xs
xsm
sm
md
lg

ไอ้ชาติโง่ มันไม่รู้จักความถูกต้อง (3)

เผยแพร่:   โดย: ปราโมทย์ นาครทรรพ

ในตอนที่ 2 ผมพูดถึงความไม่ถูกต้องและเข้าใจผิดเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ ความเข้าใจผิดที่สำคัญ 3 อย่างนั้นคือ 1. หาว่าสถาบันเป็นตัวถ่วงเสรีภาพความเสมอภาคและความมั่งคั่งของประชาชน 2. หาว่าสถาบันอยู่เบื้องหลังการออกและการใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ คือมาตรา 112 เพื่อประโยชน์และความมั่นคงของสถาบันเอง และ 3. หาว่าสถาบันกับอำมาตย์ร่วมกันขัดขวางและทำลายประชาธิปไตยที่ประชาชนสร้างขึ้นด้วยยากโดยเห็นแก่ผลประโยชน์ของตนเองและพรรคพวก

ก่อนที่จะยกเหตุผลและหลักฐานมาหักล้างว่าข้างต้นนั้นมันชาติโง่และเข้าใจผิดสิ้นเชิง ผมขออธิบายเสียหน่อยว่าการขาดความถูกต้องทางกาย ทางจิต ทางตัวตน และทางสุญญตานั้นเป็นกรรมของ “ไอ้ชาติโง่” แต่ละคน เหตุไฉนจึงยกระดับขึ้นมาเป็น “ไอ้โง่ทั้งชาติ” ได้ เรื่องนี้มันก็เหมือนคนเป็นสิบเป็นร้อยที่มาคอยขึ้นรถเมล์ป้ายเดียวกันตอนเช้าๆ นั่นละครับ ต่างคนก็ต่างมา แต่มันก็ทำให้เกิดป้ายรถเมล์ เกิดสถานีขนส่ง สัมปทานเส้นทางรถ และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนการรับคนขับไม่ได้มาตรฐานทำให้ตายหมู่เป็นครั้งคราวได้ ฯลฯ เป็นต้น

ฉันใดก็ฉันนั้น พฤติกรรมองค์การในตัวอย่างทั้ง 9 เรื่อง เมื่อผู้นำแต่ละคนแต่ละยุค เขาหรือมันหรือท่านล้วนแต่ไม่รู้จักความถูกต้อง เห็นแก่ตัวและเต็มไปด้วยตัวกูของกู เขาก็พากันถ่ายทอดความคิดความเชื่อและความเคยตัวออกมาเป็นการกระทำ การกระทำที่จำเจซ้ำซากจึงเกิดเป็นแบบแผนหรือระบบพฤติกรรม ระบบพฤติกรรมที่เกิดปีแล้วปีเล่า รัฐบาลแล้วรัฐบาลเล่า จนตายตัวทำนายทายทักได้ “ไม่เขยื้อนเคลื่อนไหว”อย่างที่หลวงพ่อเทศน์นี่แหละ ที่ภาษาสังคมวิทยาเขาเรียกว่า “โครงสร้าง” โครงสร้างทางการเมือง ทางประชาธิปไตย ทางการศึกษา เศรษฐกิจสังคมของเรามันจึงเป็นโครงสร้างของ “ไอ้ชาติโง่” สืบทอดกันมาอย่างน้อยก็ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2490 เมื่อเกิดการรัฐประหารที่เปิดศักราช “วงจรอุบาทว์”

ระบบการเมืองแบบ “วงจรอุบาทว์-วัฏจักรน้ำเน่า” เมื่อนำมายกกำลังสองแล้วก็กลายเป็นระบอบทักษิณ อันเป็นตัวเร่งส่งเสริมของความไม่ถูกต้องและเข้าใจผิดทั้ง 9 ที่ผมกำลังจะอธิบายทีละอัน

สภาพด้อยปัญญา ฟังแต่คำลือ หนังสือไม่อ่านของคนไทย เป็นเหตุหนึ่ง วัฒนธรรมโกหก ปกปิด บิดเบือน เชือนเฉยของสื่อนักการเมืองและข้าราชการ เป็นอีกเหตุหนึ่ง และวัฒนธรรม อมพะนำ ไม่ทำการบ้าน ขยันวิจารณ์ คร้านวิจัย และเอาใจเลียผู้มีอำนาจของนักวิชาการไทย เป็นสาเหตุที่สาม ที่ทำให้อวิชชาและความเท็จงอกงามแพร่กระจายจนกลายเป็นความโง่ คนส่วนใหญ่หลงเชื่อการโกหกตอแหลปั้นน้ำเป็นตัว วิธีการตลาด การโฆษณาทันสมัย ใช้สื่อ การจัดตั้งหัวคะแนน หรือแม้กระทั่งตำรวจ ทหาร และข้าราชการที่เป็นทาสทำการปลุกระดม ฯลฯ

1. การกล่าวหาว่าสถาบันกษัตริย์จำกัดเสรีภาพความเสมอภาค และความอยู่ดีกินดีของราษฎรนั้นเป็นความเท็จร้อยเปอร์เซ็นต์

วารสาร Economist (ซึ่งมีนักเขียนรับจ้างบางคนเขียนเชียร์ทักษิณอยู่เนืองๆ) ตีพิมพ์ผลการสำรวจวิจัยออกมาว่าประเทศที่เป็นยอดประชาธิปไตย มีการปกครองที่ดีที่สุด เป็นกลุ่มเดียวกับประเทศที่มีสิทธิเสรีภาพความเสมอภาคและความเท่าเทียมกันทางเศรษฐกิจและสังคมของประชาชนมากกว่าประเทศอื่นๆ

สิบประเทศแรกนั้นเป็นประเทศที่มีระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเสีย 7 ประเทศ เรียงกันตามอันดับดังนี้ 1. นอร์เวย์ 3. เดนมาร์ก 4. สวีเดน 5. นิวซีแลนด์ 6. ออสเตรเลีย 8. แคนาดา 10. เนเธอร์แลนด์ ส่วนที่ไม่มีพระมหากษัตริย์ก็อยู่ในแวดวงหรืออาณาบริเวณเดียวกัน คืออันดับ 2. ไอซ์แลนด์ 7. สวิตเซอร์แลนด์ และ 9. ฟินแลนด์ อันดับ 1, 3, 4 รวมกันเรียกว่ากลุ่มประเทศสแกนดิเนเวีย เมื่อนำอันดับ 2 และ 9 เข้ามาบวกก็อยู่ในกลุ่มประเทศนอร์ดิก ประเทศที่เป็นประชาธิปไตยสมบูรณ์ในตารางนี้มี 25 ประเทศเท่านั้น อังกฤษติดอันดับที่ 18 ญี่ป่น 21 อเมริกา 19

ประเทศไทยติดอันดับ 58 ไม่นับอยู่ในกลุ่มประชาธิปไตยเป็น Flawed Democracy คือประชาธิปไตยเก๊ ชำรุด บกพร่องหรือจอมปลอมอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ก็เป็นแชมเปี้ยนของอาเซียน อินโดนีเซียติดอันดับ 60 มาเลเซีย 71 ฟิลิปปินส์ 75 ในกลุ่มเดียวกับไทย

อีกกลุ่มในตารางเรียกว่ารัฐบาลเจ้าพ่อหรือ Hybrid Regime สิงคโปร์ติดอันดับ 81 ตามมาด้วยเขมรฮุนเซน 101 อาเซียนนอกนั้นอยู่ในกลุ่มเผด็จการสมบูรณ์แบบ Authoritarian regime ได้แก่เวียดนามอันดับ 143 ลาว 156 พม่า 161 ผมเชื่อว่าเมื่อใดเมืองไทยสถาปนาระบอบทักษิณได้เต็มรูป ก็จะย้ายมาเข้าสังกัดเจ้าพ่อ Hybrid Regime ร่วมกับสิงคโปร์และกัมพูชา

(สนใจดูตารางได้ที่: http://en.wikipedia.org/wiki/ Democracy_Index#2011_rankings )

สำหรับภาวะการอยู่ดีกินดีหรือมีมาตรฐานการครองชีพมั่งคั่งมีวิธีวัดหลายอย่างที่ง่ายๆ ก็ดูว่าคนส่วนใหญ่มีเงินจริงๆ ในกระเป๋าหรือไม่ มีของกินของใช้ให้จับจ่ายใช้สอยอย่างสำราญบานใจหรือไม่ หรือมีแต่หนี้ท่วมหัว ตารางที่ใช้วัดเรื่องนี้ก็คือเงินถัวเฉลี่ยที่มีอยู่ในกระเป๋าแต่ละคนต่อปี Per Capita Income หรือผลผลิตมวลรวมเฉลี่ยที่ฝรั่งเรียกว่า GDP

25 ประเทศแรกที่ราษฎรร่ำรวยก็เป็นประเทศที่เป็นประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเสีย 10 ประเทศ ซ้ำกับตารางเสรีภาพเสมอภาคข้างต้น 6 ประเทศ แถมอังกฤษ ญี่ปุ่นกับเบลเยียมเข้ามาอีก 3 ใครอยู่อันดับไหน ราษฎรมีเงินถัวเฉลี่ยรายหัวเท่าไรกรุณาเปิดดูเอาเองเถอะนะครับที่(http://en.wikipedia.org/wiki/List_of _countries _by_GDP_(PPP)_per_capita) นิวซีแลนด์ตกเป็นอันดับ 32 เป็นเพราะเป็นประเทศเกษตรอุตสาหกรรมมีประชากรน้อยและมีสวัสดิการจากรัฐเป็นที่ 1 ในโลก ค่าใช้จ่ายและเงินในกระเป๋าอาจจะน้อยลง เพราะรัฐดูแลความจำเป็นในชีวิตทั้งหมด ประเทศที่ปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิ ราชย์ก็ติดอันดับอยู่ 3 ประเทศ คือ ควาตาร์ บรูไน และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ รวมแล้วเป็น 13 ใน 25 มากกว่าประเทศที่ปกครองอย่างอื่น

ไทยอยู่อันดับ 86 ตารางไอเอ็มเอฟ 92 ตารางธนาคารโลก 90 ของ CIA ตั้งแต่ทักษิณขึ้นมาเป็นใหญ่คนไทยพากันเป็นหนี้เพิ่มขึ้นทุกปี ปัจจุบันครอบครัวหนึ่งมีหนี้เฉลี่ยกว่าแสนสี่หมื่นกว่าบาท ในขณะที่ทักษิณกับบริวารและผู้นำธุรกิจการเมืองรวยเอาๆ เป็นหมื่นๆ แสนๆ ล้านบาท หากตัดไม่เอาเงินของพวกอภิมหาเศรษฐีมาถัวเฉลี่ย ไทยจะตกอันดับในตารางลงไปอีกหลายอันดับ เพราะคนไทยเป็นหนี้บักโกรกกันทั้งแผ่นดิน

ตั้งแต่ปี 2475 อำมาตย์และนักการเมืองได้แย่งอำนาจการเมืองและการปกครองไปจากกษัตริย์อย่างสิ้นเชิง การพัฒนาเศรษฐกิจและการแจกจ่ายตำแหน่งหน้าที่ยศถา บรรดาศักดิ์ล้วนแล้วแต่อยู่ในกำมือของนักการเมืองทั้งสิ้น การที่เมืองไทยเป็นเผด็จการคณาธิปไตยมาโดยตลอด พระมหากษัตริย์จึงถูกตัดพระราชอำนาจในระบอบประชา ธิปไตยอันประมุขพึงมี ที่สามารถจะคุ้มครองช่วยเหลือประเทศชาติและประชาชนได้

โครงการในพระราชดำริที่สร้างความอยู่ดีกินดีก็มีจำกัดจำนวนอยู่ที่ 3 พันเศษๆ เพราะมิใช่โครงการของรัฐบาลที่อาจทำให้ทั่วถึงทั้งประเทศได้ และทุกรัฐบาลปฏิเสธปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระเจ้าอยู่หัว เพราะกลัวจะไม่สามารถตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ เมื่อขึ้นมาเถลิงอำนาจเสวย “สมบัติผลัดกันชม” อันเป็นลักษณะของการเมืองการปกครองปัจจุบัน

ด้วยเหตุฉะนี้ การที่กล่าวหาว่าสถาบันกษัตริย์ทำให้ด้อยเสรีภาพ เสมอภาค และความอยู่ดีกินดีจึงเป็นการใส่ร้ายพระเจ้าอยู่หัว หามูลความจริงและเหตุผลทางประวัติศาสตร์และข้อมูลเชิงประจักษ์ใดๆ ในปัจจุบันมาสนับสนุนมิได้ เป็นการโฆษณาชวนเชื่ออันเป็นความชำนาญพิเศษเฉพาะตัวของพรรคการเมืองที่สับเอา ร. 8 มาติดเป็นพระบรมฉายาลักษณ์ของรัชกาลปัจจุบัน หรือการปลดรูปในหลวงออกจากบ้านเรือนหมู่บ้านสีแดงเพื่อติดภาพ “เจ้ามูลเมือง” ไว้บูชาแทนนั่นเอง

วันนี้ผมไม่มีเทศนาของหลวงพ่อมาฝาก ผมขอฝากการโต้วาทีว่าระบบกษัตริย์กับระบบประธานาธิบดีอันไหนจะดีกว่าหรือเป็นประชาธิปไตยมากกว่ากัน    

1. http://www.youtube.com/watch?v=KBvHBmpfXHM

2. http://www.youtube.com/watch?v=JkLc4NWIEZ4&feature=related

3. http://www.youtube.com/watch?v=SStpMqvAi7E&feature=related

ขอเชิญท่านที่เชี่ยวชาญภาษาแปลให้เพื่อนๆ อ่านด้วย โดยเฉพาะข้อความที่บอกว่ากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยไม่มีวันที่จะเป็นเผด็จการได้ ในขณะที่ประธานาธิบดี 4 คนปัจจุบันของอเมริกันกระทำตนเป็นทรราชย์ยิ่งกว่ามหาจักรพรรดิเสียอีก
กำลังโหลดความคิดเห็น