ASTVผู้จัดการรายวัน-"นิคม"เฉือน"พิเชต" 77-69 คะแนน ได้นั่งปธ.วุฒิฯ สมใจอยาก หลังต้องลงคะแนนถึง 2 รอบ ยันจะทำหน้าที่เป็นกลาง แม้ที่ผ่านมาจะถูกมองว่าเอนเอียงเข้าข้างรัฐบาล พร้อมประกาศแก้รธน. โละส.ว.สรรหา
เมื่อวานนี้ (14 ส.ค.) มีการประชุมวุฒิสภานัดพิเศษ เพื่อเลือกประธานวุฒิสภา แทนตำแหน่งที่ว่าง หลังจาก พล.อ.ธีรเดช มีเพียร ส.ว.สรรหา ขาดคุณสมบัติการดำรงตำแหน่งประธานวุฒิสภา เหตุศาลมีคำพิพากษาให้จำคุก แต่รอลงอาญา 2 ปี ฐานขึ้นเงินเดือนตนเอง สมัยที่ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจการแผ่นดิน
โดยการประชุมได้เริ่มขึ้นเมื่อเวลา 10.10 น. โดยก่อนเข้าสู่วาระ สมาชิกได้หารือถึงขั้นตอนการลงคะแนนลับ โดยนายวันชัย สอนศิริ ส.ว.สรรหา หารือว่า ที่ผ่านมาพบว่ามีการถ่ายภาพการกาคะแนนในบัตรลงคะแนน จากนั้นนำไปคุยกับเพื่อนส.ว.ว่าได้ลงคะแนนให้กับบุคคลนั้นๆ แล้ว ซึ่งถือว่าการลงคะแนนดังกล่าวไม่เป็นความลับ ดังนั้นที่ประชุมควรหามาตรการป้องกันไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีก
โดยนายสมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหา เห็นด้วยกับข้อเสนอดังกล่าว เพื่อสร้างความโปร่งใส จึงเสนอให้ส.ว.ที่จะลงคะแนน นำโทรศัพท์มือถือฝากไว้กับเจ้าหน้าที่ก่อน ทั้งนี้ยังมี ส.ว.เลือกตั้ง อภิปรายคัดค้านข้อเสนอดังกล่าว อาทิ นางนฤมล ศิริวัฒน์ ส.ว.อุตรดิตถ์ อภิปรายว่า เลือกประธานวุฒิสภา 2 ครั้ง ไม่เห็นต้องดำเนินการอย่างที่มีผู้เสนอ วันนี้ส่อว่า มีบรรยากาศไม่มั่นใจ และไม่ไว้วางใจ ของพวกเราต่อกันและกัน ควรทำอย่างที่เคยทำ ไม่เช่นนั้นก็ให้เจ้าหน้าที่นำตระกร้ามาเก็บโทรศัพท์ของส.ว. เพื่อจะได้ไม่ต้องเสียเวลาพูดกันมาก ส่วนตัวมองว่าเป็นเรื่องที่ตลก แต่ขำไม่ออก น่าอาย เราเป็นส.ว. ไม่ควรทำกันถึงขนาดนั้น
พ.ต.ท.จิตต์ ศรีโยหะ มุกดาธนพงศ์ ส.ว.มุกดาหาร อภิปรายว่า ที่ผ่านมาไม่เคยมีการเสนอให้เก็บโทรศัพท์ หรือตรวจร่างกายเพื่อความปลอดภัย หากต้องการเช่นนั้น แน่จริงให้ถอดกางเกง เหลือแต่กางเกงชั้นใน
“คนเราอย่าระแวงกันมากเกินไป ทำงานมาด้วยกัน 4-5 ปีแล้ว เป็นผู้ใหญ่ทั้งนั้น จะมีความระแวงเป็นเด็กๆ อยู่อีกหรือ ส.ว.ไม่ใช่เด็กอนุบาล ดังนั้นผมขอให้ดำเนินการตามขั้นตอนที่วางไว้เป็นบรรทัดฐานในการเลือกประธานวุฒิสภาที่ผ่านมา” พ.ต.ท.จิตต์ กล่าว
นายกฤช อาทิตย์แก้ว ส.ว.กำแพงเพชร อภิปรายว่า “ผมเห็นด้วยกับพ.ต.ท.จิตต์ หากเช่นนั้นไม่ต้องใส่เสื้อนอก เนคไทไม่ต้องผูก จะได้สะอาดไร้มลทิน เราเลือกมาแล้วหลายครั้ง ไม่เคยมีการร้องเรียกกล่าวหาใดๆ โตๆ กันแล้ว ไม่อยากพูด ทุกคนมีเกียรติมีศักดิ์ศรี ขอให้ดำเนินการไปตามขั้นตอน”
ขณะที่ นพ.อนันท์ อริยะชัยพาณิชย์ ส.ว.สุรินทร์ อภิปรายยอมรับว่า ที่ผ่านมาตนใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายภาพการลงคะแนนอยู่บ่อยๆ แต่ไม่ใช่นำไปเรียกร้องเอาเงินจากบุคคลใด หรือขออามิสสินจ้างกับใคร
ต่อมาที่ประชุมเปิดโอกาสให้มีการเสนอชื่อบุคคลที่จะเข้ารับการคัดเลือกเป็นประธานวุฒิสภา โดยนายดิเรก ถึงฝั่ง ส.ว.นนทบุรี เสนอชื่อ นายนิคม ไวยรัชพานิช ส.ว.ฉะเชิงเทรา, นางเกศินี แจวัฒนะ ส.ว.อยุธยา เสนอชื่อน.ส.สุนันท์ สิงห์สมบูรณ์ ส.ว.สรรหา, นายอโณทัย ฤทธิปัญญาวงศ์ ส.ว.สรรหา เสนอชื่อ นายพิเชต สุนทรพิพิธ ส.ว.สรรหา และ นายพรพจน์ กังวาร ส.ว.ระนอง เสนอชื่อ นายเกชา ศักดิ์สมบูรณ์ ส.ว.ราชบุรี
จากนั้นนางพรทิพย์ โล่ห์จันทระปรีดา รองประธานวุฒิสภา คนที่ 2 ขึ้นทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม โดยให้ผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อจับฉลาก เพื่อลำดับการขึ้นแสดงวิสัยทัศน์ และให้แสดงวิสัยทัศน์ต่อที่ประชุม
โดยน.ส.สุนันท์ ซึ่งจับฉลากเป็นผู้แสดงวิสัยทัศน์คนแรก กล่าวว่า หากตนได้รับเลือกเป็นประธานวุฒิสภา หญิงคนแรก ยืนยันว่า จะทำหน้าที่ไม่ด้อยไปกว่าประธานที่เป็นสุภาพบุรุษ สตรีที่บทบาทสำคัญในเวทีโลก เช่น นางฮิลลารี คลินตัน รมว.ต่างประเทศ สหรัฐอเมริกา นางอองซาน ซูจี และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯ นอกจากนั้นจะทำงานด้วยความเป็นกลาง ด้วยความเข้มแข็ง และพาวุฒิสภาไปสู่ความสำเร็จ
จากนั้น นายพิเชต แสดงวิสัยทัศน์ต่อที่ประชุมวุฒิสภา ว่า ตนไม่ถือว่าเป็นตัวแทนของส.ว.สรรหา ที่จะมาแข่งกับตัวแทนของ ส.ว.เลือกตั้ง เพราะยึดว่าการสรรหา หรือเลือกตั้ง เป็นเพียงวิธีการให้ได้มาซึ่งส.ว. ที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญเท่านั้น และเมื่อมาเป็นส.ว.แล้ว ล้วนมีบทบาทความรับผิดชอบเหมือนกันหมด ตนมองว่าหากยึดติดกับที่มาของส.ว. จะไม่สามารถก้าวข้ามความขัดแย้ง ไม่สามารถสร้างความาสมานฉันท์ หรือปรองดองได้ หากใครถามว่าตนว่าอยู่สีไหน ตนตอบด้วยความมั่นใจคือ สีแดง ขาว น้ำเงิน คือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
“หากได้รับการสนับสนุน ยืนยันจะทำหน้าที่ด้วยความเป็นกลาง ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด แม้วุฒิสภาเป็นส่วนหนึ่งของการเมือง แต่จะไม่นำไปเป็นปัญหาทางการเมือง อยากเห็นวุฒิสภาเป็นกุญแจสำคัญในการขจัดความขัดแย้งในสังคม ซึ่งการจะทำเช่นนั้นได้ ต้องการความร่วมมือจาก ส.ว.ทุกคน ผมจะทำงานแบบเปิดกว้าง และรับฟังความคิดเห็น ผมจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ส่วนเรื่องสุขภาพของผมยืนยันว่า แข็งแรง” นายพิเชต แสดงวิสัยทัศน์
ส่วนนายเกชา กล่าวว่า ตนจะตั้งใจปฏิบัติหน้าที่เพื่อส่วนรวม มุ่งมั่น ทำงานเพื่อประเทศชาติ และฝ่ายนิติบัญญัติ หากได้รับเลือกประธานวุฒิสภา จะควบคุมการบริหารราชการ ทำหน้าที่เป็นกลาง ปราศจาคอคติ เพื่อรักษาภาพพจน์รัฐสภา วุฒิสภา และประเทศชาติ ที่จะปรากฎสู่สายตาประเทศ และประชมคมโลก
นอกจากนั้นจะทำงานด้วยความเสมอภาค ให้เกียรติส.ว.ทุกคน พร้อมยอมรับฟังความเห็นจากทุกฝ่าย ส่งเสริมให้เกิดความปรองดอง ผลักดันการทำงานทุกๆด้านให้มีประสิทธิภาพ ยึดข้อบังคับประชุม และประมวลจริธยธรรมวุฒิสภา และจะสนับสนุนการทำงานของกรรมาธิการอย่างเต็มที่ รวมถึงพัฒนาองค์กรวุฒิสภาให้มีความพร้อม เพื่อเข้าสู่ประชาคมอาเซียน
" ผมขอโอกาสให้กับคนรุ่นใหม่ เข้ามาทำงานตามเจตนารมย์ที่วางไว้ ว่าจะทำงานเพื่อประชาชน และประเทศชาติ โดยจะอุทิศเวลาให้กับการทำหน้าที่อย่างเต็มที่ พร้อมทั้งทำงานโปร่งใส ซื่อสัตย์ และจะคิดหรือตัดสินใจด้วยตนเอง" นายเกชา กล่าว
จากนั้น นายนิคม กล่าวแสดงวิสัยทัศน์ ว่า ตลอดเวลา 4 ปีที่ทำหน้าที่ในตำแหน่งรองประธานวุฒิสภา คนที่ 1 พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ได้ทำให้องค์กรวุฒิสภาเป็นที่พึ่งของประชาชน ปราศจากการครอบงำทางการเมือง ซึ่งตนมีวิสัยทัศน์ที่จะเสนอ 4 ประการ คือ
1. จะทำหน้าหน้าที่อย่างเป็นกลาง ยึดหลักกฎหมาย นิติรัฐ และนิติธรรม ซึ่งบุคคลที่จะทำหน้าที่ประธานในที่ประชุมได้ ต้องรอบรู้ ชัดเจนในระเบียบข้อบังคับการประชุม และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง นอกจากนั้นแล้วจะไม่ทำหน้าที่ตามการกดดันของพรรคการเมืองหรือตามกระแสสังคม
2. ส่งเสริมการทำงานของกรรมาธิการให้มีความเข้มแข็ง ทำงานอย่างมีอิสระ ซึ่งที่ผ่านมาผลการทำงานของกรรมาธิการไม่ได้นำไปสู่ภาคปฏิบัติ ดังนั้นตนจะผลักดันให้รายงานผลการศึกษาของกรรมาธิการนำไปสู่การปฏิบัติ แก้ไข
3.สร้างความเข้มแข็งในการสรรหา คัดกรอง บุคคลที่ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ นอกจากนั้นจะสนับสนุนการทำหน้าที่ขององค์กรอิสระ
4.จะทำให้ ส.ว. เป็นองค์กรหลักในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
"ผมจะเพิ่มงบประมาณในส่วนของกรรมาธิการให้มากขึ้น โดยจะนำงบประมาณส่วนของประธานวุฒิสภา ไปสนับสนุนให้เกิดการทำงานที่เข้มแข็ง นอกจากนั้นผมมีจุดแข็ง คือ ทำงานมาทุกตำแหน่ง ทั้ง บริหารการคลัง แพทย์ สาธารณสุข และผมเป็นคนความจำดี ผมขอโอกาสให้ตัวแทนที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ได้ทำหน้าที่ประธานวุฒิสภา เพราะขณะนี้เหลือการดำรงตำแหน่งอีก 1 ปีครึ่งเท่านั้น" นายนิคม กล่าว
จากนั้นที่ประชุมได้เปิดโอกาสให้สมาชิกวุฒิสภา ลงคะแนนเลือกตั้ง โดยเป็นการลงคะแนนลับ อย่างไรก็ตามก่อนการลงคะแนน ได้มีส.ว.หารือถึงประเด็นการนับองค์ประชุมว่าจะใช้จำนวนผู้มาลงชื่อเข้าประชุม หรือจำนวนผู้มาแสดงตน ทั้งนี้จากการหารือกันนานเกือบ 1ชั่วโมงที่ประชุมสรุปให้ยึดจำนวนผู้ที่มาลงชื่อเข้าประชุม คือ 146 คน
**"นิคม"นั่งปธ.วุฒิฯ หลังนับคะแนนรอบ 2
ภายหลังจากการนับคะแนนในการเลือกประธานวุฒิสภาฯครั้งแรกปรากฏว่า นายพิเชต ได้ 63 คะแนน นายนิคม ได้ 46 คะแนน นายเกชา ได้ 35 คะแนน และ น.ส.สุนันท์ ได้ 2 คะแนน ซึ่งผลปรากฏว่า นายพิเชต ที่ได้คะแนนสูงสุด แต่กลับไม่ถึงกึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิก คือ 73 คะแนน จึงต้องลงคะแนนเลือกกันใหม่ อีกครั้งหนึ่ง กับผู้ที่ได้คะแนนเป็นอันดับ 2 คือ นายนิคม ซึ่งผลการนับคะแนนครั้งที่สอง ปรากฏว่า นายนิคม ได้ 77 คะแนน ด้านนายพิเชตได้ 69 คะแนน ซึ่งถือว่านายนิคม เป็นผู้ที่ได้รับตำแหน่งประธานวุฒิสภา เป็นคนใหม่
ทั้งนี้การนับคะแนนที่เกิดขึ้นเป็นไปอย่างสูสี มีการสลับกันขึ้นเป็นผู้นำ เรียกได้ว่าเป็นการนับคะแนนต่อคะแนนเลยทีเดียว
** แนะแก้รธน.รายมาตรา -ไม่เอาส.ว.สรรหา
นายนิคม กล่าวภายหลังที่ประชุมคะแนนเลือกให้เป็นประธานวุฒิสภา ว่า ตนจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเป็นกลาง ยึดตามข้อบังคับอย่างเคร่งครัด ส่วนในการอภิปรายในสภาฯนั้น หลายท่านก็ได้เห็นมาแล้ว ว่าตนมีความเป็นกลาง เพียงแต่ในบางครั้ง อาจจะมีการอภิปรายที่ดูเหมือนจะสนับสนุนทางฝ่ายรัฐบาล จึงอาจถูกมองว่า มีเจตนาไม่เป็นกลาง
อย่างไรก็ตามขอยืนยันว่า จะไม่ทำตามกระแสกดดันทางการเมือง แต่จะยึดหลักนิติรัฐ นิติธรรม หาทางออกที่ช่วยให้ประเทศเดินหน้าไปได้ อะไรที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน ก็จะให้การสนับสนุน เพื่อให้การทำงานบรรลุสู่เป้าหมาย ส่วนในเรื่องการปรองดองนั้น ตนเห็นว่า ต้องมีการทำความเข้าใจ และรู้จักให้อภัยซึ่งกันและกัน
ส่วนการคัดเลือกตำแหน่งรองประธานวุฒิสภาฯ คนที่ 1 แทนตนนั้น นายนิคม กล่าวว่า ก็แล้วแต่สมาชิกในที่ประชุมจะเป็นผู้คัดเลือก
ผู้สื่อข่าวถามว่า หากรองประธานวุฒิสภาคนที่ 1 มาจากสายเลือกตั้ง จะทำให้มีปัญหาในการทำงานกับส.ว.สรรหาหรือไม่ เพราะทั้งประธาน และรองทั้ง 2 คน ก็ล้วนมาจากส.ว.เลือกตั้งทั้งสิ้น นายนิคม กล่าวว่า ตนเชื่อว่า หากรองประธานคนที่ 1 มาจากสายเลือกตั้ง ก็ไม่น่าจะมีปัญหา อย่างไปแบ่งแยกมาว่ามาจากสายเลือกตั้ง หรือสรรหา ซึ่งบทบาทของวุฒิสภาต่อจากนี้ไปก็จะต้องเป็นหลักให้กับบ้านเมือง
เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ยังเห็นสมควรว่า ส.ว. จะต้องมาจากการเลือกตั้งทั้งหมดหรือไม่ นายนิคม กล่าวว่า ตนเห็นว่าการให้สิทธิแก่ประชาชนในการเลือกผู้แทน น่าจะเป็นหลัก และไม่ได้หมายความว่า หากมีการออกกฎหมายในลักษณะเช่นนี้ จะเป็นการลิดรอนสิทธิของฝ่ายสรรหา
ส่วนการลงมติเรื่องรัฐธรรมนูญในวาระ 3 นั้น ตนเห็นว่า สมควรที่จะให้หยุดในเรื่องนี้ไว้ก่อน เพื่อเอากลับไปดูว่า มีข้อบกพร่องตรงไหน อีกทั้งจะต้องมีการนำกลับไปทำประชามติ เพื่อฟังความคิดเห็นของประชาชน ส่วนมาตราใด ที่มีความจำเป็นเร่งด่วน ก็ให้แก้ไขเป็นรายมาตราไป
เมื่อวานนี้ (14 ส.ค.) มีการประชุมวุฒิสภานัดพิเศษ เพื่อเลือกประธานวุฒิสภา แทนตำแหน่งที่ว่าง หลังจาก พล.อ.ธีรเดช มีเพียร ส.ว.สรรหา ขาดคุณสมบัติการดำรงตำแหน่งประธานวุฒิสภา เหตุศาลมีคำพิพากษาให้จำคุก แต่รอลงอาญา 2 ปี ฐานขึ้นเงินเดือนตนเอง สมัยที่ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจการแผ่นดิน
โดยการประชุมได้เริ่มขึ้นเมื่อเวลา 10.10 น. โดยก่อนเข้าสู่วาระ สมาชิกได้หารือถึงขั้นตอนการลงคะแนนลับ โดยนายวันชัย สอนศิริ ส.ว.สรรหา หารือว่า ที่ผ่านมาพบว่ามีการถ่ายภาพการกาคะแนนในบัตรลงคะแนน จากนั้นนำไปคุยกับเพื่อนส.ว.ว่าได้ลงคะแนนให้กับบุคคลนั้นๆ แล้ว ซึ่งถือว่าการลงคะแนนดังกล่าวไม่เป็นความลับ ดังนั้นที่ประชุมควรหามาตรการป้องกันไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีก
โดยนายสมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหา เห็นด้วยกับข้อเสนอดังกล่าว เพื่อสร้างความโปร่งใส จึงเสนอให้ส.ว.ที่จะลงคะแนน นำโทรศัพท์มือถือฝากไว้กับเจ้าหน้าที่ก่อน ทั้งนี้ยังมี ส.ว.เลือกตั้ง อภิปรายคัดค้านข้อเสนอดังกล่าว อาทิ นางนฤมล ศิริวัฒน์ ส.ว.อุตรดิตถ์ อภิปรายว่า เลือกประธานวุฒิสภา 2 ครั้ง ไม่เห็นต้องดำเนินการอย่างที่มีผู้เสนอ วันนี้ส่อว่า มีบรรยากาศไม่มั่นใจ และไม่ไว้วางใจ ของพวกเราต่อกันและกัน ควรทำอย่างที่เคยทำ ไม่เช่นนั้นก็ให้เจ้าหน้าที่นำตระกร้ามาเก็บโทรศัพท์ของส.ว. เพื่อจะได้ไม่ต้องเสียเวลาพูดกันมาก ส่วนตัวมองว่าเป็นเรื่องที่ตลก แต่ขำไม่ออก น่าอาย เราเป็นส.ว. ไม่ควรทำกันถึงขนาดนั้น
พ.ต.ท.จิตต์ ศรีโยหะ มุกดาธนพงศ์ ส.ว.มุกดาหาร อภิปรายว่า ที่ผ่านมาไม่เคยมีการเสนอให้เก็บโทรศัพท์ หรือตรวจร่างกายเพื่อความปลอดภัย หากต้องการเช่นนั้น แน่จริงให้ถอดกางเกง เหลือแต่กางเกงชั้นใน
“คนเราอย่าระแวงกันมากเกินไป ทำงานมาด้วยกัน 4-5 ปีแล้ว เป็นผู้ใหญ่ทั้งนั้น จะมีความระแวงเป็นเด็กๆ อยู่อีกหรือ ส.ว.ไม่ใช่เด็กอนุบาล ดังนั้นผมขอให้ดำเนินการตามขั้นตอนที่วางไว้เป็นบรรทัดฐานในการเลือกประธานวุฒิสภาที่ผ่านมา” พ.ต.ท.จิตต์ กล่าว
นายกฤช อาทิตย์แก้ว ส.ว.กำแพงเพชร อภิปรายว่า “ผมเห็นด้วยกับพ.ต.ท.จิตต์ หากเช่นนั้นไม่ต้องใส่เสื้อนอก เนคไทไม่ต้องผูก จะได้สะอาดไร้มลทิน เราเลือกมาแล้วหลายครั้ง ไม่เคยมีการร้องเรียกกล่าวหาใดๆ โตๆ กันแล้ว ไม่อยากพูด ทุกคนมีเกียรติมีศักดิ์ศรี ขอให้ดำเนินการไปตามขั้นตอน”
ขณะที่ นพ.อนันท์ อริยะชัยพาณิชย์ ส.ว.สุรินทร์ อภิปรายยอมรับว่า ที่ผ่านมาตนใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายภาพการลงคะแนนอยู่บ่อยๆ แต่ไม่ใช่นำไปเรียกร้องเอาเงินจากบุคคลใด หรือขออามิสสินจ้างกับใคร
ต่อมาที่ประชุมเปิดโอกาสให้มีการเสนอชื่อบุคคลที่จะเข้ารับการคัดเลือกเป็นประธานวุฒิสภา โดยนายดิเรก ถึงฝั่ง ส.ว.นนทบุรี เสนอชื่อ นายนิคม ไวยรัชพานิช ส.ว.ฉะเชิงเทรา, นางเกศินี แจวัฒนะ ส.ว.อยุธยา เสนอชื่อน.ส.สุนันท์ สิงห์สมบูรณ์ ส.ว.สรรหา, นายอโณทัย ฤทธิปัญญาวงศ์ ส.ว.สรรหา เสนอชื่อ นายพิเชต สุนทรพิพิธ ส.ว.สรรหา และ นายพรพจน์ กังวาร ส.ว.ระนอง เสนอชื่อ นายเกชา ศักดิ์สมบูรณ์ ส.ว.ราชบุรี
จากนั้นนางพรทิพย์ โล่ห์จันทระปรีดา รองประธานวุฒิสภา คนที่ 2 ขึ้นทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม โดยให้ผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อจับฉลาก เพื่อลำดับการขึ้นแสดงวิสัยทัศน์ และให้แสดงวิสัยทัศน์ต่อที่ประชุม
โดยน.ส.สุนันท์ ซึ่งจับฉลากเป็นผู้แสดงวิสัยทัศน์คนแรก กล่าวว่า หากตนได้รับเลือกเป็นประธานวุฒิสภา หญิงคนแรก ยืนยันว่า จะทำหน้าที่ไม่ด้อยไปกว่าประธานที่เป็นสุภาพบุรุษ สตรีที่บทบาทสำคัญในเวทีโลก เช่น นางฮิลลารี คลินตัน รมว.ต่างประเทศ สหรัฐอเมริกา นางอองซาน ซูจี และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯ นอกจากนั้นจะทำงานด้วยความเป็นกลาง ด้วยความเข้มแข็ง และพาวุฒิสภาไปสู่ความสำเร็จ
จากนั้น นายพิเชต แสดงวิสัยทัศน์ต่อที่ประชุมวุฒิสภา ว่า ตนไม่ถือว่าเป็นตัวแทนของส.ว.สรรหา ที่จะมาแข่งกับตัวแทนของ ส.ว.เลือกตั้ง เพราะยึดว่าการสรรหา หรือเลือกตั้ง เป็นเพียงวิธีการให้ได้มาซึ่งส.ว. ที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญเท่านั้น และเมื่อมาเป็นส.ว.แล้ว ล้วนมีบทบาทความรับผิดชอบเหมือนกันหมด ตนมองว่าหากยึดติดกับที่มาของส.ว. จะไม่สามารถก้าวข้ามความขัดแย้ง ไม่สามารถสร้างความาสมานฉันท์ หรือปรองดองได้ หากใครถามว่าตนว่าอยู่สีไหน ตนตอบด้วยความมั่นใจคือ สีแดง ขาว น้ำเงิน คือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
“หากได้รับการสนับสนุน ยืนยันจะทำหน้าที่ด้วยความเป็นกลาง ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด แม้วุฒิสภาเป็นส่วนหนึ่งของการเมือง แต่จะไม่นำไปเป็นปัญหาทางการเมือง อยากเห็นวุฒิสภาเป็นกุญแจสำคัญในการขจัดความขัดแย้งในสังคม ซึ่งการจะทำเช่นนั้นได้ ต้องการความร่วมมือจาก ส.ว.ทุกคน ผมจะทำงานแบบเปิดกว้าง และรับฟังความคิดเห็น ผมจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ส่วนเรื่องสุขภาพของผมยืนยันว่า แข็งแรง” นายพิเชต แสดงวิสัยทัศน์
ส่วนนายเกชา กล่าวว่า ตนจะตั้งใจปฏิบัติหน้าที่เพื่อส่วนรวม มุ่งมั่น ทำงานเพื่อประเทศชาติ และฝ่ายนิติบัญญัติ หากได้รับเลือกประธานวุฒิสภา จะควบคุมการบริหารราชการ ทำหน้าที่เป็นกลาง ปราศจาคอคติ เพื่อรักษาภาพพจน์รัฐสภา วุฒิสภา และประเทศชาติ ที่จะปรากฎสู่สายตาประเทศ และประชมคมโลก
นอกจากนั้นจะทำงานด้วยความเสมอภาค ให้เกียรติส.ว.ทุกคน พร้อมยอมรับฟังความเห็นจากทุกฝ่าย ส่งเสริมให้เกิดความปรองดอง ผลักดันการทำงานทุกๆด้านให้มีประสิทธิภาพ ยึดข้อบังคับประชุม และประมวลจริธยธรรมวุฒิสภา และจะสนับสนุนการทำงานของกรรมาธิการอย่างเต็มที่ รวมถึงพัฒนาองค์กรวุฒิสภาให้มีความพร้อม เพื่อเข้าสู่ประชาคมอาเซียน
" ผมขอโอกาสให้กับคนรุ่นใหม่ เข้ามาทำงานตามเจตนารมย์ที่วางไว้ ว่าจะทำงานเพื่อประชาชน และประเทศชาติ โดยจะอุทิศเวลาให้กับการทำหน้าที่อย่างเต็มที่ พร้อมทั้งทำงานโปร่งใส ซื่อสัตย์ และจะคิดหรือตัดสินใจด้วยตนเอง" นายเกชา กล่าว
จากนั้น นายนิคม กล่าวแสดงวิสัยทัศน์ ว่า ตลอดเวลา 4 ปีที่ทำหน้าที่ในตำแหน่งรองประธานวุฒิสภา คนที่ 1 พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ได้ทำให้องค์กรวุฒิสภาเป็นที่พึ่งของประชาชน ปราศจากการครอบงำทางการเมือง ซึ่งตนมีวิสัยทัศน์ที่จะเสนอ 4 ประการ คือ
1. จะทำหน้าหน้าที่อย่างเป็นกลาง ยึดหลักกฎหมาย นิติรัฐ และนิติธรรม ซึ่งบุคคลที่จะทำหน้าที่ประธานในที่ประชุมได้ ต้องรอบรู้ ชัดเจนในระเบียบข้อบังคับการประชุม และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง นอกจากนั้นแล้วจะไม่ทำหน้าที่ตามการกดดันของพรรคการเมืองหรือตามกระแสสังคม
2. ส่งเสริมการทำงานของกรรมาธิการให้มีความเข้มแข็ง ทำงานอย่างมีอิสระ ซึ่งที่ผ่านมาผลการทำงานของกรรมาธิการไม่ได้นำไปสู่ภาคปฏิบัติ ดังนั้นตนจะผลักดันให้รายงานผลการศึกษาของกรรมาธิการนำไปสู่การปฏิบัติ แก้ไข
3.สร้างความเข้มแข็งในการสรรหา คัดกรอง บุคคลที่ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ นอกจากนั้นจะสนับสนุนการทำหน้าที่ขององค์กรอิสระ
4.จะทำให้ ส.ว. เป็นองค์กรหลักในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
"ผมจะเพิ่มงบประมาณในส่วนของกรรมาธิการให้มากขึ้น โดยจะนำงบประมาณส่วนของประธานวุฒิสภา ไปสนับสนุนให้เกิดการทำงานที่เข้มแข็ง นอกจากนั้นผมมีจุดแข็ง คือ ทำงานมาทุกตำแหน่ง ทั้ง บริหารการคลัง แพทย์ สาธารณสุข และผมเป็นคนความจำดี ผมขอโอกาสให้ตัวแทนที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ได้ทำหน้าที่ประธานวุฒิสภา เพราะขณะนี้เหลือการดำรงตำแหน่งอีก 1 ปีครึ่งเท่านั้น" นายนิคม กล่าว
จากนั้นที่ประชุมได้เปิดโอกาสให้สมาชิกวุฒิสภา ลงคะแนนเลือกตั้ง โดยเป็นการลงคะแนนลับ อย่างไรก็ตามก่อนการลงคะแนน ได้มีส.ว.หารือถึงประเด็นการนับองค์ประชุมว่าจะใช้จำนวนผู้มาลงชื่อเข้าประชุม หรือจำนวนผู้มาแสดงตน ทั้งนี้จากการหารือกันนานเกือบ 1ชั่วโมงที่ประชุมสรุปให้ยึดจำนวนผู้ที่มาลงชื่อเข้าประชุม คือ 146 คน
**"นิคม"นั่งปธ.วุฒิฯ หลังนับคะแนนรอบ 2
ภายหลังจากการนับคะแนนในการเลือกประธานวุฒิสภาฯครั้งแรกปรากฏว่า นายพิเชต ได้ 63 คะแนน นายนิคม ได้ 46 คะแนน นายเกชา ได้ 35 คะแนน และ น.ส.สุนันท์ ได้ 2 คะแนน ซึ่งผลปรากฏว่า นายพิเชต ที่ได้คะแนนสูงสุด แต่กลับไม่ถึงกึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิก คือ 73 คะแนน จึงต้องลงคะแนนเลือกกันใหม่ อีกครั้งหนึ่ง กับผู้ที่ได้คะแนนเป็นอันดับ 2 คือ นายนิคม ซึ่งผลการนับคะแนนครั้งที่สอง ปรากฏว่า นายนิคม ได้ 77 คะแนน ด้านนายพิเชตได้ 69 คะแนน ซึ่งถือว่านายนิคม เป็นผู้ที่ได้รับตำแหน่งประธานวุฒิสภา เป็นคนใหม่
ทั้งนี้การนับคะแนนที่เกิดขึ้นเป็นไปอย่างสูสี มีการสลับกันขึ้นเป็นผู้นำ เรียกได้ว่าเป็นการนับคะแนนต่อคะแนนเลยทีเดียว
** แนะแก้รธน.รายมาตรา -ไม่เอาส.ว.สรรหา
นายนิคม กล่าวภายหลังที่ประชุมคะแนนเลือกให้เป็นประธานวุฒิสภา ว่า ตนจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเป็นกลาง ยึดตามข้อบังคับอย่างเคร่งครัด ส่วนในการอภิปรายในสภาฯนั้น หลายท่านก็ได้เห็นมาแล้ว ว่าตนมีความเป็นกลาง เพียงแต่ในบางครั้ง อาจจะมีการอภิปรายที่ดูเหมือนจะสนับสนุนทางฝ่ายรัฐบาล จึงอาจถูกมองว่า มีเจตนาไม่เป็นกลาง
อย่างไรก็ตามขอยืนยันว่า จะไม่ทำตามกระแสกดดันทางการเมือง แต่จะยึดหลักนิติรัฐ นิติธรรม หาทางออกที่ช่วยให้ประเทศเดินหน้าไปได้ อะไรที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน ก็จะให้การสนับสนุน เพื่อให้การทำงานบรรลุสู่เป้าหมาย ส่วนในเรื่องการปรองดองนั้น ตนเห็นว่า ต้องมีการทำความเข้าใจ และรู้จักให้อภัยซึ่งกันและกัน
ส่วนการคัดเลือกตำแหน่งรองประธานวุฒิสภาฯ คนที่ 1 แทนตนนั้น นายนิคม กล่าวว่า ก็แล้วแต่สมาชิกในที่ประชุมจะเป็นผู้คัดเลือก
ผู้สื่อข่าวถามว่า หากรองประธานวุฒิสภาคนที่ 1 มาจากสายเลือกตั้ง จะทำให้มีปัญหาในการทำงานกับส.ว.สรรหาหรือไม่ เพราะทั้งประธาน และรองทั้ง 2 คน ก็ล้วนมาจากส.ว.เลือกตั้งทั้งสิ้น นายนิคม กล่าวว่า ตนเชื่อว่า หากรองประธานคนที่ 1 มาจากสายเลือกตั้ง ก็ไม่น่าจะมีปัญหา อย่างไปแบ่งแยกมาว่ามาจากสายเลือกตั้ง หรือสรรหา ซึ่งบทบาทของวุฒิสภาต่อจากนี้ไปก็จะต้องเป็นหลักให้กับบ้านเมือง
เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ยังเห็นสมควรว่า ส.ว. จะต้องมาจากการเลือกตั้งทั้งหมดหรือไม่ นายนิคม กล่าวว่า ตนเห็นว่าการให้สิทธิแก่ประชาชนในการเลือกผู้แทน น่าจะเป็นหลัก และไม่ได้หมายความว่า หากมีการออกกฎหมายในลักษณะเช่นนี้ จะเป็นการลิดรอนสิทธิของฝ่ายสรรหา
ส่วนการลงมติเรื่องรัฐธรรมนูญในวาระ 3 นั้น ตนเห็นว่า สมควรที่จะให้หยุดในเรื่องนี้ไว้ก่อน เพื่อเอากลับไปดูว่า มีข้อบกพร่องตรงไหน อีกทั้งจะต้องมีการนำกลับไปทำประชามติ เพื่อฟังความคิดเห็นของประชาชน ส่วนมาตราใด ที่มีความจำเป็นเร่งด่วน ก็ให้แก้ไขเป็นรายมาตราไป