"ปึ้ง" แถลงจุดยืนไม่มีนโยบายขอตัว "แม้ว" อ้างไม่มีอำนาจ ไม่มีข้อมูลรับรองแหล่งที่อยู่ "สุริยะใส" มั่นใจ ป.ป.ช. ชี้มูลจงใจละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ด้าน ปชป.จวกผลงาน"บัวแก้ว"ทำเพื่อ"แม้ว"คนเดียว ประเทศไทยไม่ได้ประโยชน์ "เทพไท"อัด รัฐบาลใช้ภาษีจัดงานหาเสียงให้ เพิ่มหนี้ให้คนไทย ยันต้องแก้ปัญหาแพงทั้งแผ่นดิน ถึงจะช่วยคนไทยได้
เมื่อเวลา 10.00 น. วานนี้ ( 26ส.ค. ) ที่กระทรวงการต่างประเทศ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศ แถลงผลงานครบรอบ 1 ปี การทำงานของกระทรวงการต่างประเทศ ในรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่า นโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลที่ได้แถลงต่อรัฐสภาที่จะเร่งฟื้นฟูความสัมพันธ์ และความร่วมมือที่ดีกับประเทศเพื่อนบ้านนั้น จากที่นายกรัฐมตรี ได้เดินทางเยือนต่างประเทศในกลุ่มประเทศอาเซียน 9 ประเทศ รวมถึงกลุ่มทวีปเอเชียตะวันออก อย่างประเทศจีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น
ประเทศในตะวันออกกลาง 4 ประเทศ และประเทศในทวีปยุโรป 3 ประเทศ ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดีโดยมีผู้นำ และราชวงศ์มาเยือนไทย 17 ครั้ง แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลนี้สังคมโลกให้การยอมรับ
โดยในส่วนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน ระหว่างไทย - เมียนมาร์ ได้มีการเปิดด่านแม่สอด-เมียวดี ที่ปิดมากว่า 1 ปี นอกจากนี้ ยังได้มีการลงนามใน MOU 2 ฉบับ เรื่องการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกทวาย และท่าเรือแหลมฉบังระหว่างประเทศไทยและเมียนมาร์
ส่วนกัมพูชาได้มีการคลี่คลายปัญหาตามแนวชายแดน โดยไม่มีการปะทะทางทหาร และการผลักดันให้เปิดด่านไทย-กัมพูชา ส่วนประเทศลาว ได้หารือในการยกระดับด่านไทย-ลาว การร่วมมือโครงสร้างพื้นฐาน การเกษตร การบริหารจัดการน้ำ การหารือสร้างสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 5 ส่วนประเทศมาเลเซีย มีการประชุมเพื่อพิจารณาว่าด้วยการเดินทางข้ามแดนไทยมาเลเซีย
ส่วนความสัมพันธ์ในประเทศอาเซียน โดยประเทศเวียดนาม มีการผลักดันร่วมมือเรื่องข้าว และการส่งออกข้าว บรูไนได้มีการส่งเสริมการขายข้าวหอมมะลิ และอุตสหกรรมฮาลาล และการเพิ่มการจ้างแรงงานไทย ส่วนอินโดนีเซียได้มีการลงนาม การป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ
ส่วนความร่วมมือและความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์สร้างความเชื่อมั่น ให้กับนานาประเทศนั้น ประเทศไทยประสบความสำเร็จในการสร้างความเชื่อมั่น เพิ่มเสถียรภาพทางการเมืองที่ดีขึ้น เนื่องจากรัฐบาลได้รับการยอมรับจากการเลือกตั้ง ส่วนทางด้านเศรษฐกิจได้มีการประสานด้านการค้า หรือ FTA ระหว่างไทยกับสหภาพยุโรป อินเดีย การเจรจาให้มีการยกเลิกการห้ามนำเข้าไก่แช่แข็งสดจากไทย เช่น ญี่ปุ่น พิลิปปินส์ กาตาร์ และสหภาพยุโรป และโครงการครัวไทยสู่ครัวโลก ในการประชาสัมพันธ์อาหารไทยไปยังต่างประเทศ
ส่วนความสัมพันธ์ที่เป็นรูปธรรม ระหว่าง ประเทศไทย-จีน ได้มีการสร้างโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงไทย-จีน การจัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์พกพา ระบบบริหารจัดการน้ำ และพลังงานทดแทน นอกจากนี้ยังมีแผนพัฒนาระยะ 5 ปีในความร่วมมือทวิภาคีด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน การพัฒนาการท่องเที่ยว ความร่วมมือทางด้านการค้าสินค้าเกษตร ความร่วมมือด้านการศึกษาระหว่างไทย-จีน
สำหรับประเทศอินเดียนั้น ทางประเทศอินเดียได้ให้ประเทศไทยเป็นประตูเปิดสู่กลุ่มประเทศอาเซียน ยกระดับความสัมพันธ์ในการเป็นหุ้นส่วนทางด้านยุทธศาสตร์ การสร้างถนนเชื่อมไทย เมียนมาร์ อินเดีย เชื่อมโยงกัน ขณะที่ประเทศญี่ปุ่น ได้มีการเพิ่มการค้าการลงทุน การทบทวนเพิ่มการนำเข้าสินค้าเกษตรของไทย ส่วนสหรัฐอเมริกาให้การยอมรับประเทศไทย เพราะเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง การหารือเชิงยุทธศาสตร์ การโน้มน้าวไม่ให้สหรัฐฯ ลดระดับไทย ด้านการค้ามนุษย์ที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก การพิจารณาความเป็นไปได้ที่จะให้ไทยเข้าร่วมการค้าการลงทุนใน TPP
ทั้งนี้ ความสำเร็จของรัฐบาลที่เห็นเป็นรูปธรรม ปริมาณการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว มีตัวเลขเพิ่มขึ้นจำนวนมาก เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปี 2555 กับ 2554 โดยสรุปจากการเยือนต่างประเทศของนายกรัฐมนตรี ที่มีการพูดคุยใน 215 เรื่อง โดยประสบความสำเร็จใน 27 เรื่อง และเรื่องที่ต้องติดตามอย่างต่อเนื่องอีก 188 เรื่อง และการส่งเสริมความเข้าใจในกลุ่มประเทศมุสลิม ในเรื่อง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
นายสุรพงษ์ กล่าวด้วยว่า การที่รัฐบาลได้รับการเลือกตั้งมาจากเสียงส่วนใหญ่ของประชาชน ทำให้ต่างประเทศมีความเชื่อมั่นมากขึ้น หลังจากเหตุการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองที่ผ่านมา ดังนั้น จึงอยากฝากให้ทุกฝ่ายไม่ควรเอาการต่างประเทศ มาเป็นประเด็นในการเล่นการเมือง พร้อมขอร้องทุกฝ่ายให้คิดถึงประเทศเป็นหลัก เพื่อทำให้บ้านเมืองสงบ เพื่อเรียกความเชื่อมั่นของท่องเที่ยวที่จะมายังประเทศไทย
เมื่อถามถึงหน้าที่การทำเรื่องขอส่งตัวผู้รายข้ามแดน โดยเฉพาะกรณี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีดนายกฯ รมว.ต่างประเทศ ชี้แจงว่า รัฐบาลไม่มีนโยบายนี้ เพราะไม่ได้เขียนไว้นำคำแถลงต่อรัฐสภา ส่วนการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน ที่ไม่มีความคืบหน้านั้น นายสุรพงษ์ ย้ำว่า
1. ทางกระทรวงการต่างประเทศมีหน้าที่สงคำร้องไปยังต่างประเทศในช่องทางการทูต 2. การติดตามบุคคลในต่างประเทศ เพื่อส่งผู้ร้ายข้ามแดน กระทรวงการต่างประเทศไม่มีอำนาจหน้าที่ปฏิบัติในเรื่องดังกล่าว 3. ทางการไทยจะไม่สามารถจัดส่งคำร้องของส่งผู้ร้ายข้ามแดน ไปยังต่างประเทศได้ หากยังไม่มีข้อมูลรับรองแหล่งที่อยู่ได้ชัดเจน
เมื่อถามว่ารัฐบาล จะมีนโยบายติดตามขอส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน หรือไม่ รมว.ต่างประเทศ กล่าวว่า รัฐบาลไม่มีนโยบายขอส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน เพราะไม่มีระบุไว้ในนโยบายเร่งด่วน
แต่หากมีใครทำเรื่องร้องขอ ตามสนธิสัญญากระทรวงการต่างประเทศ ก็จะรับไว้พิจารณา
นอกจากนี้นายสุรพงษ์ ยังยืนยันว่า หน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศ 1 ปีที่ผ่านมา ได้ปฏิบัติตามนโยบายของรัฐบาลในการปกป้อง เผยแพร่ทำความเข้าใจ เกี่ยวกับบทบาทสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยชี้แจงต่อสถานทูต และกงสุล และทำหน้าที่ชี้แจงสถานการณ์ทางการเมืองต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น รวมถึงเหตุผลของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 ต่อนานาประเทศด้วย
ส่วนกรณีของนายวีระ สมความคิด และ น.ส.ราตรีพิพัฒนาไพบูรณ์ ที่ถูกจับขังคุกอยู่ในประเทศกัมพูชานั้น รมว.ต่างประเทศ กล่าวว่า ทุกครั้งที่มีโอกาสพูดคุยกับผู้นำกัมพูชา ก็จะถามไถ่เรื่องนี้ แต่ทางฝ่ายนั้นชี้แจงมาว่า ต้องให้ทั้งสองคนถูกดำเนินไปตามกระบวนการยุติธรรมของกัมพูชาไปก่อน ซึ่งเรื่องนี้ทางเราก็กำลังพยายามหาทางช่วยเหลืออยู่ อย่างไรก็ตาม การแถลงผลงานครั้งนี้ นายสุรพงษ์เป็นผู้แถลงด้วยตัวเองเพียงคนเดียวโดยใช้เวลาไปประมาณ1.30ชั่วโมง
**"ปึ้ง"โกหกตามรอย "โต้ง" รัฐบาลพัง
นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มกรีน กล่าวว่า รัฐบาลยังคงมีความพยายามบิดเบือนข้อเท็จจริง เพื่อช่วยเหลือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ผู้ต้องหาหนีคดี หนีหมายจับ ซึ่งกำลังจะทำให้รัฐบาลชุดนี้หนีความผิดไม่ได้ และอาจต้องรับผิดชอบกันทั้งคณะ โดยเฉพาะ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ที่ยิ่งพูด ยิ่งตอกย้ำความผิด และเป็นหลักฐานให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตรวจสอบข้อเท็จจริง การละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ได้ง่ายขึ้น
ทั้งนี้ การที่นายสุรพงษ์ บอกว่า ที่ไม่ประสานงานจับกุมตัว พ.ต.ท. ทักษิณ เพราะไม่ใช่นโยบายรัฐบาลนั้น ก็อ้างไม่ได้ เพราะไม่ใช่เรื่องนโยบาย แต่เป็นเรื่องของการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย เจ้าหน้าที่ของรัฐทุกระดับ ต้องปฏิบัติตามกฏหมาย นายก รัฐมนตรีก็มีหน้าที่ต้องกำกับดูแล การบริหารราชการแผ่นดินให้เป็นไปตาม พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534
การที่ นายสุรพงษ์ อ้างว่าไม่ดำเนินการจับกุม พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะไม่มีคนไปร้องที่กระทรวงการต่างประเทศนั้น ก็เป็นการบิดเบือนชัดเจน เพราะตาม พ.ร.บ.ส่งผู้ร้ายข้ามแดน ระหว่างไทยกับสหรัฐฯ พ.ศ.2551 นั้น ไม่ได้ระบุให้ต้องมีคนไปร้องเรียนใดๆ เพราะถือเป็นหน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงยุติธรรม อัยการสูงสุด และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ต้องทำหน้าที่ตลอดเวลาในการหาตัวนักโทษ หรือผู้ต้องหาหลบหนีคดี
ประการสำคัญคือ กระทรวงต่างประเทศรู้ดีว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เข้าไปสหรัฐฯ ระหว่างวันที่ 7 ส.ค.ที่ผ่านมา ปรากฎเป็นข่าวไปทั่ว รมว.ต่างประเทศ จะไม่รู้ไม่เห็น หรือไม่ดำเนินการใดๆ เพราะไม่รู้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ หลบอยู่ที่ใดนั้น จึงฟังไม่ขึ้น เป็นการโกหกชัด ๆ
เรื่องนี้ไม่เหนือความคาดหมายทางกลุ่มกรีน ซึ่งคาดการณ์ล่วงหน้าว่า นายสุรพงษ์ จะยกเหตุอ้างว่าไม่มีคนไปร้อง จึงไม่ประสานงานจับกุมตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ที่สหรัฐฯ ซึ่งก็เป็นไปตามคาด ทำให้ก่อนหน้านี้ นายชุมพล สังข์ทอง นักกฎหมายที่ปรึกษากลุ่มกรีน ได้ไปยื่นเรื่องให้นายกฯ ดำเนินการจับกุมตัวพ.ต.ท.ทักษิณ ตั้งแต่วันที่ 14 ส.ค. ตามเลขรับหนังสือ จากสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ร 23757 และได้สำเนาหนังสือไปยัง นายสุรพงษ์ โตวิจักชัยกุล รมว.ต่างประเทศ กระทรวงยุติธรรม อัยการสูงสุด และ สตช. รวมทั้งมีหนังสือทวงถามความคืบหน้าไปเมื่อวันที่ 17 ส.ค. ที่ผ่านมา ตามเลขรับหนังสือ ร 24169
ฉะนั้นจึงยากที่ นายสุพงษ์ จะหลีกหนีความรับผิดชอบ เพราะพยานหลักฐานชัดเจน เชื่อว่าชะตากรรมนายสุพงษ์ คงเดินตามรอยนายนพดล ปัทมะ อดีต รมว. ต่างประเทศ ที่ถูกป.ป.ช. ชี้มูลละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ กรณีแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ไม่ผ่านสภาฯ ซึ่งเรื่องอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
นายสุรพงษ์ คงถือ White lie Model ยอมพูดบิดเบือนข้อเทจจริง เพียงเพื่อให้รัฐบาลดูดี และอยู่ได้ สุดท้ายอาจต้องไปแก้ตัวกันในคุก ซึ่งกรณีของนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รมว.คลัง นั้น ทางกลุ่มกรีน จะหารือกันและยื่นกล่าวโทษต่อผู้ตรวจการแผ่นดินและ ปปช.ในสัปดาห์นี้
** ปชป.จวกทำเพื่อ"แม้ว"เป็นหลัก
นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการแถลงผลงาน 1 ปี ของกระทรวงการต่างประเทศ ว่า ขอ ยืนยันว่า นายสุรพงษ์ ไม่มีผลงานที่เป็นประโยชน์ของประเทศ เพราะสิ่งที่เห็นเป็นการตอบแทนผลประโยชน์พวกพ้อง ได้แก่ 1. ผลงานการขอวีซ่า ให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เข้าประเทศญี่ปุ่นได้ โดยก่อนที่นายสุรพงษ์ จะเป็นรัฐมนตรี ทั้งที่กฎหมายการขอวีซ่าเข้าประเทศญี่ปุ่นห้ามให้ผู้ต้องโทษเกิน 1 ปี เข้าประเทศได้ แต่รัฐบาลไทยได้ขอผ่อนผันหลักเกณฑ์ดังกล่าว
2. แอบคืนพาสปอร์ตให้แก่ พ.ต.ท.ทักษิณ 3. ยอมให้ประเทศกัมพูชา จัดประชุมมรดกโลกแต่เพียงผู้เดียว ซึ่งขัดกับมติ ครม.ในสมัยรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่พร้อมจะร่วมแข่งขันกับประเทศกัมพูชาทุกเวที ในการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพในการประชุมดังกล่าว 4. ทำให้ประเทศไทยไทยเสียโอกาสให้ องค์การนาซ่า มาทำการวิจัยอากาศที่สนามบินอู่ตะเภา ภายหลังที่รัฐบาลไม่สามารถตอบคำถามเรื่องความโปร่งใส่ ต่อสภาความมั่นคงแห่งชาติ 6 ข้อได้ จนนาซ่า ต้องล้มเลิกโครงการ 5. ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เดินทางไปทั่วโลกได้อย่างอิสระ
" ผลงานของนายสุรพงษ์ชิ้นโบว์ดำ คือสร้างสัมพันธ์ไทย-จีน โดยการขอให้ หลินปิง หลินฮุ่ย อยู่ใน จ.เชียงใหม่ ได้นานๆ รวมทั้งยังมีผลงานในเรื่องการเจรจาการค้าถึง 250 เรื่อง สำเร็จ 27 เรื่อง ถือว่าเป็นตัวเลขที่สูงนั้น ตนไม่รู้ว่า นายสุรพงษ์ ตกเลขและเรียนคณิตศาสตร์ที่เดียวกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ หรือไม่ ซึ่งหากผมมีโอกาส ผมจะนำหลินปิง หลินฮุ่ย ไปขอบคุณนายสุรพงษ์ ที่ทำผลงานให้แก่ประเทศ" นายชวนนท์ กล่าว
** จวกรัฐบาลจัดงานเพิ่มหนี้ประชาชน
นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีรัฐบาลจัดงานพบประชาชน ที่ราชมังคลากีฬาสถาน และในจังหวัดต่างๆทั่วประเทศ ว่า ถ้าดูรูปแบบการจัดงาน แล้วไม่น่าเป็นการที่รัฐบาลพบปะประชาชน แต่เป็นงานหาเสียงมากกว่า เพราะรูปแบบการจัดงานไม่ต่างอะไรกับตลาดนัดเปิดท้ายขายของ เพียงแต่เป็นการยกระดับจากตลาดนัดในหมู่บ้าน มาเป็นตลาดนัดเปิดท้ายขายของในชุมชนเมือง การใช้ชื่องาน “รัฐบาลพบประชาชน ทุน เพื่อคุณภาพชีวิต” แต่ถ้าจะให้สดคล้องกับเนื้อหา และรูปแบบของงานควรจะใช้ชื่อว่า “รัฐบาลพบประชาชน ทุนเพิ่มหนี้ทุกชีวิต” จะเหมาะสมกว่า เพราะกิจกรรมในงานล้วนเป็นโครงการที่รัฐบาลบริการให้ประชาชนสร้างหนี้มากกว่าการเพิ่มรายได้ เช่น โครงการรถยนต์คันแรก บ้านหลังแรก กองทุนหมู่บ้าน กองทุนสตรี กองทุนเอสเอ็มแอล กองทุนตั้งตัวได้ และไม่มีหลักประกันใดว่า การเพิ่มหนี้ให้กับประชาชนแล้วจะสร้างรายได้ให้กับประชาชนได้
การที่รัฐบาลใช้หลักคิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่บอกว่าต้องเป็นหนี้ก่อนถึงจะร่ำรวย และประสบความสำเร็จนั้น จะมีใครสักกี่คนที่ทำได้เหมือนพ.ต.ท.ทักษิณ เพราะโอกาสของคนไม่เท่าเทียมกัน มีเพียงแต่ พ.ต.ท.ทักษิณเท่านั้นที่เป็นหนี้หนีคดีเช็กเด้ง แล้วกลับมาเป็นมหาเศรษฐีได้ เพราะได้โอกาสสัมปทานจากรัฐ มีธุรกิจผูดขาดโดยไม่มีคู่แข่งขัน ถ้ารัฐบาลจะช่วยเหลือประชาชน ก็ไม่ควรที่จะส่งเสริมให้เป็นหนี้ โดยอ้างถึงการเข้าถึงแหล่งเงินทุน ซึ่งในขณะนี้หนี้ต่อครัวเรือนของคนไทยมีอัตราที่สูงมากเป็นประวัติการณ์ในรัฐบาลชุดนี้อยู่แล้ว
" ถ้าจะช่วยเหลือจริงๆทำสองอย่างก็เพียงพอ คือ แก้ปัญหาราคาของแพงทั้งแผ่นดินให้ถูกลง และเพิ่มราคาสินค้าการเกษตรให้สูงขึ้น ก็จะแก้ปัญหาพื้นฐานของประชาชนในเบื้องต้นได้ การจัดงานหาเสียงครั้งนี้ รัฐบาลได้ประโยชน์โดยตรง เพราะใช้เงินภาษีของประชาชนในการจัดงานสูงนับร้อยล้านบาท ซึ่งไม่คุ้มค่ากับเม็ดเงินท่ลงทุนไป"
ส่วนการที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี บอกว่าพึงพอใจในผลงานของตัวเอง และยังไม่ท้อต่อการทำงานนั้น อยากจะเรียนว่า นายกฯไม่ควรที่จะตัดสินผลงานด้วยตนเอง ควรให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินจะดีกว่า เพราะประชาชนที่สัมผัสผลงานรัฐบาลโดยตรง ย่อมรู้ดีกว่านโยบายที่แถลงไว้ตอนหาเสียงว่า ล้มเหลวไปกี่เรื่อง การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าล้มเหลวมากน้อยแค่ไหน เพราะฉะนั้นนายกฯ ก็เหมือนกับนักเรียนที่ทำข้อสอบ ไม่ควรให้คะแนนตัวเอง ควรให้ครูผู้สอน คือประชาชนให้คะแนนจะดีกว่า
** ของแพงจริง ไม่ได้คิดไปเอง
นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน รองหัวหน้าพรรคประชิปัตย์ และ รมว.พาณิชย์ เงา พร้อมด้วย น.ส.รัชดา ธนาดิเรก นายสรรเสริญ สมะลาภา ส.ส.กรุงเทพฯ ร่วมกันแถลงผลงาน 1 ปี ของจริงไม่อิงละคร ตอนที่ 5 “แพงจริง ไม่คิดไปเอง” โดยนายอภิรักษ์ กล่าวว่า รัฐบาลล้มเหลวในเรื่องมาตรการค่าครองชีพของประชาชน ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของประชาชนที่เป็นค่าใช้จ่ายหลัก 67 เปอร์เซ็นต์ สูงหรือแพงขึ้น โดยเกิดจากนโยบายของรัฐบาล และการบริหารงานที่ล้มเหลว ไม่ว่าการขึ้นค่าแรง 300 บาท และเงินเดือนปริญญาตรี 15,000 บาท นโยบายน้ำมันดีเซล ก๊าซเอ็นจีวี และแอลพีจี ซึ่งถือเป็นต้นทุนขนส่งและบริการ ซึ่งมีการยกเลิกเก็บเงินในกองทุนน้ำมัน และได้ลอยตัว ทำให้กลไกสินค้าได้ปรับราคารอไว้แล้ว ถือเป็นความผิดพลาดของรัฐบาล ที่ทำให้ราคาถูกบิดเบือน ต้นทุนสินค้าทางการเกษตรที่แพง สินค้าธงฟ้า และร้านถูกใจประชาชนก็ไม่ได้ประโยชน์อย่างที่ได้ตั้งเป้าไว้
นายอภิรักษ์ กล่าวว่า ขอเสนอไปยังรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาสินค้าราคาแพงให้หมดไป 5 เรื่อง คือ 1. แก้ไขปัญหาต้นทุนในการผลิต 2. การหามาตรการแก้ไขต้นทุนการขนส่งและบริการทั้งก๊าซแอลพีจี เอ็นจีวี และน้ำมันดีเซล แต่ดูว่าขณะนี้รัฐบาลคิดทุกอย่างเป็นการเมือง ไม่ได้ช่วยประชาชนอย่างแท้จริง 3. รัฐบาลไม่ได้ทำงานในเชิงรุก ประเมินสถานการณ์ต่ำมาตลอด เช่น วิกฤตเศรษฐกิจของยุโรป ที่มองว่าสินค้าอุปโภค บริโภค จะไม่ได้รับผลกระทบ ต้องช่วยหาตลาดให้สินค้าเกษตรและผู้ประกอบการส่งออก 4. ต้องลดผลกระทบต่อผู้ประกอบการรายเล็ก รายย่อย รานค้า เช่น ลดค่าเช่า โดยใช้กลไกตลาดเพื่อให้ผู้ประกอบการอยู่ได้ และ 5 . ต้องยกเลิกโครงการร้านถูกใจ เพราะไม่ช่วยแก้ปัญหาให้กับประชาชน โดยงบประมาณที่ใช้ถึง 1,300 ล้านบาท ถือว่าสิ้นเปลือง ต้องหยุดการใช้งบเพื่อประชาสัมพันธ์ และให้ใช้กลไกตลาดปกติดำเนินการ ทั้งนี้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ประกาศจะกระชากค่าครองชีพตอนนี้ก็ครบ 1 ปีแล้ว จะดำเนินการเมื่อไหร่
**ร้านถูกใจ ทุจริต สวมสิทธิ์ อื้อ
น.ส.รัชดา กล่าวว่า สินค้าร้านถูกใจไม่ได้มีราคาถูกจริงตามที่รัฐบาลประกาศ เพราะแพงกว่าร้านสะดวกซื้อทั่วๆไป และจากการตรวจสอบพบว่า มีความไม่โปร่งใสเกิดขึ้นโดย 1 ใน 10 ร้าน ที่ร่วมโครงการมีที่ตั้งอยู่ย่านคลองเตย ในภาพร้านดังกล่าวมีสภาพโทรมๆ เก่า และเมื่อไปตรวจสอบในพื้นที่จริง ก็ไม่พบว่าร้านนี้มีตัวตนของจริงอยู่
นายสรรเสริญ กล่าวว่า โครงการร้านถูกใจ ซึ่งขณะนี้ยังมีกำหนดเวลาอีก 2 เดือน แต่มีถึง 3,000 ร้าน ที่ยังไม่ได้รับสินค้า ซึ่งเมื่อวันที่ 8 ส.ค.ที่ผ่านมา ทางตัวแทนกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งได้รับปากและยืนยันต่อคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจ แต่ผ่านมา 2 สัปดาห์แล้ว พบว่าสินค้าก็ยังไม่ครบ นอกจากนี้ค่าตบแต่งร้านที่ได้งบร้านละ 1 หมื่นบาท ยังมีปัญหาทุจริตกันอยู่โดยมีการสวมสิทธิ์กันอยู่จำนวนมาก ดังนั้นหากใครที่ไม่ได้งบดังกล่าวจริง ขอให้ประสานมาพร้อมที่จะเป็นตัวกลางในการติดตามเงินดังกล่าวให้ ..
เมื่อเวลา 10.00 น. วานนี้ ( 26ส.ค. ) ที่กระทรวงการต่างประเทศ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศ แถลงผลงานครบรอบ 1 ปี การทำงานของกระทรวงการต่างประเทศ ในรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่า นโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลที่ได้แถลงต่อรัฐสภาที่จะเร่งฟื้นฟูความสัมพันธ์ และความร่วมมือที่ดีกับประเทศเพื่อนบ้านนั้น จากที่นายกรัฐมตรี ได้เดินทางเยือนต่างประเทศในกลุ่มประเทศอาเซียน 9 ประเทศ รวมถึงกลุ่มทวีปเอเชียตะวันออก อย่างประเทศจีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น
ประเทศในตะวันออกกลาง 4 ประเทศ และประเทศในทวีปยุโรป 3 ประเทศ ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดีโดยมีผู้นำ และราชวงศ์มาเยือนไทย 17 ครั้ง แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลนี้สังคมโลกให้การยอมรับ
โดยในส่วนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน ระหว่างไทย - เมียนมาร์ ได้มีการเปิดด่านแม่สอด-เมียวดี ที่ปิดมากว่า 1 ปี นอกจากนี้ ยังได้มีการลงนามใน MOU 2 ฉบับ เรื่องการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกทวาย และท่าเรือแหลมฉบังระหว่างประเทศไทยและเมียนมาร์
ส่วนกัมพูชาได้มีการคลี่คลายปัญหาตามแนวชายแดน โดยไม่มีการปะทะทางทหาร และการผลักดันให้เปิดด่านไทย-กัมพูชา ส่วนประเทศลาว ได้หารือในการยกระดับด่านไทย-ลาว การร่วมมือโครงสร้างพื้นฐาน การเกษตร การบริหารจัดการน้ำ การหารือสร้างสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 5 ส่วนประเทศมาเลเซีย มีการประชุมเพื่อพิจารณาว่าด้วยการเดินทางข้ามแดนไทยมาเลเซีย
ส่วนความสัมพันธ์ในประเทศอาเซียน โดยประเทศเวียดนาม มีการผลักดันร่วมมือเรื่องข้าว และการส่งออกข้าว บรูไนได้มีการส่งเสริมการขายข้าวหอมมะลิ และอุตสหกรรมฮาลาล และการเพิ่มการจ้างแรงงานไทย ส่วนอินโดนีเซียได้มีการลงนาม การป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ
ส่วนความร่วมมือและความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์สร้างความเชื่อมั่น ให้กับนานาประเทศนั้น ประเทศไทยประสบความสำเร็จในการสร้างความเชื่อมั่น เพิ่มเสถียรภาพทางการเมืองที่ดีขึ้น เนื่องจากรัฐบาลได้รับการยอมรับจากการเลือกตั้ง ส่วนทางด้านเศรษฐกิจได้มีการประสานด้านการค้า หรือ FTA ระหว่างไทยกับสหภาพยุโรป อินเดีย การเจรจาให้มีการยกเลิกการห้ามนำเข้าไก่แช่แข็งสดจากไทย เช่น ญี่ปุ่น พิลิปปินส์ กาตาร์ และสหภาพยุโรป และโครงการครัวไทยสู่ครัวโลก ในการประชาสัมพันธ์อาหารไทยไปยังต่างประเทศ
ส่วนความสัมพันธ์ที่เป็นรูปธรรม ระหว่าง ประเทศไทย-จีน ได้มีการสร้างโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงไทย-จีน การจัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์พกพา ระบบบริหารจัดการน้ำ และพลังงานทดแทน นอกจากนี้ยังมีแผนพัฒนาระยะ 5 ปีในความร่วมมือทวิภาคีด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน การพัฒนาการท่องเที่ยว ความร่วมมือทางด้านการค้าสินค้าเกษตร ความร่วมมือด้านการศึกษาระหว่างไทย-จีน
สำหรับประเทศอินเดียนั้น ทางประเทศอินเดียได้ให้ประเทศไทยเป็นประตูเปิดสู่กลุ่มประเทศอาเซียน ยกระดับความสัมพันธ์ในการเป็นหุ้นส่วนทางด้านยุทธศาสตร์ การสร้างถนนเชื่อมไทย เมียนมาร์ อินเดีย เชื่อมโยงกัน ขณะที่ประเทศญี่ปุ่น ได้มีการเพิ่มการค้าการลงทุน การทบทวนเพิ่มการนำเข้าสินค้าเกษตรของไทย ส่วนสหรัฐอเมริกาให้การยอมรับประเทศไทย เพราะเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง การหารือเชิงยุทธศาสตร์ การโน้มน้าวไม่ให้สหรัฐฯ ลดระดับไทย ด้านการค้ามนุษย์ที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก การพิจารณาความเป็นไปได้ที่จะให้ไทยเข้าร่วมการค้าการลงทุนใน TPP
ทั้งนี้ ความสำเร็จของรัฐบาลที่เห็นเป็นรูปธรรม ปริมาณการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว มีตัวเลขเพิ่มขึ้นจำนวนมาก เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปี 2555 กับ 2554 โดยสรุปจากการเยือนต่างประเทศของนายกรัฐมนตรี ที่มีการพูดคุยใน 215 เรื่อง โดยประสบความสำเร็จใน 27 เรื่อง และเรื่องที่ต้องติดตามอย่างต่อเนื่องอีก 188 เรื่อง และการส่งเสริมความเข้าใจในกลุ่มประเทศมุสลิม ในเรื่อง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
นายสุรพงษ์ กล่าวด้วยว่า การที่รัฐบาลได้รับการเลือกตั้งมาจากเสียงส่วนใหญ่ของประชาชน ทำให้ต่างประเทศมีความเชื่อมั่นมากขึ้น หลังจากเหตุการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองที่ผ่านมา ดังนั้น จึงอยากฝากให้ทุกฝ่ายไม่ควรเอาการต่างประเทศ มาเป็นประเด็นในการเล่นการเมือง พร้อมขอร้องทุกฝ่ายให้คิดถึงประเทศเป็นหลัก เพื่อทำให้บ้านเมืองสงบ เพื่อเรียกความเชื่อมั่นของท่องเที่ยวที่จะมายังประเทศไทย
เมื่อถามถึงหน้าที่การทำเรื่องขอส่งตัวผู้รายข้ามแดน โดยเฉพาะกรณี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีดนายกฯ รมว.ต่างประเทศ ชี้แจงว่า รัฐบาลไม่มีนโยบายนี้ เพราะไม่ได้เขียนไว้นำคำแถลงต่อรัฐสภา ส่วนการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน ที่ไม่มีความคืบหน้านั้น นายสุรพงษ์ ย้ำว่า
1. ทางกระทรวงการต่างประเทศมีหน้าที่สงคำร้องไปยังต่างประเทศในช่องทางการทูต 2. การติดตามบุคคลในต่างประเทศ เพื่อส่งผู้ร้ายข้ามแดน กระทรวงการต่างประเทศไม่มีอำนาจหน้าที่ปฏิบัติในเรื่องดังกล่าว 3. ทางการไทยจะไม่สามารถจัดส่งคำร้องของส่งผู้ร้ายข้ามแดน ไปยังต่างประเทศได้ หากยังไม่มีข้อมูลรับรองแหล่งที่อยู่ได้ชัดเจน
เมื่อถามว่ารัฐบาล จะมีนโยบายติดตามขอส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน หรือไม่ รมว.ต่างประเทศ กล่าวว่า รัฐบาลไม่มีนโยบายขอส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน เพราะไม่มีระบุไว้ในนโยบายเร่งด่วน
แต่หากมีใครทำเรื่องร้องขอ ตามสนธิสัญญากระทรวงการต่างประเทศ ก็จะรับไว้พิจารณา
นอกจากนี้นายสุรพงษ์ ยังยืนยันว่า หน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศ 1 ปีที่ผ่านมา ได้ปฏิบัติตามนโยบายของรัฐบาลในการปกป้อง เผยแพร่ทำความเข้าใจ เกี่ยวกับบทบาทสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยชี้แจงต่อสถานทูต และกงสุล และทำหน้าที่ชี้แจงสถานการณ์ทางการเมืองต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น รวมถึงเหตุผลของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 ต่อนานาประเทศด้วย
ส่วนกรณีของนายวีระ สมความคิด และ น.ส.ราตรีพิพัฒนาไพบูรณ์ ที่ถูกจับขังคุกอยู่ในประเทศกัมพูชานั้น รมว.ต่างประเทศ กล่าวว่า ทุกครั้งที่มีโอกาสพูดคุยกับผู้นำกัมพูชา ก็จะถามไถ่เรื่องนี้ แต่ทางฝ่ายนั้นชี้แจงมาว่า ต้องให้ทั้งสองคนถูกดำเนินไปตามกระบวนการยุติธรรมของกัมพูชาไปก่อน ซึ่งเรื่องนี้ทางเราก็กำลังพยายามหาทางช่วยเหลืออยู่ อย่างไรก็ตาม การแถลงผลงานครั้งนี้ นายสุรพงษ์เป็นผู้แถลงด้วยตัวเองเพียงคนเดียวโดยใช้เวลาไปประมาณ1.30ชั่วโมง
**"ปึ้ง"โกหกตามรอย "โต้ง" รัฐบาลพัง
นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มกรีน กล่าวว่า รัฐบาลยังคงมีความพยายามบิดเบือนข้อเท็จจริง เพื่อช่วยเหลือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ผู้ต้องหาหนีคดี หนีหมายจับ ซึ่งกำลังจะทำให้รัฐบาลชุดนี้หนีความผิดไม่ได้ และอาจต้องรับผิดชอบกันทั้งคณะ โดยเฉพาะ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ที่ยิ่งพูด ยิ่งตอกย้ำความผิด และเป็นหลักฐานให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตรวจสอบข้อเท็จจริง การละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ได้ง่ายขึ้น
ทั้งนี้ การที่นายสุรพงษ์ บอกว่า ที่ไม่ประสานงานจับกุมตัว พ.ต.ท. ทักษิณ เพราะไม่ใช่นโยบายรัฐบาลนั้น ก็อ้างไม่ได้ เพราะไม่ใช่เรื่องนโยบาย แต่เป็นเรื่องของการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย เจ้าหน้าที่ของรัฐทุกระดับ ต้องปฏิบัติตามกฏหมาย นายก รัฐมนตรีก็มีหน้าที่ต้องกำกับดูแล การบริหารราชการแผ่นดินให้เป็นไปตาม พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534
การที่ นายสุรพงษ์ อ้างว่าไม่ดำเนินการจับกุม พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะไม่มีคนไปร้องที่กระทรวงการต่างประเทศนั้น ก็เป็นการบิดเบือนชัดเจน เพราะตาม พ.ร.บ.ส่งผู้ร้ายข้ามแดน ระหว่างไทยกับสหรัฐฯ พ.ศ.2551 นั้น ไม่ได้ระบุให้ต้องมีคนไปร้องเรียนใดๆ เพราะถือเป็นหน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงยุติธรรม อัยการสูงสุด และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ต้องทำหน้าที่ตลอดเวลาในการหาตัวนักโทษ หรือผู้ต้องหาหลบหนีคดี
ประการสำคัญคือ กระทรวงต่างประเทศรู้ดีว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เข้าไปสหรัฐฯ ระหว่างวันที่ 7 ส.ค.ที่ผ่านมา ปรากฎเป็นข่าวไปทั่ว รมว.ต่างประเทศ จะไม่รู้ไม่เห็น หรือไม่ดำเนินการใดๆ เพราะไม่รู้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ หลบอยู่ที่ใดนั้น จึงฟังไม่ขึ้น เป็นการโกหกชัด ๆ
เรื่องนี้ไม่เหนือความคาดหมายทางกลุ่มกรีน ซึ่งคาดการณ์ล่วงหน้าว่า นายสุรพงษ์ จะยกเหตุอ้างว่าไม่มีคนไปร้อง จึงไม่ประสานงานจับกุมตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ที่สหรัฐฯ ซึ่งก็เป็นไปตามคาด ทำให้ก่อนหน้านี้ นายชุมพล สังข์ทอง นักกฎหมายที่ปรึกษากลุ่มกรีน ได้ไปยื่นเรื่องให้นายกฯ ดำเนินการจับกุมตัวพ.ต.ท.ทักษิณ ตั้งแต่วันที่ 14 ส.ค. ตามเลขรับหนังสือ จากสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ร 23757 และได้สำเนาหนังสือไปยัง นายสุรพงษ์ โตวิจักชัยกุล รมว.ต่างประเทศ กระทรวงยุติธรรม อัยการสูงสุด และ สตช. รวมทั้งมีหนังสือทวงถามความคืบหน้าไปเมื่อวันที่ 17 ส.ค. ที่ผ่านมา ตามเลขรับหนังสือ ร 24169
ฉะนั้นจึงยากที่ นายสุพงษ์ จะหลีกหนีความรับผิดชอบ เพราะพยานหลักฐานชัดเจน เชื่อว่าชะตากรรมนายสุพงษ์ คงเดินตามรอยนายนพดล ปัทมะ อดีต รมว. ต่างประเทศ ที่ถูกป.ป.ช. ชี้มูลละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ กรณีแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ไม่ผ่านสภาฯ ซึ่งเรื่องอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
นายสุรพงษ์ คงถือ White lie Model ยอมพูดบิดเบือนข้อเทจจริง เพียงเพื่อให้รัฐบาลดูดี และอยู่ได้ สุดท้ายอาจต้องไปแก้ตัวกันในคุก ซึ่งกรณีของนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รมว.คลัง นั้น ทางกลุ่มกรีน จะหารือกันและยื่นกล่าวโทษต่อผู้ตรวจการแผ่นดินและ ปปช.ในสัปดาห์นี้
** ปชป.จวกทำเพื่อ"แม้ว"เป็นหลัก
นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการแถลงผลงาน 1 ปี ของกระทรวงการต่างประเทศ ว่า ขอ ยืนยันว่า นายสุรพงษ์ ไม่มีผลงานที่เป็นประโยชน์ของประเทศ เพราะสิ่งที่เห็นเป็นการตอบแทนผลประโยชน์พวกพ้อง ได้แก่ 1. ผลงานการขอวีซ่า ให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เข้าประเทศญี่ปุ่นได้ โดยก่อนที่นายสุรพงษ์ จะเป็นรัฐมนตรี ทั้งที่กฎหมายการขอวีซ่าเข้าประเทศญี่ปุ่นห้ามให้ผู้ต้องโทษเกิน 1 ปี เข้าประเทศได้ แต่รัฐบาลไทยได้ขอผ่อนผันหลักเกณฑ์ดังกล่าว
2. แอบคืนพาสปอร์ตให้แก่ พ.ต.ท.ทักษิณ 3. ยอมให้ประเทศกัมพูชา จัดประชุมมรดกโลกแต่เพียงผู้เดียว ซึ่งขัดกับมติ ครม.ในสมัยรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่พร้อมจะร่วมแข่งขันกับประเทศกัมพูชาทุกเวที ในการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพในการประชุมดังกล่าว 4. ทำให้ประเทศไทยไทยเสียโอกาสให้ องค์การนาซ่า มาทำการวิจัยอากาศที่สนามบินอู่ตะเภา ภายหลังที่รัฐบาลไม่สามารถตอบคำถามเรื่องความโปร่งใส่ ต่อสภาความมั่นคงแห่งชาติ 6 ข้อได้ จนนาซ่า ต้องล้มเลิกโครงการ 5. ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เดินทางไปทั่วโลกได้อย่างอิสระ
" ผลงานของนายสุรพงษ์ชิ้นโบว์ดำ คือสร้างสัมพันธ์ไทย-จีน โดยการขอให้ หลินปิง หลินฮุ่ย อยู่ใน จ.เชียงใหม่ ได้นานๆ รวมทั้งยังมีผลงานในเรื่องการเจรจาการค้าถึง 250 เรื่อง สำเร็จ 27 เรื่อง ถือว่าเป็นตัวเลขที่สูงนั้น ตนไม่รู้ว่า นายสุรพงษ์ ตกเลขและเรียนคณิตศาสตร์ที่เดียวกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ หรือไม่ ซึ่งหากผมมีโอกาส ผมจะนำหลินปิง หลินฮุ่ย ไปขอบคุณนายสุรพงษ์ ที่ทำผลงานให้แก่ประเทศ" นายชวนนท์ กล่าว
** จวกรัฐบาลจัดงานเพิ่มหนี้ประชาชน
นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีรัฐบาลจัดงานพบประชาชน ที่ราชมังคลากีฬาสถาน และในจังหวัดต่างๆทั่วประเทศ ว่า ถ้าดูรูปแบบการจัดงาน แล้วไม่น่าเป็นการที่รัฐบาลพบปะประชาชน แต่เป็นงานหาเสียงมากกว่า เพราะรูปแบบการจัดงานไม่ต่างอะไรกับตลาดนัดเปิดท้ายขายของ เพียงแต่เป็นการยกระดับจากตลาดนัดในหมู่บ้าน มาเป็นตลาดนัดเปิดท้ายขายของในชุมชนเมือง การใช้ชื่องาน “รัฐบาลพบประชาชน ทุน เพื่อคุณภาพชีวิต” แต่ถ้าจะให้สดคล้องกับเนื้อหา และรูปแบบของงานควรจะใช้ชื่อว่า “รัฐบาลพบประชาชน ทุนเพิ่มหนี้ทุกชีวิต” จะเหมาะสมกว่า เพราะกิจกรรมในงานล้วนเป็นโครงการที่รัฐบาลบริการให้ประชาชนสร้างหนี้มากกว่าการเพิ่มรายได้ เช่น โครงการรถยนต์คันแรก บ้านหลังแรก กองทุนหมู่บ้าน กองทุนสตรี กองทุนเอสเอ็มแอล กองทุนตั้งตัวได้ และไม่มีหลักประกันใดว่า การเพิ่มหนี้ให้กับประชาชนแล้วจะสร้างรายได้ให้กับประชาชนได้
การที่รัฐบาลใช้หลักคิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่บอกว่าต้องเป็นหนี้ก่อนถึงจะร่ำรวย และประสบความสำเร็จนั้น จะมีใครสักกี่คนที่ทำได้เหมือนพ.ต.ท.ทักษิณ เพราะโอกาสของคนไม่เท่าเทียมกัน มีเพียงแต่ พ.ต.ท.ทักษิณเท่านั้นที่เป็นหนี้หนีคดีเช็กเด้ง แล้วกลับมาเป็นมหาเศรษฐีได้ เพราะได้โอกาสสัมปทานจากรัฐ มีธุรกิจผูดขาดโดยไม่มีคู่แข่งขัน ถ้ารัฐบาลจะช่วยเหลือประชาชน ก็ไม่ควรที่จะส่งเสริมให้เป็นหนี้ โดยอ้างถึงการเข้าถึงแหล่งเงินทุน ซึ่งในขณะนี้หนี้ต่อครัวเรือนของคนไทยมีอัตราที่สูงมากเป็นประวัติการณ์ในรัฐบาลชุดนี้อยู่แล้ว
" ถ้าจะช่วยเหลือจริงๆทำสองอย่างก็เพียงพอ คือ แก้ปัญหาราคาของแพงทั้งแผ่นดินให้ถูกลง และเพิ่มราคาสินค้าการเกษตรให้สูงขึ้น ก็จะแก้ปัญหาพื้นฐานของประชาชนในเบื้องต้นได้ การจัดงานหาเสียงครั้งนี้ รัฐบาลได้ประโยชน์โดยตรง เพราะใช้เงินภาษีของประชาชนในการจัดงานสูงนับร้อยล้านบาท ซึ่งไม่คุ้มค่ากับเม็ดเงินท่ลงทุนไป"
ส่วนการที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี บอกว่าพึงพอใจในผลงานของตัวเอง และยังไม่ท้อต่อการทำงานนั้น อยากจะเรียนว่า นายกฯไม่ควรที่จะตัดสินผลงานด้วยตนเอง ควรให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินจะดีกว่า เพราะประชาชนที่สัมผัสผลงานรัฐบาลโดยตรง ย่อมรู้ดีกว่านโยบายที่แถลงไว้ตอนหาเสียงว่า ล้มเหลวไปกี่เรื่อง การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าล้มเหลวมากน้อยแค่ไหน เพราะฉะนั้นนายกฯ ก็เหมือนกับนักเรียนที่ทำข้อสอบ ไม่ควรให้คะแนนตัวเอง ควรให้ครูผู้สอน คือประชาชนให้คะแนนจะดีกว่า
** ของแพงจริง ไม่ได้คิดไปเอง
นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน รองหัวหน้าพรรคประชิปัตย์ และ รมว.พาณิชย์ เงา พร้อมด้วย น.ส.รัชดา ธนาดิเรก นายสรรเสริญ สมะลาภา ส.ส.กรุงเทพฯ ร่วมกันแถลงผลงาน 1 ปี ของจริงไม่อิงละคร ตอนที่ 5 “แพงจริง ไม่คิดไปเอง” โดยนายอภิรักษ์ กล่าวว่า รัฐบาลล้มเหลวในเรื่องมาตรการค่าครองชีพของประชาชน ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของประชาชนที่เป็นค่าใช้จ่ายหลัก 67 เปอร์เซ็นต์ สูงหรือแพงขึ้น โดยเกิดจากนโยบายของรัฐบาล และการบริหารงานที่ล้มเหลว ไม่ว่าการขึ้นค่าแรง 300 บาท และเงินเดือนปริญญาตรี 15,000 บาท นโยบายน้ำมันดีเซล ก๊าซเอ็นจีวี และแอลพีจี ซึ่งถือเป็นต้นทุนขนส่งและบริการ ซึ่งมีการยกเลิกเก็บเงินในกองทุนน้ำมัน และได้ลอยตัว ทำให้กลไกสินค้าได้ปรับราคารอไว้แล้ว ถือเป็นความผิดพลาดของรัฐบาล ที่ทำให้ราคาถูกบิดเบือน ต้นทุนสินค้าทางการเกษตรที่แพง สินค้าธงฟ้า และร้านถูกใจประชาชนก็ไม่ได้ประโยชน์อย่างที่ได้ตั้งเป้าไว้
นายอภิรักษ์ กล่าวว่า ขอเสนอไปยังรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาสินค้าราคาแพงให้หมดไป 5 เรื่อง คือ 1. แก้ไขปัญหาต้นทุนในการผลิต 2. การหามาตรการแก้ไขต้นทุนการขนส่งและบริการทั้งก๊าซแอลพีจี เอ็นจีวี และน้ำมันดีเซล แต่ดูว่าขณะนี้รัฐบาลคิดทุกอย่างเป็นการเมือง ไม่ได้ช่วยประชาชนอย่างแท้จริง 3. รัฐบาลไม่ได้ทำงานในเชิงรุก ประเมินสถานการณ์ต่ำมาตลอด เช่น วิกฤตเศรษฐกิจของยุโรป ที่มองว่าสินค้าอุปโภค บริโภค จะไม่ได้รับผลกระทบ ต้องช่วยหาตลาดให้สินค้าเกษตรและผู้ประกอบการส่งออก 4. ต้องลดผลกระทบต่อผู้ประกอบการรายเล็ก รายย่อย รานค้า เช่น ลดค่าเช่า โดยใช้กลไกตลาดเพื่อให้ผู้ประกอบการอยู่ได้ และ 5 . ต้องยกเลิกโครงการร้านถูกใจ เพราะไม่ช่วยแก้ปัญหาให้กับประชาชน โดยงบประมาณที่ใช้ถึง 1,300 ล้านบาท ถือว่าสิ้นเปลือง ต้องหยุดการใช้งบเพื่อประชาสัมพันธ์ และให้ใช้กลไกตลาดปกติดำเนินการ ทั้งนี้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ประกาศจะกระชากค่าครองชีพตอนนี้ก็ครบ 1 ปีแล้ว จะดำเนินการเมื่อไหร่
**ร้านถูกใจ ทุจริต สวมสิทธิ์ อื้อ
น.ส.รัชดา กล่าวว่า สินค้าร้านถูกใจไม่ได้มีราคาถูกจริงตามที่รัฐบาลประกาศ เพราะแพงกว่าร้านสะดวกซื้อทั่วๆไป และจากการตรวจสอบพบว่า มีความไม่โปร่งใสเกิดขึ้นโดย 1 ใน 10 ร้าน ที่ร่วมโครงการมีที่ตั้งอยู่ย่านคลองเตย ในภาพร้านดังกล่าวมีสภาพโทรมๆ เก่า และเมื่อไปตรวจสอบในพื้นที่จริง ก็ไม่พบว่าร้านนี้มีตัวตนของจริงอยู่
นายสรรเสริญ กล่าวว่า โครงการร้านถูกใจ ซึ่งขณะนี้ยังมีกำหนดเวลาอีก 2 เดือน แต่มีถึง 3,000 ร้าน ที่ยังไม่ได้รับสินค้า ซึ่งเมื่อวันที่ 8 ส.ค.ที่ผ่านมา ทางตัวแทนกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งได้รับปากและยืนยันต่อคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจ แต่ผ่านมา 2 สัปดาห์แล้ว พบว่าสินค้าก็ยังไม่ครบ นอกจากนี้ค่าตบแต่งร้านที่ได้งบร้านละ 1 หมื่นบาท ยังมีปัญหาทุจริตกันอยู่โดยมีการสวมสิทธิ์กันอยู่จำนวนมาก ดังนั้นหากใครที่ไม่ได้งบดังกล่าวจริง ขอให้ประสานมาพร้อมที่จะเป็นตัวกลางในการติดตามเงินดังกล่าวให้ ..