ชวินทร์ ลีนะบรรจง
สุวินัย ภรณวลัย
เมื่อลูกน้องโง่และไม่เคารพยำเกรงกฎหมาย
เธอจะพิสูจน์ตนเองได้อย่างไร?
สรุปเหตุการณ์ที่สำคัญในด้านความมั่นคงรอบเดือนที่ผ่านมาที่บ่งบอกถึงคุณสมบัติของยิ่งลักษณ์ในฐานะนายกฯ ว่ามีความสามารถที่จะเป็น “ผู้นำ” ได้มากน้อยเพียงใด
29 มิ.ย. 55 อ.สายบุรี จ.ปัตตานี ซุ่มยิง อ.ส. ดับ 2 นาย
4 ก.ค. 55 อ.รือเซาะ จ.นราธิวาส เหตุระเบิดหลายครั้งหมายสังหารตำรวจ มีตำรวจบาดเจ็บ 12 นาย
7 ก.ค. 55 อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส เหตุระเบิดทหารตาย 1 บาดเจ็บ 3 นาย
9 ก.ค. 55 สุกำพล ให้สัมภาษณ์ สุทธิชัย หยุ่น “ให้เพื่อนผมกลับเมืองไทยสิ แล้วจะเอาอย่างไรก็ว่ามา ไม่ใช่ให้ไปอยู่เมืองนอก”...“ให้กลับมาติดคุกเขาก็ไม่เอา เขาบอกว่าเขาไม่ผิด”
18 ก.ค. 55 ถอนทหารให้ ตชด.ดูแลพื้นที่ 4.6 ตร.กม.ที่ปราสาทพระวิหาร
19 ก.ค. 55 สุกำพลยืนยันเครื่องตรวจจับระเบิดจีที 200 ยังใช้ได้จริง แม้พบระเบิดเพียงลูกเดียวก็คุ้มค่าแล้ว
20 ก.ค. 55 เหตุระเบิดด้วยรถยนต์กลางเมืองสุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส มีผู้เรียกร้องให้ยิ่งลักษณ์ลงพื้นที่ แต่สุกำพลบอกไม่จำเป็น
25 ก.ค. 55 อ.รามัน จ.ยะลา เหตุระเบิดด้วยรถยนต์ ตำรวจตาย 5 นาย
24-26 ก.ค.55 มีข่าว ผบ.ตร.นายตำรวจหลายนาย และสุกำพลไปพบทักษิณที่งานวันเกิดที่ฮ่องกง
27 ก.ค. 55 สุกำพลแถลงข่าวอภิสิทธิ์หนีทหารหลังจากที่เลื่อนอย่างไม่มีเหตุผลเมื่อสัปดาห์ก่อน
28 ก.ค. 55 อ.มายอ จ.ปัตตานี คนร้ายใช้รถ 3 คันประกบยิงทหาร ตาย 4 บาดเจ็บ 2 นายโดยมีการบันทึกภาพจากกล้องวงจรปิดเอาไว้
30 ก.ค. 55 จ.นราธิวาส ยิง อ.ส. ตาย 2 นาย ขณะที่ครม.มีมติเพิ่มวันหยุดราชการ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ทั้งตรุษจีน ฝรั่ง และแขก เพื่อแก้ปัญหา
31 ก.ค. 55 เกิดเหตุระเบิดรถยนต์หลังโรงแรมใหญ่กลางเมืองปัตตานี ไฟฟ้าดับทั่วเมือง ขณะที่เฉลิมแก้ปัญหาด้วยการ “กดปุ่ม” ตั้ง “เพนตากอน 2” เลียนแบบสหรัฐฯ และบอกว่ายิ่งลักษณ์ไม่จำเป็นต้องลงพื้นที่
จากข้อเท็จจริงข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ข้างต้น เจ้าหน้าที่ทหารตำรวจโดยเฉลี่ยต้องตายอย่างน้อย 1 คนทุกๆ 3 วันในช่วงเดือนที่ผ่านมา อุกอาจถึงขนาดทำต่อหน้ากล้องเพื่อให้มีการบันทึกภาพเอาไว้ เป็นเครื่องชี้ถึงการยกระดับการปฏิบัติการว่าสามารถต่อกรกับเจ้าหน้าที่แทนการสังหารชาวบ้านที่ทำเมื่อไรก็ได้อยู่แล้ว
ในทางกลับกันผู้บังคับบัญชาระดับสูงที่เป็น “นาย” ต่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวไปกับลูกน้อง ตำรวจถูกระเบิดสังหารตายหมู่ไป 5 นายก็ไปอวยพรวันเกิดผู้ร้ายหนีคุกได้ แถมฝ่ายการเมืองที่กำกับดูแลก็มาแก้ตัวให้อีกว่าสามารถไปพบได้ไม่ได้เป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่เพราะอยู่นอกเหนืออำนาจของกฎหมายไทย
สุกำพลในฐานะ “นาย” ฝ่ายการเมืองดูแลทหารก็แสดงถึงขีดความสามารถว่ามีมากน้อยเพียงใด ดูจากการให้สัมภาษณ์เรื่องเครื่องตรวจจับระเบิด GT 200 ที่ต่างประเทศเขาดำเนินคดีกับผู้ขายแล้วเนื่องจากหลอกลวงไม่สามารถใช้การได้ หากมีระเบิด 2 ลูก จริงลูกไม่จริงลูกไม่ต้องใช้เครื่องนี้ตรวจจับก็มีโอกาสจะตรวจเจอ 50% อยู่แล้ว การอ้างว่าเจอลูกเดียวก็คุ้มแล้วจึงแสดงระดับสติปัญญาอย่างแท้จริงเพราะหากใช้งานได้จริงอย่างน้อยโอกาสที่เจอต้องมีมากกว่าโดยสุ่มหรือบังเอิญ
สุกำพลมีหน้าที่กำกับดูแลทหาร การเอาเวลาไปยุ่งกับเรื่องหนีทหารของบุคคลเพียงคนเดียวถึงขั้นออกข่าวเชิญนักนักข่าวมาฟังการแถลงอย่างใหญ่โตทั้งที่หากเป็นคดีก็เป็นเรื่องที่ขาดอายุความไปแล้วดังที่ ผบ.ทบ.ที่เป็นเจ้าทุกข์โดยตรงแถลงก่อนหน้านั้น จึงเป็นเครื่องชี้ถึงความทุ่มเทกับหน้าที่การงานว่ามีมากน้อยเพียงใด
สุกำพลในฐานะอำมาตย์ดูแลปกป้องอธิปไตยเขตแดนของชาติกลับดำเนินการถอนทหารภายใต้ชื่อ “การปรับกำลัง” ออกจากพื้นที่ประเทศตนเองโดยอ้างคำสั่งของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศอย่างเงียบเชียบทั้งที่อยู่ในอำนาจของกฎหมายไทยราวกับผู้แพ้ที่รู้อนาคตว่ากำลังจะเสียดินแดน หากเป็น win-win ตามที่กล่าวอ้างที่ต่างฝ่ายต่างได้ประโยชน์โดยไทยไม่เสียดินแดน เหตุใดจึงทำเรื่องถอนทหารนี้อย่างเงียบหงอย ในขณะที่ฝ่ายเขมรกลับออกข่าวตีปี๊บอย่างใหญ่โตอย่างกับผู้ชนะได้ดินแดนกลับคืนมา
“นาย” จึงไม่อาจเป็น “ผู้นำ” หากไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับลูกน้อง ไม่ร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกัน เหตุก็เพราะทั้งเฉลิมและสุกำพลต่างก็มี “งาน” ที่สำคัญเหนือกว่าสิ่งอื่นใดทั้งปวง คือพาผู้ร้ายโกงชาติกลับบ้านอย่างเท่ห์ๆ เอาความเป็นเพื่อนอยู่เหนือประโยชน์ส่วนรวม
ดูไปแล้วช่างน่าสมเพชแทนทหารตำรวจผู้กล้าที่ยอมเสียสละเลือดเนื้อและชีวิตปกป้องดินแดนไทยมาก่อนหน้าอำมาตย์เหล่านี้เสียยิ่งนัก คนเสื้อแดงจะไม่พิจารณาข้อเท็จจริงปล่อยให้แกนนำหลอกต้มอีกหรือว่าทหารทำร้ายประชาชน แล้วใครละ? ที่เอาชีวิตตนมารับลูกปืนระเบิดแทน
ทั้งเฉลิมและสุกำพลต่างก็เป็นฝ่ายการเมืองดูแลกำกับตำรวจและทหารที่เป็นแขนขาความมั่นคงของประเทศชาติ การไปพบกับนักโทษหนีคดีโดยตรงก็ดีหรือการที่ไม่สอบสวนลงโทษผู้ใต้บังคับบัญชาที่เป็นนายตำรวจที่ไปพบนักโทษหนีคดีก็ดี หรือการให้สมภาษณ์ที่ไม่เคารพอำนาจของศาลในคดีความที่ได้ตัดสินไปแล้วก็ดี ล้วนเป็นประพฤติปฏิบัติที่ฝักใฝ่ในการปกครองที่ไม่เป็นประชาธิปไตยโดยแท้
คำพิพากษาของศาลถือเป็นการใช้อำนาจของประชาชนผ่านอำนาจตุลาการ การไม่เคารพอำนาจศาลเมื่อตนไม่ได้ประโยชน์จึงเท่ากับการปฏิเสธอำนาจประชาชนเช่นเดียวกับที่ทักษิณกระทำและพวกเขาพยายามสนับสนุนสร้างกระแสให้คนยอมรับ
เป็นเวลากว่า 4 ปีนับจากโอลิมปิกที่กรุงปักกิ่งที่ทักษิณและเมียใช้เป็นข้ออ้างโกหกศาลเพื่อเดินทางออกนอกประเทศก่อนที่จะมีการพิพากษาคดีที่ดินรัชดาฯ ไม่นาน และเป็นเหตุบังเอิญให้เป็นโรค “นกรู้” หรือไม่ที่ก่อนหน้านั้นเช่นกันเจ้าหน้าที่ศาลปฏิเสธไม่รับถุงขนมที่มีเงินสดอยู่ 2 ล้านบาท จึงทำให้ต้องหนีประกันไม่รอฟังคำพิพากษา
ยิ่งลักษณ์ในฐานะผู้บังคับบัญชาจะพิสูจน์ตนเองในฐานะนายกฯ ว่าสามารถเป็น “ผู้นำ” ของประเทศนี้ได้อย่างไร การนิ่งเฉยต่อพฤติกรรมข้างต้นก็คือการยอมรับว่าลูกน้องตนเองไม่เคารพยำเกรงกฎหมายที่ตนเองมีความรับผิดชอบต้องดูแลมากกว่าประชาชนทั่วไปเสียอีก
ยิ่งลักษณ์จะกล้าเรียกให้ทั้งเฉลิมและสุกำพลหรือใครก็ตามที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชามายื่นใบลาออกจากตำแหน่งเพื่อแสดงความรับผิดชอบที่ไม่เคารพยำเกรงกฎหมายหรือไม่
ยิ่งลักษณ์จะแยกผลประโยชน์ส่วนตนจากการเป็นน้องสาวที่อาศัยพรรคที่พี่ชายก่อตั้งขึ้นมาออกจากผลประโยชน์ส่วนรวมในฐานะนายกฯ ได้หรือไม่ ในเมื่อที่แล้วมาไม่เอาจริงเอาจังและหลีกเลี่ยงที่จะรับผิดชอบให้สังคมเห็นว่าจะติดตามเอาพี่ชายมารับโทษตามกบิลเมือง
หากไม่ ที่กล่าวว่า “ดิฉันอาศัยคุณสมบัติของตัวเองในฐานะผู้นำประเทศ ฉันต้องการการสนับสนุนจากพี่ชาย แต่ดิฉันได้ส่งสารที่ชัดเจนให้ทุกคนทราบว่าดิฉันเป็นนายกรัฐมนตรี” ก็ bull-shit โดยแท้
สุวินัย ภรณวลัย
เมื่อลูกน้องโง่และไม่เคารพยำเกรงกฎหมาย
เธอจะพิสูจน์ตนเองได้อย่างไร?
สรุปเหตุการณ์ที่สำคัญในด้านความมั่นคงรอบเดือนที่ผ่านมาที่บ่งบอกถึงคุณสมบัติของยิ่งลักษณ์ในฐานะนายกฯ ว่ามีความสามารถที่จะเป็น “ผู้นำ” ได้มากน้อยเพียงใด
29 มิ.ย. 55 อ.สายบุรี จ.ปัตตานี ซุ่มยิง อ.ส. ดับ 2 นาย
4 ก.ค. 55 อ.รือเซาะ จ.นราธิวาส เหตุระเบิดหลายครั้งหมายสังหารตำรวจ มีตำรวจบาดเจ็บ 12 นาย
7 ก.ค. 55 อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส เหตุระเบิดทหารตาย 1 บาดเจ็บ 3 นาย
9 ก.ค. 55 สุกำพล ให้สัมภาษณ์ สุทธิชัย หยุ่น “ให้เพื่อนผมกลับเมืองไทยสิ แล้วจะเอาอย่างไรก็ว่ามา ไม่ใช่ให้ไปอยู่เมืองนอก”...“ให้กลับมาติดคุกเขาก็ไม่เอา เขาบอกว่าเขาไม่ผิด”
18 ก.ค. 55 ถอนทหารให้ ตชด.ดูแลพื้นที่ 4.6 ตร.กม.ที่ปราสาทพระวิหาร
19 ก.ค. 55 สุกำพลยืนยันเครื่องตรวจจับระเบิดจีที 200 ยังใช้ได้จริง แม้พบระเบิดเพียงลูกเดียวก็คุ้มค่าแล้ว
20 ก.ค. 55 เหตุระเบิดด้วยรถยนต์กลางเมืองสุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส มีผู้เรียกร้องให้ยิ่งลักษณ์ลงพื้นที่ แต่สุกำพลบอกไม่จำเป็น
25 ก.ค. 55 อ.รามัน จ.ยะลา เหตุระเบิดด้วยรถยนต์ ตำรวจตาย 5 นาย
24-26 ก.ค.55 มีข่าว ผบ.ตร.นายตำรวจหลายนาย และสุกำพลไปพบทักษิณที่งานวันเกิดที่ฮ่องกง
27 ก.ค. 55 สุกำพลแถลงข่าวอภิสิทธิ์หนีทหารหลังจากที่เลื่อนอย่างไม่มีเหตุผลเมื่อสัปดาห์ก่อน
28 ก.ค. 55 อ.มายอ จ.ปัตตานี คนร้ายใช้รถ 3 คันประกบยิงทหาร ตาย 4 บาดเจ็บ 2 นายโดยมีการบันทึกภาพจากกล้องวงจรปิดเอาไว้
30 ก.ค. 55 จ.นราธิวาส ยิง อ.ส. ตาย 2 นาย ขณะที่ครม.มีมติเพิ่มวันหยุดราชการ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ทั้งตรุษจีน ฝรั่ง และแขก เพื่อแก้ปัญหา
31 ก.ค. 55 เกิดเหตุระเบิดรถยนต์หลังโรงแรมใหญ่กลางเมืองปัตตานี ไฟฟ้าดับทั่วเมือง ขณะที่เฉลิมแก้ปัญหาด้วยการ “กดปุ่ม” ตั้ง “เพนตากอน 2” เลียนแบบสหรัฐฯ และบอกว่ายิ่งลักษณ์ไม่จำเป็นต้องลงพื้นที่
จากข้อเท็จจริงข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ข้างต้น เจ้าหน้าที่ทหารตำรวจโดยเฉลี่ยต้องตายอย่างน้อย 1 คนทุกๆ 3 วันในช่วงเดือนที่ผ่านมา อุกอาจถึงขนาดทำต่อหน้ากล้องเพื่อให้มีการบันทึกภาพเอาไว้ เป็นเครื่องชี้ถึงการยกระดับการปฏิบัติการว่าสามารถต่อกรกับเจ้าหน้าที่แทนการสังหารชาวบ้านที่ทำเมื่อไรก็ได้อยู่แล้ว
ในทางกลับกันผู้บังคับบัญชาระดับสูงที่เป็น “นาย” ต่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวไปกับลูกน้อง ตำรวจถูกระเบิดสังหารตายหมู่ไป 5 นายก็ไปอวยพรวันเกิดผู้ร้ายหนีคุกได้ แถมฝ่ายการเมืองที่กำกับดูแลก็มาแก้ตัวให้อีกว่าสามารถไปพบได้ไม่ได้เป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่เพราะอยู่นอกเหนืออำนาจของกฎหมายไทย
สุกำพลในฐานะ “นาย” ฝ่ายการเมืองดูแลทหารก็แสดงถึงขีดความสามารถว่ามีมากน้อยเพียงใด ดูจากการให้สัมภาษณ์เรื่องเครื่องตรวจจับระเบิด GT 200 ที่ต่างประเทศเขาดำเนินคดีกับผู้ขายแล้วเนื่องจากหลอกลวงไม่สามารถใช้การได้ หากมีระเบิด 2 ลูก จริงลูกไม่จริงลูกไม่ต้องใช้เครื่องนี้ตรวจจับก็มีโอกาสจะตรวจเจอ 50% อยู่แล้ว การอ้างว่าเจอลูกเดียวก็คุ้มแล้วจึงแสดงระดับสติปัญญาอย่างแท้จริงเพราะหากใช้งานได้จริงอย่างน้อยโอกาสที่เจอต้องมีมากกว่าโดยสุ่มหรือบังเอิญ
สุกำพลมีหน้าที่กำกับดูแลทหาร การเอาเวลาไปยุ่งกับเรื่องหนีทหารของบุคคลเพียงคนเดียวถึงขั้นออกข่าวเชิญนักนักข่าวมาฟังการแถลงอย่างใหญ่โตทั้งที่หากเป็นคดีก็เป็นเรื่องที่ขาดอายุความไปแล้วดังที่ ผบ.ทบ.ที่เป็นเจ้าทุกข์โดยตรงแถลงก่อนหน้านั้น จึงเป็นเครื่องชี้ถึงความทุ่มเทกับหน้าที่การงานว่ามีมากน้อยเพียงใด
สุกำพลในฐานะอำมาตย์ดูแลปกป้องอธิปไตยเขตแดนของชาติกลับดำเนินการถอนทหารภายใต้ชื่อ “การปรับกำลัง” ออกจากพื้นที่ประเทศตนเองโดยอ้างคำสั่งของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศอย่างเงียบเชียบทั้งที่อยู่ในอำนาจของกฎหมายไทยราวกับผู้แพ้ที่รู้อนาคตว่ากำลังจะเสียดินแดน หากเป็น win-win ตามที่กล่าวอ้างที่ต่างฝ่ายต่างได้ประโยชน์โดยไทยไม่เสียดินแดน เหตุใดจึงทำเรื่องถอนทหารนี้อย่างเงียบหงอย ในขณะที่ฝ่ายเขมรกลับออกข่าวตีปี๊บอย่างใหญ่โตอย่างกับผู้ชนะได้ดินแดนกลับคืนมา
“นาย” จึงไม่อาจเป็น “ผู้นำ” หากไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับลูกน้อง ไม่ร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกัน เหตุก็เพราะทั้งเฉลิมและสุกำพลต่างก็มี “งาน” ที่สำคัญเหนือกว่าสิ่งอื่นใดทั้งปวง คือพาผู้ร้ายโกงชาติกลับบ้านอย่างเท่ห์ๆ เอาความเป็นเพื่อนอยู่เหนือประโยชน์ส่วนรวม
ดูไปแล้วช่างน่าสมเพชแทนทหารตำรวจผู้กล้าที่ยอมเสียสละเลือดเนื้อและชีวิตปกป้องดินแดนไทยมาก่อนหน้าอำมาตย์เหล่านี้เสียยิ่งนัก คนเสื้อแดงจะไม่พิจารณาข้อเท็จจริงปล่อยให้แกนนำหลอกต้มอีกหรือว่าทหารทำร้ายประชาชน แล้วใครละ? ที่เอาชีวิตตนมารับลูกปืนระเบิดแทน
ทั้งเฉลิมและสุกำพลต่างก็เป็นฝ่ายการเมืองดูแลกำกับตำรวจและทหารที่เป็นแขนขาความมั่นคงของประเทศชาติ การไปพบกับนักโทษหนีคดีโดยตรงก็ดีหรือการที่ไม่สอบสวนลงโทษผู้ใต้บังคับบัญชาที่เป็นนายตำรวจที่ไปพบนักโทษหนีคดีก็ดี หรือการให้สมภาษณ์ที่ไม่เคารพอำนาจของศาลในคดีความที่ได้ตัดสินไปแล้วก็ดี ล้วนเป็นประพฤติปฏิบัติที่ฝักใฝ่ในการปกครองที่ไม่เป็นประชาธิปไตยโดยแท้
คำพิพากษาของศาลถือเป็นการใช้อำนาจของประชาชนผ่านอำนาจตุลาการ การไม่เคารพอำนาจศาลเมื่อตนไม่ได้ประโยชน์จึงเท่ากับการปฏิเสธอำนาจประชาชนเช่นเดียวกับที่ทักษิณกระทำและพวกเขาพยายามสนับสนุนสร้างกระแสให้คนยอมรับ
เป็นเวลากว่า 4 ปีนับจากโอลิมปิกที่กรุงปักกิ่งที่ทักษิณและเมียใช้เป็นข้ออ้างโกหกศาลเพื่อเดินทางออกนอกประเทศก่อนที่จะมีการพิพากษาคดีที่ดินรัชดาฯ ไม่นาน และเป็นเหตุบังเอิญให้เป็นโรค “นกรู้” หรือไม่ที่ก่อนหน้านั้นเช่นกันเจ้าหน้าที่ศาลปฏิเสธไม่รับถุงขนมที่มีเงินสดอยู่ 2 ล้านบาท จึงทำให้ต้องหนีประกันไม่รอฟังคำพิพากษา
ยิ่งลักษณ์ในฐานะผู้บังคับบัญชาจะพิสูจน์ตนเองในฐานะนายกฯ ว่าสามารถเป็น “ผู้นำ” ของประเทศนี้ได้อย่างไร การนิ่งเฉยต่อพฤติกรรมข้างต้นก็คือการยอมรับว่าลูกน้องตนเองไม่เคารพยำเกรงกฎหมายที่ตนเองมีความรับผิดชอบต้องดูแลมากกว่าประชาชนทั่วไปเสียอีก
ยิ่งลักษณ์จะกล้าเรียกให้ทั้งเฉลิมและสุกำพลหรือใครก็ตามที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชามายื่นใบลาออกจากตำแหน่งเพื่อแสดงความรับผิดชอบที่ไม่เคารพยำเกรงกฎหมายหรือไม่
ยิ่งลักษณ์จะแยกผลประโยชน์ส่วนตนจากการเป็นน้องสาวที่อาศัยพรรคที่พี่ชายก่อตั้งขึ้นมาออกจากผลประโยชน์ส่วนรวมในฐานะนายกฯ ได้หรือไม่ ในเมื่อที่แล้วมาไม่เอาจริงเอาจังและหลีกเลี่ยงที่จะรับผิดชอบให้สังคมเห็นว่าจะติดตามเอาพี่ชายมารับโทษตามกบิลเมือง
หากไม่ ที่กล่าวว่า “ดิฉันอาศัยคุณสมบัติของตัวเองในฐานะผู้นำประเทศ ฉันต้องการการสนับสนุนจากพี่ชาย แต่ดิฉันได้ส่งสารที่ชัดเจนให้ทุกคนทราบว่าดิฉันเป็นนายกรัฐมนตรี” ก็ bull-shit โดยแท้