00 นับถอยหลังเป็นชั่วโมงแล้วสำหรับวันนี้ ( 9 ส.ค.) ก็จะรู้แล้วว่าบรรดา “หัวโจก” เสื้อแดงทั้งหลายทั้งปวงรวมกว่า 20 คน จะชะตาขาดหรือไม่ หรือมีใครบ้างที่ต้องระเห็จเข้าไปตั้งสติรำลึกความหลังอยู่ในคุก แบบ “ไม่มีสองมาตรฐาน” แต่เชื่อว่า คนที่ต้องลุ้นใจตุ้มต่อม ก็น่าจะเป็น “ตู่” จตุพร พรหมพันธุ์ ยศวริศ ชูกล่อม รวมทั้ง อารี ไกรนารา เป็นต้น คนพวกนี้ไม่มีเอกสิทธิ์ ส.ส.คุ้มกลาหัว บางคนกำลังลุ้นเก้าอี้รมต. บางคนก็มีตำแหน่งทางการเมืองเสวยสุขมานานหลายเดือน แต่ถ้าพลิกผัน ศาลสั่งถอนประกันทุกอย่างก็จบเห่
00 อย่างไรก็ดี ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของศาลว่าจะเอาอย่างไร แต่ถ้าพิจารณาจากความจริงเท่าที่เห็นก็ต้องบอกว่า คนพวกนี้มันเหิมเกริม “ด่าศาล” หลายคนมีพฤติกรรมจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูง บางคนพูดจาไม่อ้อมค้อม บางคนเหลี่ยมจัด พูดจาอ้อมไปอ้อมมา แต่ความหมายก็เข้าใจได้ว่ามีเจตนาทำลายอย่างชัดเจน ดังนั้นเชื่อว่าสังคมกำลังจับจ้องมองไปที่ศาล ว่าช่วย “จัดระเบียบ” ได้อย่างไรบ้าง เพราะที่ผ่านมาจะไปหวังพึ่งพาตำรวจ รัฐบาลก็เป็นพวกเดียวกัน หนุนหลัง “ขยิบตา”ให้ท้ายตลอดเวลา เอาเป็นว่าอีกไม่กี่อึดใจก็รู้แล้วว่า ผลจะออกมาอย่างไรผิดหวังหรือสมหวัง สู้โว้ย !!
00 ยังเรียกเสียงฮือฮาได้ทุกครั้งกับความคิดสุดโต่งของ พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี ที่ปรึกษานายกฯ ที่เสนอให้ทหารใช้วิธีรบแบบกองโจรปราบโจรใต้ให้สิ้นซาก ลาดตระเวนเข้าไปในพื้นที่ เจอที่ไหนก็กวาดล้างให้เหี้ยน มันสะใจจริงๆ แต่ขอโทษเวลานี้คุณรู้แล้วหรือยังว่า “โจรเป็นใคร” หรือ “ใครเป็นโจร” ขนาดก่อเหตุยิงเจ้าหน้าที่ แล้ววิ่งหนีเข้าไปในหมู่บ้าน หรือเข้าไปในสวนยางเห็นหลังไวๆ กลับจับไม่ได้ ไปถามชาวบ้านก็ไม่กล้าบอก ไม่พูดอะไรทั้งนั้น มันไม่เหมือนจับพวกค้ายาบ้าในกรุงเทพฯ ตามชุมชนต่างๆ ที่รู้เบาะแส มีสายข่าว แต่ที่นั่นมันไม่มี เคยมีก็ถูกทำลายไปตั้งแต่ “ทำยอด-ตัดตอน” สร้างผลงานในยุค ทักษิณ ชินวัตร ที่ยุบ ศอ.บต.แล้วสร้าง “รัฐตำรวจ” ในแดนใต้จนไฟลุกโชนจนวันนี้ไงล่ะ อ้อแล้ว พล.อ.พัลลภ คนนี้ไม่ใช่หรือ ที่ไปบัญชาการกวาดล้างที่มัสยิดกรือเซะ จนสร้างบาดแผลในพื้นที่ไม่หาย
00 ต้องยอมรับว่าเห็นทหาร ตำรวจ ขรก.ชาวบ้าน พระสงฆ์ ต้องบาดเจ็บล้มตายทุกครั้งรู้สึกเจ็บปวดจี้ดเข้าไปในขั้วหัวใจทุกที แต่ขณะเดียวกัน ต้องยอมรับความจริงว่า ที่นั่นมัน “สุดแสนละเอียดอ่อน” มันอ่อนไหวยิ่งกว่า “ปัญหาคอมมิวนิสต์” เป็นสิบเท่า เพราะมันมีเรื่องปมประวัติศาสตร์ ความแตกต่างด้านวัฒนธรรม ความล้าหลังด้อยพัฒนาที่เกิดจากการถูกทิ้งขวาง อันเนื่องจากปัญหาความแตกต่างข้างต้นนั่นแหละ ในสมัยก่อนข้าราชการ นักปกครองที่ส่งลงใต้ ก็หมายถึงพวกที่ถูกทำโทษ ความหมายก็คือพวกเลวเหลือขอ ผลที่ตามมากลายเป็น “แนวร่วมมุมกลับ” ไปเพิ่มเงื่อนไขจากการไปข่มเหงทำชั่วต่อที่นั่น แต่ที่เลวร้ายที่สุดก็คือ นโยบายที่ผิดพลาดในยุค ทักษิณ ที่ปรามาส “โจรกระจอก” กวาดล้างให้หมดในสามเดือน ซึ่งคนที่ต้องร่วมรับผิดชอบด้วยอีกคนที่หลายคนไม่รู้ก็คือ ว่าที่ ผบ.ตร.คนใหม่ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว นั่นแหละ ยังจำได้หรือเปล่า
00 ทางแก้ไขก็ยังมี แต่ต้องให้เจ้าหน้าที่ในพื้นที่ และหน่วยงานเดิมบูรณาการทำงานให้เป็นเอกภาพจริงๆ ขอย้ำว่า ต้องเป็นเอกภาพ แบ่งหน้าที่กันทำ อย่าดีแต่พูด และที่สำคัญรัฐบาลต้องแต่งตั้งรมต.หนึ่งคนใช้อำนาจนายกฯ ลงไปบัญชาการในส่วนหน้าแล้วรายงานขึ้นมาโดยตรง มีปัญหาติดขัดตรงไหนก็แก้ไขทันที โดยให้รับผิดชอบแก้ปัญหาภาคใต้อย่างเดียว และที่สำคัญต้องหาคนที่เข้าใจ และไว้ใจได้ แค่นี้แหละ ไม่ต้องมีอะไรซับซ้อน ถ้าทำได้ก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 10 ปี ถึงกว่าจะเยียวยาให้เป็นปกติ เห็นหรือยังว่ามันไม่ง่าย
00 สำหรับการประชุมที่มี นายกฯคนสวย ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นั่งหัวโต๊ะ เรียกสารพัดหน่วยงานมาหารือดับไฟใต้ ความหมายก็ไม่ต่างจากการ “สร้างภาพ” ให้เห็นว่า รัฐบาลตื่นตัวไม่ทิ้ง แต่ขอโทษชาวบ้าน และเจ้าหน้าที่ตายเป็นรายวัน ทำไมต้องรอจนเนิ่นนาน ตัวนายกฯในฐานะ ผอ.รมน. มีอำนาจเต็ม ทำไมไม่เรียกประชุมก่อนหน้านี้ ไม่อยากขัดคอ บางที “มากคนก็มากความ มากเรื่อง” สู้ใช้ของเดิม แต่เร่งรัดให้มีประสิทธิภาพจะดีกว่า และขอร้องเถอะถ้าอยากให้ชายแดนใต้ดีขึ้นบ้าง ได้โปรดให้ เฉลิม อยู่บำรุง กับ ยงยุทธ วิชัยดิษฐ ถอยไปให้ไกลๆ เถอะ ได้โปรด !!
00 อย่างไรก็ดี ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของศาลว่าจะเอาอย่างไร แต่ถ้าพิจารณาจากความจริงเท่าที่เห็นก็ต้องบอกว่า คนพวกนี้มันเหิมเกริม “ด่าศาล” หลายคนมีพฤติกรรมจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูง บางคนพูดจาไม่อ้อมค้อม บางคนเหลี่ยมจัด พูดจาอ้อมไปอ้อมมา แต่ความหมายก็เข้าใจได้ว่ามีเจตนาทำลายอย่างชัดเจน ดังนั้นเชื่อว่าสังคมกำลังจับจ้องมองไปที่ศาล ว่าช่วย “จัดระเบียบ” ได้อย่างไรบ้าง เพราะที่ผ่านมาจะไปหวังพึ่งพาตำรวจ รัฐบาลก็เป็นพวกเดียวกัน หนุนหลัง “ขยิบตา”ให้ท้ายตลอดเวลา เอาเป็นว่าอีกไม่กี่อึดใจก็รู้แล้วว่า ผลจะออกมาอย่างไรผิดหวังหรือสมหวัง สู้โว้ย !!
00 ยังเรียกเสียงฮือฮาได้ทุกครั้งกับความคิดสุดโต่งของ พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี ที่ปรึกษานายกฯ ที่เสนอให้ทหารใช้วิธีรบแบบกองโจรปราบโจรใต้ให้สิ้นซาก ลาดตระเวนเข้าไปในพื้นที่ เจอที่ไหนก็กวาดล้างให้เหี้ยน มันสะใจจริงๆ แต่ขอโทษเวลานี้คุณรู้แล้วหรือยังว่า “โจรเป็นใคร” หรือ “ใครเป็นโจร” ขนาดก่อเหตุยิงเจ้าหน้าที่ แล้ววิ่งหนีเข้าไปในหมู่บ้าน หรือเข้าไปในสวนยางเห็นหลังไวๆ กลับจับไม่ได้ ไปถามชาวบ้านก็ไม่กล้าบอก ไม่พูดอะไรทั้งนั้น มันไม่เหมือนจับพวกค้ายาบ้าในกรุงเทพฯ ตามชุมชนต่างๆ ที่รู้เบาะแส มีสายข่าว แต่ที่นั่นมันไม่มี เคยมีก็ถูกทำลายไปตั้งแต่ “ทำยอด-ตัดตอน” สร้างผลงานในยุค ทักษิณ ชินวัตร ที่ยุบ ศอ.บต.แล้วสร้าง “รัฐตำรวจ” ในแดนใต้จนไฟลุกโชนจนวันนี้ไงล่ะ อ้อแล้ว พล.อ.พัลลภ คนนี้ไม่ใช่หรือ ที่ไปบัญชาการกวาดล้างที่มัสยิดกรือเซะ จนสร้างบาดแผลในพื้นที่ไม่หาย
00 ต้องยอมรับว่าเห็นทหาร ตำรวจ ขรก.ชาวบ้าน พระสงฆ์ ต้องบาดเจ็บล้มตายทุกครั้งรู้สึกเจ็บปวดจี้ดเข้าไปในขั้วหัวใจทุกที แต่ขณะเดียวกัน ต้องยอมรับความจริงว่า ที่นั่นมัน “สุดแสนละเอียดอ่อน” มันอ่อนไหวยิ่งกว่า “ปัญหาคอมมิวนิสต์” เป็นสิบเท่า เพราะมันมีเรื่องปมประวัติศาสตร์ ความแตกต่างด้านวัฒนธรรม ความล้าหลังด้อยพัฒนาที่เกิดจากการถูกทิ้งขวาง อันเนื่องจากปัญหาความแตกต่างข้างต้นนั่นแหละ ในสมัยก่อนข้าราชการ นักปกครองที่ส่งลงใต้ ก็หมายถึงพวกที่ถูกทำโทษ ความหมายก็คือพวกเลวเหลือขอ ผลที่ตามมากลายเป็น “แนวร่วมมุมกลับ” ไปเพิ่มเงื่อนไขจากการไปข่มเหงทำชั่วต่อที่นั่น แต่ที่เลวร้ายที่สุดก็คือ นโยบายที่ผิดพลาดในยุค ทักษิณ ที่ปรามาส “โจรกระจอก” กวาดล้างให้หมดในสามเดือน ซึ่งคนที่ต้องร่วมรับผิดชอบด้วยอีกคนที่หลายคนไม่รู้ก็คือ ว่าที่ ผบ.ตร.คนใหม่ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว นั่นแหละ ยังจำได้หรือเปล่า
00 ทางแก้ไขก็ยังมี แต่ต้องให้เจ้าหน้าที่ในพื้นที่ และหน่วยงานเดิมบูรณาการทำงานให้เป็นเอกภาพจริงๆ ขอย้ำว่า ต้องเป็นเอกภาพ แบ่งหน้าที่กันทำ อย่าดีแต่พูด และที่สำคัญรัฐบาลต้องแต่งตั้งรมต.หนึ่งคนใช้อำนาจนายกฯ ลงไปบัญชาการในส่วนหน้าแล้วรายงานขึ้นมาโดยตรง มีปัญหาติดขัดตรงไหนก็แก้ไขทันที โดยให้รับผิดชอบแก้ปัญหาภาคใต้อย่างเดียว และที่สำคัญต้องหาคนที่เข้าใจ และไว้ใจได้ แค่นี้แหละ ไม่ต้องมีอะไรซับซ้อน ถ้าทำได้ก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 10 ปี ถึงกว่าจะเยียวยาให้เป็นปกติ เห็นหรือยังว่ามันไม่ง่าย
00 สำหรับการประชุมที่มี นายกฯคนสวย ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นั่งหัวโต๊ะ เรียกสารพัดหน่วยงานมาหารือดับไฟใต้ ความหมายก็ไม่ต่างจากการ “สร้างภาพ” ให้เห็นว่า รัฐบาลตื่นตัวไม่ทิ้ง แต่ขอโทษชาวบ้าน และเจ้าหน้าที่ตายเป็นรายวัน ทำไมต้องรอจนเนิ่นนาน ตัวนายกฯในฐานะ ผอ.รมน. มีอำนาจเต็ม ทำไมไม่เรียกประชุมก่อนหน้านี้ ไม่อยากขัดคอ บางที “มากคนก็มากความ มากเรื่อง” สู้ใช้ของเดิม แต่เร่งรัดให้มีประสิทธิภาพจะดีกว่า และขอร้องเถอะถ้าอยากให้ชายแดนใต้ดีขึ้นบ้าง ได้โปรดให้ เฉลิม อยู่บำรุง กับ ยงยุทธ วิชัยดิษฐ ถอยไปให้ไกลๆ เถอะ ได้โปรด !!
