เมื่อผู้บัญชาการทหารบก ได้ให้นายทหารพระธรรมนูญ ฟ้องนายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ทนายรับจ้างของทักษิณ ข้อหาหมิ่นประมาทกองทัพบกไทย ในกรณีที่น่ายอัมสเตอร์ดัมกล่าวเท็จว่ากองทัพบกทำการสลายม็อบเสื้อแดงไร้มนุษยธรรมเป็นการถูกต้องแล้ว ซึ่งความจริงพวกเสื้อแดงยึดพื้นที่บริเวณสี่แยกราชประสงค์และใช้ความรุนแรงในการยึดครอง ความจริงแล้วพวกเสื้อแดงจงใจกระทำการยึดครองชาติลักษณะสร้างรัฐซ้อนรัฐใน กทม.เป็นอันดับแรก เช่น การสร้างอาณาเขตเสื้อแดงที่ชัดเจน การปิดกั้นการจราจร การตรวจค้นผู้คนที่สัญจรไปมา และออกประกาศกฎเกณฑ์ไว้เยี่ยงเป็นกฎหมายให้แกนนำเสื้อแดงในการบริหารจัดการพื้นที่สี่แยกราชประสงค์ และพื้นที่บริเวณใกล้เคียงรอบสี่แยกราชประสงค์ ซึ่งเห็นได้ชัดเจนจากการปิดกั้นสี่แยกเพลินจิต สี่แยกปทุมวัน สามแยกอังรีดูนังต์ และสี่แยกศาลาแดง จนประชาชนคนไทยผู้บริสุทธิ์ไม่สามารถสัญจรไปมาได้อย่างอิสระ เป็นการลิดรอนสิทธิความเป็นเจ้าของประเทศของคนไทยอย่างสิ้นเชิงสมบูรณ์แบบ
นายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม นั้น ถูกจ้างให้ทำหน้าที่เป็นทัพหน้าทำสงครามจิตวิทยาสากลสนับสนุนทักษิณและพลพรรคเสื้อแดง อันเป็นหนึ่งในแก้วสามประการของทักษิณในยุทธศาสตร์ยึดครองประเทศไทย
นายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม เกิดในสหรัฐฯ เมื่อปี ค.ศ. 1956 และครอบครัวย้ายไปตั้งถิ่นฐานที่โตรอนโต ประเทศแคนาดา จึงกลายเป็นชาวแคนาดา มีการศึกษาศิลปศาสตร์ในระดับปริญญาตรี และเรียนกฎหมายในระดับปริญญาโท จนกระทั่งได้เนติบัณฑิต และมีสำนักงานกฎหมายในโตรอนโต นิวยอร์ก และลอนดอน
หากจะเปรียบเทียบกับกลุ่มทนายความบริษัทล็อบบี้ยิสต์อื่นๆ ที่ทักษิณได้จ้างวานให้ดำเนินกลยุทธ์ทางการเมืองข้ามชาติ เพื่อให้รัฐบาลสหรัฐฯ กดดันรัฐบาลชาติต่างๆ ไม่ให้ต่อต้านทักษิณ และครั้งล่าสุดทักษิณเดินทางไปสหรัฐฯ เพื่อเปิดศึกจิตวิทยาการเมือง และการเจรจาแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ทางยุทธศาสตร์ของทักษิณกับสหรัฐฯ ทักษิณอยู่ในฐานะได้เปรียบสหรัฐฯ ที่กำลังทำสงครามเย็นยุคที่ 2 กับจีนอยู่ โดยทักษิณได้ไปพบกับนายสตีเฟน เพนน์ นักล็อบบี้ยิสต์หนุนการเมืองสายสามานย์ตระกูลบุชที่เมืองฮุสตัน รัฐเท็กซัส โดยขณะนี้ก็มีกระแสการขอใช้อู่ตะเภาของสหรัฐฯ ผุดขึ้นมาอีก ซึ่งล็อบบี้ยิสต์ทั้งหมดกำลังปฏิบัติเชิงการเมืองบีบรัฐบาลไทยที่อ่อนแอในเชิงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศตามที่อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้วิเคราะห์ไว้ โดยเน้นให้กรุงเทพฯ เป็นศูนย์กลางสำคัญ และใช้เป็นฐานยุทธศาสตร์การรุกทางจิตวิทยาทำลายชื่อเสียงกองทัพบกไทย ให้มีฐานะเหมือนกับประเทศที่มีอารยธรรมการเมืองต่ำและโหดเหี้ยม เช่น กองทัพเขมรแดงในอดีต หรือหน่วยทหารในแอฟริกาบางประเทศที่มีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ และนั่นเป็นหน้าที่ของนายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ผู้ซึ่งเปรียบเสมือนทนายซาตาน ผู้ที่ว่าความให้พวกเปรตซาตานจากนรกอเวจี
นายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม มีประวัติการว่าความให้กับคนไร้คุณธรรม โหดเหี้ยม และคดโกง เช่น กรณีว่าความให้กับนาย มิเกล โคดอร์คอฟสกี้ (Mikhal Khodorkovsky) อดีตประธานหัวหน้าบริหาร บริษัทกลุ่มยูคอส มีนาเทป แห่งสาธารณรัฐรัสเซีย ซึ่งเป็นบริษัทที่มีประวัติคดโกง
ในปี ค.ศ. 2005 นายมิเกล โคดอร์คอฟสกี้ ถูกศาลรัสเซียตัดสินจำคุก 8 ปี ฐานโกงเงินและหนีภาษี แต่นายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ไม่สามารถเข้าประเทศได้ เพราะรัฐบาลรัสเซียไม่ออกวีซ่าให้ ซึ่งผู้บริหารบริษัทยูคอสปรารภว่านายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ใช้แนวทางการว่าความเชิงดูหมิ่นการเมืองและระบอบการเมืองของรัสเซีย โดยพยายามทำให้คดีของนายมิเกล โคดอร์คอฟสกี้ เป็นคดีการเมืองและมีการเมืองแทรกแซง แต่ไม่พยายามแก้ต่างเรื่องที่ถูกอัยการฟ้องร้องว่าคดโกง ทำบัญชีผีและหนีภาษี ซึ่งมีหลักฐานชัดเจน
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่นายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ได้ใช้สื่อต่างประเทศเป็นกลไกสำคัญของทนายต่างชาติคนนี้ ใช้ในการทำลายชื่อเสียงของรัฐบาลที่เป็นศัตรูกับลูกค้าของเขา ในกรณีประเทศไทยนั้นนายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม มุ่งเน้นที่จะทำลายชื่อเสียงกองทัพบกไทย และเปรียบเทียบว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก มีพฤติกรรมเป็นเผด็จการไม่แตกต่างกับนายไมเคิล ซัลลุฟยา ซาตา ประธานาธิบดีแซมเบีย และให้ร้ายว่า ผบ.ทบ.ฟ้องหมิ่นประมาทเพื่อสกัดกั้นมิให้เขาเข้าประเทศไทยได้อีก
การสร้างความสับสนให้กับสาธารณชนโลกเห็นว่า พล.อ.ประยุทธ์ เป็นเผด็จการ เป็นการบิดเบื้อนให้ต่างชาติมองประเทศไทยว่าเป็นรัฐบาลทหาร หรือทหารอยู่เบื้องหลัง เพื่อสร้างภาพทักษิณว่าเป็นประชาธิปไตยตัวจริง และถูกเผด็จการรังแกแต่เขาละเว้นไม่ได้พูดถึงคดีคดโกงที่ทักษิณผิดจริงและศาลพิพากษาจำคุกแล้ว
ก็มันเป็นหน้าที่ของนายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ที่จะสร้างความถูกต้องให้กับทักษิณ และข้อมูลเหล่านี้จะถูกลำเลียงออกสู่สาธารณชนโลกซึ่งถูกล้างสมองได้ง่าย เพราะประเทศไทยไม่มีความสำคัญอะไรต่อชีวิตของพวกเขานัก เพียงให้ชาวโลกรับรู้แต่ว่ามีอดีตนักการเมืองไทยที่ชื่อทักษิณบริสุทธิ์แต่ถูกโค่นอำนาจเพราะเผด็จการ
ตรงนี้แหละคือเป้าหมายของทักษิณ ในการฟอกความชั่วของตัวเองให้หมดจดในสายตาของคนทั้งโลก และถ้าสำเร็จตามวัตถุประสงค์แล้ว คนไทยที่ต่อต้านเขาจะเป็นกลุ่มชนที่สนับสนุนเผด็จการทหาร และคนเสื้อแดงจะกลายเป็นกลุ่มบูชาประชาธิปไตยแบบทักษิณไปในทันที
นอกจากนี้กระแสการสร้างภาพให้เห็นว่ากองทัพบกใช้ความเหี้ยมโหดในการสลายฝูงชน และมีการใช้พลแม่นปืน ทั้งยังมีข้าราชการไทยที่ทำหน้าที่รักษากฎหมายร่วมมือในยุทธศาสตร์นี้ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พลตำรวจตรีอนุชัย เล็กบำรุง รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เรียกพลแม่นปืนกองทัพบกมาสอบสวน กรณีนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน เพราะปกติแล้วพลแม่นปืนจะไม่เปิดเผยตัวในที่สาธารณะ หรือมีชื่อในบัญชีหน่วยทหารว่าเป็นพลแม่นปืน แต่จะมีบัญชีลับในอัตราลับที่สุดของหน่วยทหาร
ลองนึกภาพของพลแม่นปืนที่ถูกเปิดเผย ว่าเขาจะทำงานรับใช้ชาติได้อย่างไร ในเมื่อเขาถูกเปิดเผยชื่อไปแล้ว พลแม่นปืนของหน่วยปราบปรามพิเศษของสำนักงานตำรวจแห่งชาติก็เช่นกัน ย่อมปกปิดสถานภาพของกำลังพล เวลาปฏิบัติงานก็จะปิดหน้าปิดตาไม่เปิดเผยต่อสาธารณะเหมือนไอ้โม่งชุดดำยิงทหารด้วยปืนอาร์ก้าในวันที่ 10 เมษายน 2553
จึงขอเน้นว่า กองทัพบกปฏิบัติงานภายใต้พระราชกำหนดการบริหารราชการในภาวะฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ซึ่งรัฐบาลทักษิณเป็นคนนำเสนอและผ่านสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่ 16 กรกฎาคม 2548 และมีสาระสำคัญที่ทหารสามารถกระทำได้ตามกฎหมายนี้ คือ กระทำการใดๆ ภายใต้กฎหมายนี้ให้บ้านเมืองสู่ความสงบสุขโดยเร็ว และในมาตรา 11 กำหนดไว้ว่า “ในกรณีที่สถานการณ์ฉุกเฉิน การก่อการร้าย การใช้กำลังประทุษร้ายต่อชีวิต ร่างกาย หรือทรัพย์สิน หรือมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่ามีการกระทำที่มีความรุนแรง กระทบต่อความมั่นคงของรัฐ ความปลอดภัยในชีวิตหรือทรัพย์สินของรัฐหรือบุคคล และมีความจำเป็นที่จะต้องเร่งแก้ไขปัญหาให้ยุติโดยเร็วได้อย่างมีประสิทธิภาพและทันท่วงที”
การยิงระเบิด M-79 ของคนเสื้อแดงใส่คนบริสุทธิ์บริเวณแยกศาลาแดง มีแม่ค้าเสียชีวิตหนึ่งคน และการปิดล้อมและการเข้าตรวจค้นโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ของอันธพาลเสื้อแดงนั้น เป็นการกระทำของอารยชนหรือผู้ก่อการร้าย หรืออย่างไร เป็นการชุมนุมโดยสันติหรือไม่ ชาวไทยชาวโลกต้องพิเคราะห์พิจารณาอย่างยุติธรรม
การยึดครองพื้นที่ด้วยเครื่องกั้น เช่น ไม้รวกนับหมื่นท่อน พร้อมด้วยยางรถยนต์นับหมื่นเส้น ให้เป็นกำแพงปิดล้อมอาณาเขตยึดครอง และนี่หรือคือการประท้วงโดยสันติตามที่นายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ได้ให้สัมภาษณ์ไว้
คนไทยต้องสำนึกและตระหนักอย่างชัดแจ้งว่า เหตุการณ์พฤษภาหฤโหดของคนเสื้อแดง เป็นการยึดอำนาจอธิปไตยบูรณภาพแห่งแผ่นดินไทยในกรุงเทพมหานครเลยทีเดียว เป็นการยึดแผ่นดินของทักษิณและคนเสื้อแดง
หลังจากการที่คนไทยส่วนใหญ่ออกมาต่อต้านพฤติกรรมยึดชาติของทักษิณและคนเสื้อแดงแล้วและการยึดพื้นที่สี่แยกราชประสงค์ไม่สามารถที่จะกดดันบีบคั้นให้คนไทยออกมากดดันเรียกร้องให้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ลาออกหรือยุบสภาได้ จึงจำเป็นต้องยุติการชุมนุมด้วยตัวของมันเองในวันที่ 19 พฤษภาคม หลังจากที่ยึดกรุงเทพฯ ไว้ 3 เดือน และแผนชั่วร้ายก็เกิดขึ้นตั้งแต่เวลาบ่าย 2 โมงเศษของวันนั้นนั่นเอง ที่บรรดาอันธพาลรับจ้างเริ่มแผนอุบาทว์ปล้นและเผาเมือง ไม่เฉพาะในกรุงเทพฯ เท่านั้น แต่เกิดขึ้นในหลายจังหวัดที่ศาลากลางจังหวัดถูกเผา จนเกิดความเสียหายมูลค่านับพันล้านบาท เช่น การเผาโรงหนังสยามสแควร์ โรงแรมเซ็นทาราราชประสงค์ การไฟฟ้านครหลวงคลองเตย ธนาคารกรุงไทย สาขาอโศก ธนาคารออมสิน สาขาดินแดง ห้างเซ็น และเซ็นทรัลเวิลด์ รวมทั้งสิ้น 26 แห่ง
เหตุการณ์เหล่านี้นายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ไม่เคยแถลงให้สาธารณชนโลกรู้แต่ประกาศว่าเป็นการชุมนุมโดยสันติ นิยามศัพท์ของนายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ที่ว่าชุมนุมโดยสันติเป็นอย่างไรนั้น ขึ้นอยู่กับอำนาจเงินที่นายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ได้รับ สมมติว่ามีการชุมนุมต่อต้านรัฐบาลนายอภิสิทธิ์และมีการเผากรุงเทพฯ ไหม้วอดวายไปครึ่งเมือง นายคนนี้ก็ยังคงประกาศว่าเป็นการชุมนุมอย่างสันติ
นายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม นั้น ถูกจ้างให้ทำหน้าที่เป็นทัพหน้าทำสงครามจิตวิทยาสากลสนับสนุนทักษิณและพลพรรคเสื้อแดง อันเป็นหนึ่งในแก้วสามประการของทักษิณในยุทธศาสตร์ยึดครองประเทศไทย
นายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม เกิดในสหรัฐฯ เมื่อปี ค.ศ. 1956 และครอบครัวย้ายไปตั้งถิ่นฐานที่โตรอนโต ประเทศแคนาดา จึงกลายเป็นชาวแคนาดา มีการศึกษาศิลปศาสตร์ในระดับปริญญาตรี และเรียนกฎหมายในระดับปริญญาโท จนกระทั่งได้เนติบัณฑิต และมีสำนักงานกฎหมายในโตรอนโต นิวยอร์ก และลอนดอน
หากจะเปรียบเทียบกับกลุ่มทนายความบริษัทล็อบบี้ยิสต์อื่นๆ ที่ทักษิณได้จ้างวานให้ดำเนินกลยุทธ์ทางการเมืองข้ามชาติ เพื่อให้รัฐบาลสหรัฐฯ กดดันรัฐบาลชาติต่างๆ ไม่ให้ต่อต้านทักษิณ และครั้งล่าสุดทักษิณเดินทางไปสหรัฐฯ เพื่อเปิดศึกจิตวิทยาการเมือง และการเจรจาแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ทางยุทธศาสตร์ของทักษิณกับสหรัฐฯ ทักษิณอยู่ในฐานะได้เปรียบสหรัฐฯ ที่กำลังทำสงครามเย็นยุคที่ 2 กับจีนอยู่ โดยทักษิณได้ไปพบกับนายสตีเฟน เพนน์ นักล็อบบี้ยิสต์หนุนการเมืองสายสามานย์ตระกูลบุชที่เมืองฮุสตัน รัฐเท็กซัส โดยขณะนี้ก็มีกระแสการขอใช้อู่ตะเภาของสหรัฐฯ ผุดขึ้นมาอีก ซึ่งล็อบบี้ยิสต์ทั้งหมดกำลังปฏิบัติเชิงการเมืองบีบรัฐบาลไทยที่อ่อนแอในเชิงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศตามที่อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้วิเคราะห์ไว้ โดยเน้นให้กรุงเทพฯ เป็นศูนย์กลางสำคัญ และใช้เป็นฐานยุทธศาสตร์การรุกทางจิตวิทยาทำลายชื่อเสียงกองทัพบกไทย ให้มีฐานะเหมือนกับประเทศที่มีอารยธรรมการเมืองต่ำและโหดเหี้ยม เช่น กองทัพเขมรแดงในอดีต หรือหน่วยทหารในแอฟริกาบางประเทศที่มีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ และนั่นเป็นหน้าที่ของนายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ผู้ซึ่งเปรียบเสมือนทนายซาตาน ผู้ที่ว่าความให้พวกเปรตซาตานจากนรกอเวจี
นายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม มีประวัติการว่าความให้กับคนไร้คุณธรรม โหดเหี้ยม และคดโกง เช่น กรณีว่าความให้กับนาย มิเกล โคดอร์คอฟสกี้ (Mikhal Khodorkovsky) อดีตประธานหัวหน้าบริหาร บริษัทกลุ่มยูคอส มีนาเทป แห่งสาธารณรัฐรัสเซีย ซึ่งเป็นบริษัทที่มีประวัติคดโกง
ในปี ค.ศ. 2005 นายมิเกล โคดอร์คอฟสกี้ ถูกศาลรัสเซียตัดสินจำคุก 8 ปี ฐานโกงเงินและหนีภาษี แต่นายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ไม่สามารถเข้าประเทศได้ เพราะรัฐบาลรัสเซียไม่ออกวีซ่าให้ ซึ่งผู้บริหารบริษัทยูคอสปรารภว่านายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ใช้แนวทางการว่าความเชิงดูหมิ่นการเมืองและระบอบการเมืองของรัสเซีย โดยพยายามทำให้คดีของนายมิเกล โคดอร์คอฟสกี้ เป็นคดีการเมืองและมีการเมืองแทรกแซง แต่ไม่พยายามแก้ต่างเรื่องที่ถูกอัยการฟ้องร้องว่าคดโกง ทำบัญชีผีและหนีภาษี ซึ่งมีหลักฐานชัดเจน
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่นายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ได้ใช้สื่อต่างประเทศเป็นกลไกสำคัญของทนายต่างชาติคนนี้ ใช้ในการทำลายชื่อเสียงของรัฐบาลที่เป็นศัตรูกับลูกค้าของเขา ในกรณีประเทศไทยนั้นนายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม มุ่งเน้นที่จะทำลายชื่อเสียงกองทัพบกไทย และเปรียบเทียบว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก มีพฤติกรรมเป็นเผด็จการไม่แตกต่างกับนายไมเคิล ซัลลุฟยา ซาตา ประธานาธิบดีแซมเบีย และให้ร้ายว่า ผบ.ทบ.ฟ้องหมิ่นประมาทเพื่อสกัดกั้นมิให้เขาเข้าประเทศไทยได้อีก
การสร้างความสับสนให้กับสาธารณชนโลกเห็นว่า พล.อ.ประยุทธ์ เป็นเผด็จการ เป็นการบิดเบื้อนให้ต่างชาติมองประเทศไทยว่าเป็นรัฐบาลทหาร หรือทหารอยู่เบื้องหลัง เพื่อสร้างภาพทักษิณว่าเป็นประชาธิปไตยตัวจริง และถูกเผด็จการรังแกแต่เขาละเว้นไม่ได้พูดถึงคดีคดโกงที่ทักษิณผิดจริงและศาลพิพากษาจำคุกแล้ว
ก็มันเป็นหน้าที่ของนายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ที่จะสร้างความถูกต้องให้กับทักษิณ และข้อมูลเหล่านี้จะถูกลำเลียงออกสู่สาธารณชนโลกซึ่งถูกล้างสมองได้ง่าย เพราะประเทศไทยไม่มีความสำคัญอะไรต่อชีวิตของพวกเขานัก เพียงให้ชาวโลกรับรู้แต่ว่ามีอดีตนักการเมืองไทยที่ชื่อทักษิณบริสุทธิ์แต่ถูกโค่นอำนาจเพราะเผด็จการ
ตรงนี้แหละคือเป้าหมายของทักษิณ ในการฟอกความชั่วของตัวเองให้หมดจดในสายตาของคนทั้งโลก และถ้าสำเร็จตามวัตถุประสงค์แล้ว คนไทยที่ต่อต้านเขาจะเป็นกลุ่มชนที่สนับสนุนเผด็จการทหาร และคนเสื้อแดงจะกลายเป็นกลุ่มบูชาประชาธิปไตยแบบทักษิณไปในทันที
นอกจากนี้กระแสการสร้างภาพให้เห็นว่ากองทัพบกใช้ความเหี้ยมโหดในการสลายฝูงชน และมีการใช้พลแม่นปืน ทั้งยังมีข้าราชการไทยที่ทำหน้าที่รักษากฎหมายร่วมมือในยุทธศาสตร์นี้ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พลตำรวจตรีอนุชัย เล็กบำรุง รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เรียกพลแม่นปืนกองทัพบกมาสอบสวน กรณีนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน เพราะปกติแล้วพลแม่นปืนจะไม่เปิดเผยตัวในที่สาธารณะ หรือมีชื่อในบัญชีหน่วยทหารว่าเป็นพลแม่นปืน แต่จะมีบัญชีลับในอัตราลับที่สุดของหน่วยทหาร
ลองนึกภาพของพลแม่นปืนที่ถูกเปิดเผย ว่าเขาจะทำงานรับใช้ชาติได้อย่างไร ในเมื่อเขาถูกเปิดเผยชื่อไปแล้ว พลแม่นปืนของหน่วยปราบปรามพิเศษของสำนักงานตำรวจแห่งชาติก็เช่นกัน ย่อมปกปิดสถานภาพของกำลังพล เวลาปฏิบัติงานก็จะปิดหน้าปิดตาไม่เปิดเผยต่อสาธารณะเหมือนไอ้โม่งชุดดำยิงทหารด้วยปืนอาร์ก้าในวันที่ 10 เมษายน 2553
จึงขอเน้นว่า กองทัพบกปฏิบัติงานภายใต้พระราชกำหนดการบริหารราชการในภาวะฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ซึ่งรัฐบาลทักษิณเป็นคนนำเสนอและผ่านสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่ 16 กรกฎาคม 2548 และมีสาระสำคัญที่ทหารสามารถกระทำได้ตามกฎหมายนี้ คือ กระทำการใดๆ ภายใต้กฎหมายนี้ให้บ้านเมืองสู่ความสงบสุขโดยเร็ว และในมาตรา 11 กำหนดไว้ว่า “ในกรณีที่สถานการณ์ฉุกเฉิน การก่อการร้าย การใช้กำลังประทุษร้ายต่อชีวิต ร่างกาย หรือทรัพย์สิน หรือมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่ามีการกระทำที่มีความรุนแรง กระทบต่อความมั่นคงของรัฐ ความปลอดภัยในชีวิตหรือทรัพย์สินของรัฐหรือบุคคล และมีความจำเป็นที่จะต้องเร่งแก้ไขปัญหาให้ยุติโดยเร็วได้อย่างมีประสิทธิภาพและทันท่วงที”
การยิงระเบิด M-79 ของคนเสื้อแดงใส่คนบริสุทธิ์บริเวณแยกศาลาแดง มีแม่ค้าเสียชีวิตหนึ่งคน และการปิดล้อมและการเข้าตรวจค้นโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ของอันธพาลเสื้อแดงนั้น เป็นการกระทำของอารยชนหรือผู้ก่อการร้าย หรืออย่างไร เป็นการชุมนุมโดยสันติหรือไม่ ชาวไทยชาวโลกต้องพิเคราะห์พิจารณาอย่างยุติธรรม
การยึดครองพื้นที่ด้วยเครื่องกั้น เช่น ไม้รวกนับหมื่นท่อน พร้อมด้วยยางรถยนต์นับหมื่นเส้น ให้เป็นกำแพงปิดล้อมอาณาเขตยึดครอง และนี่หรือคือการประท้วงโดยสันติตามที่นายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ได้ให้สัมภาษณ์ไว้
คนไทยต้องสำนึกและตระหนักอย่างชัดแจ้งว่า เหตุการณ์พฤษภาหฤโหดของคนเสื้อแดง เป็นการยึดอำนาจอธิปไตยบูรณภาพแห่งแผ่นดินไทยในกรุงเทพมหานครเลยทีเดียว เป็นการยึดแผ่นดินของทักษิณและคนเสื้อแดง
หลังจากการที่คนไทยส่วนใหญ่ออกมาต่อต้านพฤติกรรมยึดชาติของทักษิณและคนเสื้อแดงแล้วและการยึดพื้นที่สี่แยกราชประสงค์ไม่สามารถที่จะกดดันบีบคั้นให้คนไทยออกมากดดันเรียกร้องให้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ลาออกหรือยุบสภาได้ จึงจำเป็นต้องยุติการชุมนุมด้วยตัวของมันเองในวันที่ 19 พฤษภาคม หลังจากที่ยึดกรุงเทพฯ ไว้ 3 เดือน และแผนชั่วร้ายก็เกิดขึ้นตั้งแต่เวลาบ่าย 2 โมงเศษของวันนั้นนั่นเอง ที่บรรดาอันธพาลรับจ้างเริ่มแผนอุบาทว์ปล้นและเผาเมือง ไม่เฉพาะในกรุงเทพฯ เท่านั้น แต่เกิดขึ้นในหลายจังหวัดที่ศาลากลางจังหวัดถูกเผา จนเกิดความเสียหายมูลค่านับพันล้านบาท เช่น การเผาโรงหนังสยามสแควร์ โรงแรมเซ็นทาราราชประสงค์ การไฟฟ้านครหลวงคลองเตย ธนาคารกรุงไทย สาขาอโศก ธนาคารออมสิน สาขาดินแดง ห้างเซ็น และเซ็นทรัลเวิลด์ รวมทั้งสิ้น 26 แห่ง
เหตุการณ์เหล่านี้นายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ไม่เคยแถลงให้สาธารณชนโลกรู้แต่ประกาศว่าเป็นการชุมนุมโดยสันติ นิยามศัพท์ของนายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ที่ว่าชุมนุมโดยสันติเป็นอย่างไรนั้น ขึ้นอยู่กับอำนาจเงินที่นายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ได้รับ สมมติว่ามีการชุมนุมต่อต้านรัฐบาลนายอภิสิทธิ์และมีการเผากรุงเทพฯ ไหม้วอดวายไปครึ่งเมือง นายคนนี้ก็ยังคงประกาศว่าเป็นการชุมนุมอย่างสันติ