคนหนึ่งใช่หรือไม่

“ท่านกลัวเก้าอี้จะหลุดเลยต้องรีบสนองเพราะหวังจะนั่งในตำแหน่ง อยากบอกให้รู้ว่านักการเมืองอย่างเรามาแล้วก็ไปได้ ไม่ใช่สมบัติติดตัวไปจนตายแต่หน้าตาและศักดิ์ศรีเป็นเรื่องที่ต้องรักษาเอาไว้”

รมว.กลาโหมชี้แจงว่า เมื่อตนดำเนินการแล้วได้แจ้งให้นายกรัฐมนตรีทราบ แต่ก่อนการดำเนินการไม่ได้ติดต่อท่านเลยเพราะเป็นอำนาจโดยตรงเป็นเรื่องของกระทรวงกลาโหม ตนมีความรับผิดชอบพอ

“ท่านกำลังกล่าวหาผมครับ ผมเป็นตัวของตัวเองพอสมควร ผมไม่กลัวเก้าอี้หลุด ท่านอย่าพูดในสิ่งที่ไม่ดีอย่างนี้ ไม่ใช่คำถามที่ดีเลย ผมทำด้วยความถูกต้อง ไม่มีใครหรอกครับจะมาสั่งให้ทำเรื่องไม่ถูกต้องอย่างนี้ ไปถามผู้บัญชาการเหล่าทัพดูว่าผมทำถูกหรือไม่ เมื่อวาน พล.อ.พิณภาษณ์มาขอโทษผมและบอกว่าผมทำถูกแล้ว ดังนั้น อย่าพูดในสิ่งที่ไม่เข้าท่า ถ้าการโยกย้ายแน่นอนว่าต้องพิจารณาในคณะกรรมการตาม พ.ร.บ.กลาโหม แต่นี่เป็นเพียงคำสั่งช่วยราชการ ขอร้องไปอ่านกฎหมายให้แตกก่อน”

จากนั้นนายวิทยาอภิปรายต่อว่า กรณีที่เจ้ากรมเสมียนตราเข้าไปขอขมานั้น ทราบหรือไม่ว่าได้ทำให้จารีตของทหารเสียหาย เดี๋ยวนี้ปรัชญาของทหารที่ว่า ไม่ฆ่าน้อง ไม่ฟ้องนาย ไม่ขายเพื่อน ก็ต้องเปลี่ยนเป็นว่า ยุคฆ่าน้อง ฟ้องนาย ขายเพื่อน”

นายวิทยา แก้วภราดัย ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์
กำลังโหลดความคิดเห็น